Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live

“เทวราชานิยม” กับ “ประชาธิปไตยสองแบบ”

$
0
0

ภายหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา บรรยากาศในบ้านเมืองเริ่มกลับมาคุกรุ่น คู่แข่งทางการเมืองที่ประกาศตัวชัดเจนว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลรัฐประหารชุดปัจจุบัน กำลังถูกคุกคามด้วยข้อกล่าวหา “ล้มเจ้า” ต่าง ๆ นานา บทความนี้จึงขอวิเคราะห์บริบท (contextual analysis) ของแนวคิดแบบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” เปรียบเทียบกับแนวคิดแบบ “เทวราชานิยม (หรือกษัตริย์นิยม) นำประชาธิปไตย” เพื่อสำรวจว่า แนวคิดใดในสองแบบนี้ สามารถค้ำจุน “ความเป็นกษัตริย์” อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยได้ยิ่งกว่า

ในเบื้องต้น ทั้งสองแนวคิดมีที่มาจากวัฒนธรรมสมัยโบราณ แนวคิด “เทวราชานิยม” พบในโลกตะวันออก เช่นอินเดียยุคหลังอุปนิษัท ส่วนแนวคิดแบบ “ประชาธิปไตย” พบในโลกตะวันตกยุคกรีก

แนวคิดแบบ “เทวราชานิยม” ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า คนเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน กษัตริย์อยู่ในฐานะเทวกำเนิดซึ่งอยู่เหนือมนุษย์ทั่วไป จึงมีอำนาจพิเศษในทางสังคมที่คนทั่วไปแตะต้องไม่ได้ ต่างจากแนวคิดแบบ “ประชาธิปไตย” ที่เชื่อว่า กษัตริย์ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง แต่มีความพิเศษตรงที่พระองค์ได้รับ “สิทธิ์” แห่งการดูแลประชาชนโดยชอบธรรมตามจารีต แต่ “อำนาจ” แห่งการปกครองนั้นเป็นของประชาชน

แนวคิดแบบ “เทวราชานิยม” เน้นชาติกำเนิดของตัวบุคคล ส่วนแนวคิดแบบ “ประชาธิปไตย” เน้นหลักการแห่งความเสมอภาค เสรีภาพในการดำเนินชีวิต และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนมีอย่างเท่าเทียมกัน

แนวคิดแบบ “เทวราชานิยม” วางอธิปไตย (เสรีภาพในการปกครองตนเอง) ไว้ในมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจในการกำหนดสังคมถูกส่งลงมาเป็นแนวดิ่งจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง ส่วนแนวคิดแบบ “ประชาธิปไตย” วางอธิปไตยไว้ในมือของประชาชน อำนาจในการปกครองสังคมเป็นแบบแนวราบจากมนุษย์สู่มนุษย์ คือเน้นการมีส่วนร่วมของพลเมือง

เนื่องจากแนวคิดแบบ “ประชาธิปไตย” สร้างความหวาดระแวงให้แก่ชนชั้นสูงกลุ่มอนุรักษ์นิยมของไทยตั้งแต่อดีต พวกเขาจึงสร้าง “ประชาธิปไตยแบบไทย” ที่ทำให้ “กษัตริย์” กลายเป็นสัญลักษณ์ของชาตินิยมและความเป็นไทย ศูนย์รวมของชาติถูกจัดวางไว้ที่ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ กษัตริย์จึงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ สักการะ อันผู้ใดจะละเมิดมิได้ ถ้าละเมิดก็เท่ากับว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติด้วย ตรงนี้เองถือเป็นมูลเหตุสำคัญหนึ่งแห่งการเกิดขึ้นของระบบคิดแบบ “เทวราชานิยม (หรือกษัตริย์นิยม) นำประชาธิปไตย” 

และก็เพราะความหวาดระแวงภัยจากเบื้องล่าง แนวคิดแบบ “เทวราชานิยมนำประชาธิปไตย” จึงให้เสรีภาพและอำนาจแก่ชนชั้นสูงที่ทำงานให้แก่กษัตริย์อย่างเต็มที่และเด็ดขาด แต่อำนาจในการปกครองและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตตามลำดับชั้นกลับกระจายลงไปไม่ถึงประชาชนส่วนใหญ่ ประชาธิปไตยจึงถูกใช้เป็นเพียง “เครื่องมือ” ในการพิทักษ์หรือบรรลุผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นปกครองเป็นหลัก

แนวคิดแบบ “เทวราชานิยมนำประชาธิปไตย” เน้นการควบคุมคนให้เป็นระเบียบและอยู่ในความสงบ ประชาชนไม่ต้องมีความรู้มาก ขอเพียงพึ่งพระบารมีก็จะพ้นภัย ความหลากหลายทางสังคมและการคิดต่างไม่เป็นคุณต่อหลักคิดแบบนี้ ซึ่งหลักคิดนี้อาจเทียบได้กับแนวคิดนิติวาทของจีนโบราณที่ว่า “กษัตริย์ไม่ต้องทำอะไร แต่ก็ไม่มีอะไรไม่ได้ทำ” หมายความว่า เพราะกษัตริย์อยู่ในฐานะสูงส่งเหมือนยอดเขา มีตัวแทนคือกลุ่มปกครองกระทำกิจการต่าง ๆ แทนพระองค์ พระองค์จึงไม่ต้องทำอะไร พระเกียรติยศของกษัตริย์วางอยู่ในมือของกลุ่มปกครอง ไม่ได้วางอยู่ในมือของประชาชน ประชาชนเพียงแต่มีหน้าที่เทิดทูนพระเกียรติยศไว้ด้วยความยำเกรง

ต่างจากแนวคิดแบบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของพลเมืองที่หลากหลาย และยอมรับให้การคิดต่างเป็นส่วนหนึ่งของ “การก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน” ได้ หลักคิดแบบนี้เทียบได้กับแนวคิดเต๋าของจีนโบราณที่ว่า “กษัตริย์ไม่ต้องทำอะไร แต่ก็ไม่มีอะไรไม่ได้ทำ” แต่หมายความอีกแบบหนึ่งซึ่งต่างจากแบบแรกว่า เพราะกษัตริย์ตั้งตนเป็นเหมือนน้ำที่โอบอุ้มสรรพชีวิตไว้ เป็นเช่นธรรมราชาที่ผดุงอำนาจของประชาชน หากเป็นดังนี้ กษัตริย์ก็จะอยู่ในฐานะไม่ต้องทำอะไร แต่ทุกสิ่งจะเรียบร้อยสำเร็จลงด้วยดี เพราะประชาชนยินดีและเต็มใจทำถวายพระองค์ด้วยความรัก อำนาจแห่งความเป็นธรรมที่ประชาชนได้รับจะแปรเป็น “พลัง” ในการค้ำจุนและสนับสนุนกษัตริย์ ผู้อยู่ในฐานะเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศของประชาชนนั่นเอง

ภายใต้หลักคิดประชาธิปไตยแบบหลัง คนไม่ได้เทิดทูนพระเกียรติยศไว้เหนือเกล้าด้วยความกลัว แต่เต็มใจรักษาพระเกียรติยศไว้ด้วยศรัทธา ด้วยเล็งเห็นว่า การมีพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นเครื่องประดับเชิดชูประชาธิปไตยได้ดีกว่าไม่มี

จะเห็นได้ว่า หลักคิดแบบ “เทวราชานิยมนำประชาธิปไตย” ไม่ได้มองประชาชนท้องถิ่นในฐานะเป็นกำลังของชาติ การปกครองโดยใช้แนวคิดแบบนี้ให้คุณค่าต่อ “ความเป็นหนึ่งเดียว” ในแนวดิ่ง มากกว่า “ความหลากหลาย” ในแนวราบ จึงเหมาะกับสังคมปิดที่ประชาชนส่วนใหญ่สามารถอยู่ภายใต้การควบคุม แต่ ไม่เหมาะกับสังคมเปิดที่ประชาชนรับรู้ข่าวสารทางโลกออนไลน์อยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ แนวคิดแบบ “เทวราชานิยมนำประชาธิปไตย” วางอำนาจสูงสุดไว้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนอันมองไม่เห็น แต่เป็นรากฐานที่มาแห่งเทวกำเนิดของกษัตริย์ แนวคิดแบบนี้จึงไปได้ดีกับตำนานความเชื่อ เรื่องเล่า ตลอดจนบทประพันธ์สดุดีทั้งหลาย แต่อาจ เข้าไม่ได้กับวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีในปัจจุบัน

ระหว่างแนวคิด “เทวราชานิยมนำประชาธิปไตย” ที่เน้นปกครองด้วยความกลัว กับแนวคิด “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ที่เน้นปกครองด้วยความรัก เราน่าจะได้คำตอบแล้วว่า ในระยะยาวแนวคิดแบบใดสนับสนุน “ความเป็นกษัตริย์” ในสังคมไทยได้ยั่งยืนกว่า

ยิ่งกว่านั้น การตั้งบทลงโทษพวกที่ช่างสงสัยและชอบตั้งคำถาม แต่ยังมิได้ “ละเมิด” กษัตริย์ ไว้อย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผลทางกฎหมายกำกับอย่างเพียงพอ ย่อมทำให้เกิดความย้อนแย้ง ทำให้ผู้คนสับสนว่าตนเองอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยหรือไม่และอย่างใด พวกเขาอาจเกิดข้อกังขาในหลักปกครองแบบที่เน้นความกลัวมากกว่าความรัก ซึ่งนั่นจะส่งผลกระทบในทางลบต่อภาพลักษณ์และสถานะของสถาบันกษัตริย์ด้วย

เมื่อความหวาดระแวงครอบงำสังคมไทยรุนแรงขึ้น ก็จำเป็นที่พวกเราจะต้องตั้งสติและไตร่ตรองโดยแยบคายว่า วาทกรรมอันเนื่องอยู่กับการล้มเจ้าทั้งหลายที่ถูกปล่อยออกมาเป็นระยะนั้น มีจุดประสงค์ใดในทางการเมืองยามนี้ และใครจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากความแตกแยกของประชาชน

เพราะมัน เป็นไปไม่ได้เลยที่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น จะตั้งป้อมล้มล้าง “ความเป็นกษัตริย์” หรือทำลาย “กษัตริย์ธรรมราชา” ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศของปวงชนชาวไทย

 

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ถึงเพื่อไทยและอนาคตใหม่: เราจะปล่อยให้ฝ่ายขวาซื้อใจสายเขียวต่อไปอีกนานเท่าไหร่?

$
0
0


ชาวแอฟริกาใต้ชุมนุมเรียกร้องให้การใช้กัญชาเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
ที่มา: 
https://www.efe.com/efe/english/varios/south-african-court-rules-to-legalize-private-cannabis-use-at-home

นับตั้งแต่การแจ้งความดำเนินคดีเดชา ศิริภัทรประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ด้วยข้อหาผลิตและครอบครองกัญชาเพื่อการแพทย์ มาจนถึงเหตุการณ์ที่ตำรวจบุกงานอบรมการสกัดน้ำมันกัญชาเพื่อการแพทย์ที่จังหวัดนครปฐมในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าจะมีนักการเมืองคนใดออกมาแสดงจุดยืนเรื่องนี้บ้าง และก็เป็นไปตามคาด นักการเมือง นักวิชาการและข้าราชการฝ่ายขวาไม่ว่าจะเป็น รสนา โตสิตตระกูล ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ หรือแม้แต่ฝ่ายการเมืองที่ไม่แสดงจุดยืนชัดเจนอย่าง อนุทิน ชาญวีรกุล และเนวิน ชิดชอบ ต่างพากันออกมาแสดงความช่วยเหลือ และโจมตีการกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกันอย่างแข็งขัน ในขณะนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยกลับเงียบเป็นเป่าสาก

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ฝ่ายประชาธิปไตยควรจะต้องออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องดังกล่าว มิเช่นนั้นสิทธิ์ในการพูดเรื่องกัญชาเสรีอาจจะตกไปอยู่ในมือของฝ่ายขวาเพียงฝ่ายเดียวตลอดไป

ในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา พรรคที่ออกมาชูนโยบายกัญชาเสรีชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นพรรคภูมิใจไทย ผลของนโยบายดังกล่าวคือพรรคภูมิใจไทยได้เสียงมากขึ้นกว่าหนึ่งล้านเสียงเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ถามว่าเสียงเหล่านี้มาจากไหน? จากเหล่าสายเขียวที่พี้กัญชาเป็นชีวิตจิตใจหรือ? คำตอบคือไม่ใช่ ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ใช้กัญชาเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้เลือกภูมิใจไทย เพราะคิดว่ากัญชามันยังไม่ได้มีสำคัญต่อชีวิตผมมากเท่ากับวาระที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยนำเสนอ แต่คนที่เลือกเพื่อไทยคือผู้ป่วย ที่ต้องทุกข์ทรมานกับโรคไม่มีทางรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบัน เช่นมะเร็ง เบาหวาน พาร์กินสัน ลมชัก ฯลฯ


อนุทินกับเด็กผู้ป่วยโรคสมองพิการในงานแถลงข่าว "พันธุ์บุรีรัมย์"เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562
ที่มา: 
Facebook Buntoon Niyamabha

จริงอยู่ที่ประสิทธิภาพทางการแพทย์ของกัญชาในการรักษาโรคเหล่านี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง แต่สำหรับผู้ป่วยที่ลองมาแล้วหมดทุกทาง หรือไม่มีเงินพอจะเข้าถึงบริการทางการแพทย์ชั้นเลิศ กัญชาจึงเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา อ้างอิงจากคำพูดของนายบัณฑูร นิยมาภา หรือน้าตู้ หนึ่งในตัวแทนเครือข่ายที่เคลื่อนไหวเรื่องกัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย มีผู้ที่แอบใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคอยู่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคนก่อนที่กฎหมายกัญชาจะผ่าน สนช. เสียอีก คนเหล่านี้รู้ดีว่ากัญชาที่พวกเขาใช้ไม่ได้ใกล้เคียงระดับคุณภาพทางการแพทย์ (medical grade) เลยแม้แต่น้อย หน่ำซ้ำยังมีโอกาสปนเปื้อนสารเคมียาฆ่าแมลงและเสี่ยงต่อการถูกตำรวจสุ่มตรวจปัสสาวะตลอดเวลา แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเสี่ยงดีกว่านั่งรอความตาย

บางรายที่โชคดีก็สามารถหายขาดจากโรคได้ ในรายที่ไม่หายก็ยังพอจะทะลุความเจ็บปวดทรมานลงได้บ้างเพื่อรอการจากไปอย่างสงบ แน่นอนว่าผู้ป่วยเหล่านี้ก็มีครอบครัว มีญาติ ที่ได้เฝ้าสังเกตุพัฒนาการที่ดีขึ้นของผู้ป่วยหลังการใช้กัญชาด้วยตัวเอง พวกเขาย่อมอยากให้คนที่พวกเขารักเข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่และได้รับการยอมรับจากรัฐมากกว่านี้ คนพวกนี้คือคนที่เทคะแนนเสียงให้ภูมิใจไทย ยังไม่นับรวมเกษตรกรที่มองว่าการปลูกกัญชาในเชิงพาณิชย์จะช่วยแก้ปัญหาปากท้องของพวกเขาได้ดีกว่าการปลูกข้าวหรือยางพาราไปวันๆ นี่คือกลุ่มคนที่ฝ่ายประชาธิปไตยมองข้าม แต่ฝ่ายขวาไม่เคยทอดทิ้ง จะมีก็แต่พรรคสามัญชนแต่ก็เป็นพรรคเล็กและก็ไม่ได้ซักที่นั่งเดียวในสภา

อันที่จริงในช่วงระหว่างการเลือกตั้ง ตัวแทนเครือข่ายกัญชาหลายคนพยายามอย่างยิ่งในการวิ่งเขาหาฝ่ายการเมืองประชาธิปไตย เพราะผู้เสพพืชแห่งเสรีชนย่อมไม่อยากจำนนต่อเผด็จการ แต่ก็มิได้รับการตอบรับใดๆ ข้าพเจ้าเคยประเคนเบอร์ติดต่อตัวแทนเครือข่ายกัญชารักษาโรคให้ผู้ที่ทำงานในพรรคคนรุ่นใหม่พรรคหนึ่งเองกับมือ แต่สุดท้ายมันก็หายไปกับสายลม มีแต่ภูมิใจไทยพรรคเดียวเท่านั้นที่ขานรับและยกระดับให้กัญชากลายเป็นวาระแห่งชาติ แม้ในช่วงเวลาหลังเลือกตั้ง ที่แต่ละพรรคต่างตั้งเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาลกันไปต่างๆ นาๆ ว่าจะไม่เอาสืบทอดอำนาจก็ดี จะไม่เอาทักษิณก็ดี ภูมิใจไทยกลับบอกว่าร่วมกับใครก็ได้ แต่ต้องผลักดันกัญชาเสรีแบบนี้จะไม่ให้เราสนับสนุนเขาได้อย่างไร

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็ต้องขอพูดให้ชัดเจนว่า ตัวผมนั้นอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยและเกลียดรัฐประหารเข้าไส้ ผมจึงเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นกัญชากำลังงอกเงยอย่างงดงามในภูมิทัศน์ทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม แต่ฝ่ายการเมืองที่ผมศรัทธากลับไม่คิดจะทำอะไร การพูดเรื่องกัญชาในช่วงเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยเท่าที่ผมจำได้ (ซึ่งอาจจะจำผิด) เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว คือเฉลิม อยู่บำรุงแห่งเพื่อไทย ที่ออกมาพูดว่าตนไม่เห็นด้วยกับการผ่านกฎหมายกัญชาของ สนช. แถมยังพูดในเชิงว่ารัฐบาลควรเข้มงวดเรื่องการปราบปรามยาเสพติดมากขึ้นเสียอีก ฟังแล้วมันจุกอกยิ่งนัก

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝ่ายประชาธิปไตยจะเสียรางวัดสายเขียวให้กับฝ่ายขวาไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่กัญชากับประชาธิปไตยเป็นของคู่กันมาตลอดประวัติศาสตร์ กัญชาเคยเป็นสัญลักษณ์ของเหล่าบุพพาชนยุคฮิปปี้ที่ร่วมกันต่อต้านสงครามเวียดนาม กัญชาคือสัญลักษณ์ที่บ๊อบ มาร์เลย์ใช้เชื่อมโยงคนแอฟริกันที่กระจายอยู่ทั่วโลกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และต่อต้านอิทธิพลจักรวรรดินิยมอเมริกาผ่านบทเพลงของเขา ล่าสุดในปี 2018 ศาลรัฐธรรมนูญแห่งประเทศแอฟริกาใต้ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้การใช้กัญชาเป็นสิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ

ในทางกลับกัน เราเห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยให้กัญชาตกอยู่ในเงื้อมมือเผด็จการ คนไทยเกือบจะต้องใช้กัญชาจากบริษัทยาข้ามชาติแม้เราจะเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตกัญชาที่ดีที่สุดของโลก โชคดีที่เครือข่ายภาคประชาสังคมด้านกัญชาทางการแพทย์สามารถกดดันให้รัฐบาลถอนคำร้องขอจดสิทธิบัตรจากบริษัทต่างชาติได้สำเร็จ มิเช่นนั้นคนไทยอาจไม่มีวันได้ใช้กัญชาจากผืนแผ่นดินไทย และแน่นอน นี่ก็เป็นผลงานของบรรดาฝ่ายขวาอีกเช่นกัน

หากพรรคอนาคตใหม่เชื่อว่าประชาชนไม่ควรถูกริดรอนสิทธิในการกำหนดอัตตานัติของเราจริง คุณต้องออกมาปกป้องประชาชนที่ถูกจับกุมคุมขังจากการใช้หรือผลิตกัญชาเพื่อรักษาโรค หากเพื่อไทยเชื่อว่าปากท้องของคนไทยเป็นสิ่งสำคัญ คุณต้องออกมาสนับสนุนการปลูกกัญชาเสรีเพื่อความกินดีอยู่ดีของเกษตรกร หาไม่แล้ว หลักการสวยหรูที่พวกคุณเคยพูดมาก็ไม่ต่างอะไรจากควันในกระบอกไม้ไผ่ หาไม่แล้ว เผด็จการก็จะกลายเป็นนักบุญผู้หยิบยื่นความสุขและยาอายุวัฒนะให้กับประชาชน ส่วนพวกคุณก็คือผู้อยู่เฉยและไม่คิดจะทำอะไร

แน่นอน คุณอาจจะบอกว่ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า ไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือป้องกันการสืบทอดอำนาจ คสช. ซึ่งผมเห็นด้วยทุกประการ แต่พึงระลึกไว้เถิดว่ามีคนป่วยตายทุกวัน มีคนติดคุกเพียงเพราะเอาควันเข้าปอดทุกวัน มีคนติดคุกเพียงแค่อยากจะกินแกงไก่อร่อยๆ ทุกวัน หากมันยังสำคัญไม่พอ ผมคงต้องบอกว่า “เสียดาย” หนึ่งกากบาทที่หลงมอบให้พวกคุณไป

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ผสานวัฒนธรรม'ร้อง จนท.ยุติและทำลายตัวอย่าง DNA ที่เก็บจากผู้เข้าเกณฑ์ทหารในพื้นที่ชายแดนใต้

$
0
0
 
 
แฟ้มภาพ ระหว่างรอตรวจดีเอ็นเอ
9 เม.ย.2562 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกรณีเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้เคารพในสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและความเป็นส่วนตัวของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ยึดมั่นในหลักนิติธรรม มีความโปร่งใส โดยขอเรียกร้องให้ยุติการเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมหรือดีเอนเอของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารและทำลายตัวอย่างสารพันธุกรรมที่ได้เก็บไปแล้วด้วย
 
 
โดยมีรายละเอียดดังนี้ : 
 

แถลงการณ์: ขอให้ยุติการเก็บและให้ทำลายสารพันธุกรรมของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารในพื้นที่ชายแดนใต้

 
จากรายงานข่าวและการร้องเรียนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมพบว่าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2562 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาคืออำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา โดยศูนย์สันติวิธี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4  (กอ.รมน.ภาค 4) ส่วนหน้า ได้ประกาศผ่านสื่อมวลชนว่า เป็นการเก็บมาไว้ในฐานข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในการพิสูจน์หลักฐานเมื่อเกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่
 
จากการลงพื้นที่ของอาสาสมัครเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวพบว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจากหน่วยงานรัฐบางแห่งได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (จชต.) จริงโดยใช้วิธีเก็บเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารและจัดเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอที่ได้ไว้ในกล่องกระดาษ แล้วเขียนชื่อเจ้าของดีเอ็นเอพร้อมให้ผู้นั้นลงรายชื่อกำกับไว้ มีผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารบางรายได้ให้ข้อมูลกับอาสาสมัครว่าเข้าใจว่าเป็นขั้นตอนปกติตามกฎหมายในการเกณฑ์ทหาร บางคนแม้ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่เก็บดีเอ็นเอของตน แต่จำใจต้องลงชื่อในใบให้ความยินยอมเนื่องจากเกรงกลัวเจ้าหน้าที่
 
ผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารหลายคนที่ให้ข้อมูลกับอาสาสมัครของมูลนิธิฯ กล่าวว่า พวกตนไม่ได้รับการแจ้งว่าเจ้าหน้าที่จะนำตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกตนไปเพื่อวัตถุประสงค์ใด เอาไปทำอะไร อย่างไร ใครหรือหน่วยงานใดจะเป็นผู้ทำหน้าที่เก็บรักษา จะเก็บอย่างไร ใครจะสามารถเข้าถึงหรือใช้ตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกตนได้อย่างไร จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้มีผู้นำไปใช้ในทางที่ผิดหรือกลั่นแกล้งพวกตนหรือไม่  นอกจากนั้นผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารส่วนใหญ่ได้ลงลายมือชื่อยินยอมให้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอไปโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งว่าพวกตนมีสิทธิที่จะปฏิเสธได้ (Prior Informed Consent -PIC)  ทำให้พวกตนไม่กล้าปฏิเสธเพราะเข้าใจว่าเป็นขั้นตอนการดำเนินการที่มีกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ไว้หรือจำยอมให้เก็บด้วยความหวาดกลัว
 
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีความเห็นว่า
 
  1. บุคคลทุกคนมีสิทธิในชีวิตเนื้อตัวร่างกายและสิทธิในความเป็นส่วนตัว รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของตนที่บุคคลอื่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจล่วงละเมิดได้ การจัดเก็บดีเอ็นเอของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารในจชต. โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงนั้นเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีบทกฎหมายใดที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่กระทำได้ โดยเฉพาะการจัดเก็บโดยระบุชื่อของเจ้าของดีเอ็นเอไว้ที่กล่องอาจทำให้ผู้ที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายสามารถเข้าถึงข้อมูลดีเอ็นเออันเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของดีเอ็นเอได้ และอาจเปิดช่องให้มีการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในทางที่ไม่ชอบ อย่างมีอคติ และเป็นผลร้ายต่อเจ้าของดีเอ็นเอ
  2. กระบวนการเก็บและรักษาดีเอ็นเอเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่กระทบถึงสิทธิของบุคคล การดำเนินการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารในลักษณะเช่นนี้ ทำให้สงสัยว่าจะเป็นการดำเนินการที่ขัดกับ “กฎแห่งห่วงโซ่การดูแลพยานหลักฐาน” (Chain of Custody- CoC ) ที่จะต้องดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย มีวิชาชีพ มีจริยธรรม โดยหน่วยงานที่เป็นอิสระ มีการควบคุมการเข้าถึง การส่งต่อ รับมอบ เก็บรักษา การตรวจพิสูจน์ และการส่งและใช้ผลการตรวจพิสูจน์ โดยหน่วยงานที่เป็นอิสระต่อกัน และมีการลงชื่อเจ้าหน้าที่ไว้ทุกขั้นตอน ทั้งมีมาตรการป้องกันและตรวจสอบไม่ให้บุคคลใดนำข้อมูลไปใช้โดยไม่มีอำนาจและไม่ชอบด้วยกฎหมาย การจัดเก็บโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในกรณีนี้อาจเปิดโอกาสให้มีการนำดีเอ็นเอของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารไปใช้เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อประกอบการดำเนินคดีต่อบุคคลโดยไม่ชอบด้วยขั้นตอนของกฎหมาย หรือกลั่นแกล้งบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ รวมทั้งการดำเนินคดีในข้อหาความผิดร้ายแรงที่บางคดีอาจมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต เจ้าหน้าที่รัฐจึงควรคำนึงถึงหลักการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
  3. เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้สื่อสารต่อสาธารณะในการเก็บดีเอ็นเอจากผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารว่า “สำหรับผู้ที่ไม่ยอมให้ตรวจ มีกฎหมายอยู่ตัวหนึ่ง คือ กม. มาตรา 131/1 ป.วิอาญา อันนี้จะเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน เพื่อจะต้องพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา ถ้าผู้ต้องหาไม่ยอมให้ตรวจดีเอ็นเอ ให้สันนิษฐานว่าผลเป็นไปตามตรวจพิสูจน์เป็นผลร้ายต่อผู้ต้องหา เมื่อคุณไม่ให้ตรวจก็แสดงว่าคุณเป็นคนร้าย คุณมีอะไรทำไมถึงไม่ให้ตรวจ” 
  4. ข้อความดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและกฎหมาย ซึ่งความจริงการเก็บดีเอ็นเอของบุคคลจะดำเนินการได้เมื่อมีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น โดยจะดำเนินการโดยพนักงานสอบสวนต่อผู้ต้องหาในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131/1 เท่านั้น ผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นเพียงบุคคลทั่วไปที่เป็นผู้บริสุทธิ์มิใช่ผู้ต้องหาในคดีอาญา การเก็บดีเอ็นเอจึงเป็นการละเมิดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจไว้และเป็นการดำเนินการเกินความจำเป็น นอกจากนี้ การให้ข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะยังอาจสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนในพื้นที่จชต.ซึ่งอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารจำยอมให้เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของตน
  5. การเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารนอกจากเป็นการดำเนินการที่มีปัญหาความไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ทางราชการยังเลือกที่จะดำเนินการเฉพาะใน จชต. เท่านั้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจได้ว่าเป็นการดำเนินการที่มีลักษณะของการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนในพื้นที่ที่แตกต่างจากประชากรในพื้นที่ทั่วประเทศ อาจทำให้ประชาชนใน จชต. เกิดความรู้สึกว่า พวกตนล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยของเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้กระทำผิด หรือเกี่ยวข้องกับความไม่สงบ และถูกเจ้าหน้าที่จ้องเอาผิด การปฏิบัติการเช่นนี้จึงขัดต่อหลักการปฏิบัติที่ดีต่อพลเมือง หลักการสันนิษฐานว่าบุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของกฎหมายไทยและกฎหมายรัฐธรรมนูญ

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า รัฐมีหน้าที่และบทบาทที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อนำมาซึ่งสันติสุขในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งการจับกุมดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ต่อผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะผู้ใช้ความรุนแรงต่อสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินขอประชาชน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผิดกฎหมาย ทั้งกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง แต่การดำเนินการต่างๆของรัฐจะได้รับผลสำเร็จก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับความเชื่อมั่นและความร่วมมือจากประชาชน โดยเจ้าหน้าที่ต้องกระทำการต่างๆโดยชอบด้วยกฎหมายและยอมรับนับถือสิทธิมนุษยชนของประชาชนด้วย

การเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารในลักษณะของการล่วงละเมิดสิทธิของบุคคลดังกล่าวข้างต้น อาจมีผลทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าตนถูกเลือกปฏิบัติ ถูกปฏิบัติอย่างผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นคนร้าย  เกิดความหวั่นเกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่บางคนกลั่นแกล้ง โดยนำดีเอ็นเอของตนไปใช้ในทางที่ไม่ชอบ ทำให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่น  ขาดความไว้วางใจที่มีต่อรัฐไปในที่สุด

ดังนั้น มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เคารพในสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและความเป็นส่วนตัวของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ยึดมั่นในหลักนิติธรรม มีความโปร่งใส โดยขอเรียกร้องให้ยุติการเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมหรือดีเอนเอของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหารและทำลายตัวอย่างสารพันธุกรรมที่ได้เก็บไปแล้วด้วย

วันที่ 9 เมษายน 2562

กรุงเทพมหานคร

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

อนาคตใหม่ ยื่นกกต. นับคะแนนนครปฐมเขต 1 ใหม่ หลังพบความผิดปกติขณะนับคะแนน

$
0
0

ผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ นครปฐมเขต 1 ยื่นกกต นับคะแนนใหม่ หลังพบว่าช่วงที่นับคะแนนมีการหยุดนับคะแนนกลางคัน และมีความผิดปกติหลายประการ พร้อมขอให้ กกต. เปิดเผยคะแนนรายหน่วยทั่วประเทศเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ

9 เม.ย. 2562 สำนักข่าวไทยรายงานว่า รณวิต หล่อเลิศสุนทร  รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อมด้วย สาวิกา ลิมปะสุวัณณะ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จ.นครปฐมมายื่นหนังสือถึงกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขอให้นับคะแนนใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.นครปฐม เนื่องจากพบว่าคะแนนที่ประกาศอย่างไม่เป็นทางการอาจมีความผิดพลาด

สาวิกา กล่าวว่า ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ตนได้รับคะแนน 35,615 คะแนน เป็นลำดับที่สอง ส่วนลำดับที่ 1 คือผู้สมัครจากพรรคประชาธิปปัตย์ ได้ 35,762 คะแนน ห่างกัน 147 คะแนน ซึ่งระหว่างที่นับคะแนนในช่วงกลางเกิดเหตุระบบล่ม  ทำให้ต้องยุติการนับที่หน่วยเลือกตั้งที่ 12  ต.นครปฐม อำเภอเมือง จ.นครปฐม 

“ประกอบกับระหว่างการขานคะแนนที่หน่วยดังกล่าว ผู้สังเกตการณ์ไม่สามารถเห็นการขานคะแนน และบอร์ดที่เขียนคะแนนได้ชัด นอกจากนี้อีกหลายหน่วยเลือกตั้งหลังปิดหีบมีการรวมคะแนนแบบขีดคะแนนไม่ตรงกับการรายงานผลการนับคะแนน ขณะที่ผู้สังเกตการณ์ของพรรครายงานว่าในวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม ในเขตเลือกตั้งที่ 1 พบว่าที่หีบบัตรเลือกตั้งไม่มีสายรัดระหว่างฝากับตัวหีบ“ สาวิกา กล่าว

สาวิกา กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยไปยื่นต่อผอ.เขต 1 จ.นครปฐม เพื่อขอตรวจสอบคะแนน แต่ผอ.เขต ระบุว่าเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ภายหลังกกต.กลางแจ้งว่าเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ต่อมาได้รับผลคะแนนมาตรวจสอบ จึงพบว่า คะแนนของตนพลิกกลับมานำ 151 คะแนน เป็นลำดับที่หนึ่ง จึงขอให้กกต.นับคะแนนใหม่เพื่อความยุติธรรมด้วย  

ด้านรณวิต กล่าวว่า ขอทวงถามสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่เคยเรียกร้องให้กกต. เปิดเผยข้อมูลการเลือกตั้งรายหน่วยทั้งหมดให้สาธารณชนทราบ เพื่อความบริสุทธ์ใจในฐานะองค์กรอิสระ ให้ประชาชนตรวจสอบได้

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รวันดารำลึก 25 ปีเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพื่อย้ำเตือนไม่ให้เกิดขึ้นอีก

$
0
0

ชาวรวันดาเริ่มต้นรำลึกถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่มาจากการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังทางเชื้อชาติในวาระครบรอบ 25 ปี โดยที่คนรุ่นใหม่ของรวันดาสะท้อนในเรื่องนี้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่จะไม่ลืมอดีตที่เลวร้ายและเป็นสิ่งย้ำเตือนไม่ให้ทำผิดพลาดแบบเดียวกันอีก

พอล คากาเม ประธานาธิบดีรวันดา (ยืนกลาง) ร่วมเดินรำลึก 25 ปีเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เมื่อ 7 เม.ย. ที่กรุงคิกาลี ประเทศรวันดา (ที่มา: Flickr/Paul Kagame)

กิจกรรม Walk to Remember รำลึก 25 ปีเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่กรุงคิกาลี ประเทศรวันดา เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2019 (ที่มา: Flickr/Paul Kagame)

นับตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา ชาวรวันดาได้เริ่มต้นการรำลึกถึงเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของพวกเขาที่เกิดขึ้นเมื่อ 25 ปี ที่แล้ว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงจากการปลุกปั่นความเกลียดชังเชื้อชาติสีผิวจนทำให้มีคนเสียชีวิตราว 500,000 - 1,000,000 ราย

ชาวรวันดาทั่วกรุงคิกาลีเริ่มต้นการรำลึกถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2537 โดยมีการเริ่มงานวันแรกในวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา หนึ่งในพิธีกรรมรำลึกคือการที่เยาวชนรวันดารวมตัวกันที่สนามกีฬาแห่งชาติอมาโฮโรเพื่อจัดแสดงละครให้เหล่าผู้นำโลกรับชม โดยที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่เกิดในยุคสมัยที่เกิดความรุนแรงทางเชื้อชาติ 

การจัดงานดังกล่าวนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ทั้งนี้สถานที่จัดงานคือสนามกีฬาอมาโฮโร ยังเป็นสถานที่ที่มีความหมายทั้งจากชื่อที่แปลว่า "สันติ"และจากที่สหประชาชาติเคยใช้สนามกีฬาแห่งนี้เป็นที่คุ้มครองชาวทุตซีในช่วงที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้น

ในเหตุการณ์เมื่อปี 2537 นั้นมีชาวเชื้อชาติทุตซีถูกสังหารเสียชีวิตมากกว่า 800,000 ราย ในช่วงเวลา 100 วัน คือวันที่ 7 เม.ย. ถึง 15 ก.ค. ปี 2537 จากการใช้ความรุนแรงทั้งจากกองกำลังของรัฐบาลเชื้อชาติฮูตูและจากกลุ่มศาลเตี้ยชาวฮูตู ทั้งนี้เหยื่อผู้เสียชีวิตอีกส่วนหนึ่งก็เป็นชาวฮูตูสายกลางที่ถูกสังหารในความรุนแรงครั้งนั้นด้วย 

เหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นจากการปลุกปั่นความเกลียดชังทางเชื้อชาติจากชนชั้นนำที่เป็นรัฐบาล หลังจากที่ประธานาธิบดีชาวฮูตู จูเวนาล ฮับยาริมานา ถูกลอบสังหาร มีเหยื่อบางส่วนที่ถูกสังหารจากกองกำลังของรัฐบาลชาวฮูตู รวมถึงกองกำลังติดอาวุธที่ชื่ออินเตราฮัมเว บางส่วนถูกสังหารจากน้ำมือประชาชนต่างเชื้อชาติ เหตุการณ์เริ่มสงบลงหลังจากที่ พอล คากาเม นำกองกำลังชาวทุตซีชื่ออาร์พีเอฟเข้าไปที่คิกาลีในวันที่ 4 ก.ค. 2537

พอล คากาเม ผู้ควบคุมสถานการณ์ในครั้งนั้นและประธานาธิบดีคนปัจจุบันของรวันดาเริ่มต้นการรำลึกถึงเหตุการณ์ด้วยการจุดคบเพลิงรำลึกที่อนุสรณ์สถานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คิกาลี ที่มีเหยื่อมากกว่า 250,000 ราย ฝังอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเหยื่อชาวทุตซี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในอดีตก็มีการรำลึกเหตุการณ์นี้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนได้ย้อนนึกถึงบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ในงานรำลึกเหล่านี้บางครั้งก็ไปสะกิดบาดแผลทำให้มักจะมีผู้ที่เข้าร่วมแสดงออกทั้งการร้องไห้ ตัวสั่น กรีดร้อง หรือเป็นลม แม้ว่าพิธีกรรมจะดำเนินไปอย่างเงียบสงบ 

สำหรับผู้รอดชีวิตจำนวนมาก พวกเขาบอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้อภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ในเมื่อบางคนยังไม่สามารถหาเจอร่างที่เสียชีวิตของคนที่พวกเขารัก และผู้ก่อเหตุสังหารจำนวนมากก็ยังคงลอยนวล โดยถึงแม้ว่าเวลา 25 ปี ที่ผ่านมาจะทำให้รวันดาฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้แล้วแต่แผลเก่านี้ก็ยังคงเป็นเงาปกคลุมพวกเขาอยู่

มีการตั้งข้อสังเกตว่างานที่จัดในครั้งนี้มีกลุ่มผู้นำจากต่างประเทศ 10 ราย ที่คาดว่าจะเข้าไปแสดงความเคารพต่อผู้ตาย เช่น นายกรัฐมนตรีชาร์ลส์ มิเชล ของเบลเยี่ยมซึ่งเป็นประเทศอดีตเจ้าอาณานิคมของรวันดา แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าฝรั่งเศสไม่ส่งประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ไปเข้าร่วม จากที่ฝรั่งเศสเคยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เนื่องจากสนับสนุนรัฐบาลเชื้อสายฮูตูและช่วยให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหนีไปได้ ทางฝรั่งเศสปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอด เว้นแต่อดีตประธานาธิบดี นิโกลา ซาร์โกซี เคยกล่าวไว้เมื่อปี 2553 ยอมรับว่าฝรั่งเศส "ตัดสินใจผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง"ในครั้งนั้น

อย่างไรก็ตามสำหรับคนรุ่นใหม่ในรวันดา พวกเขามองว่าการรำลึกเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องดี เดบอรา มวังกันเย นักศึกษาวิชาออกแบบภายในอายุ 19 ปีบอกว่าพวกเขาควรเรียนรู้เรื่องเหล่านี้เพื่อที่จะไม่ให้ลืมอดีตและไม่ให้ทำผิดพลาดแบบในอดีต ตัวเธอเองก็มีพ่อซึ่งรอดชีวิตมาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้แต่คนอื่นๆ ในครอบครัวของพ่อถูกสังหารหมด

หลังจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นรวันดาก็ทำการสั่งบนการระบุชื่อเผ่าลงในบัตรประจำตัวประชาชนและส่งเสริมให้คนแทนตัวเองว่าเป็นชาวรวันดาแทนการบอกว่าเป็นคนเชื้อชาติฮูตู ทุตซี หรือทวา มีกฎหมายระบุว่าการเหยียดหรือเลือกปฏิบัติต่อบุคคลด้วยฐานเรื่องเชื้อชาติจะถูกลงโทษด้วยการจำคุก

ผู้นำเยาวชนอีกรายหนึ่งชื่อ เมาริซ กวิเซรีมานา กล่าวในสิ่งที่สะท้อนว่าชาวรวันดามองการระบุตัวตนเรื่องเชื้อชาติกลายเป็นการนำมาซึ่งการกีดกันเลือกปฏิบัติและเรื่องแย่ๆ อย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตัวของทวิเซรีมานาเองก็เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นซึ่งในตอนนั้นเขาอายุได้ 5 ปี พวกเขาไล่เปิดประตูไปตามบ้านต่างๆ และสังหารทุกคนที่พวกเขาสงสัยว่าจะเป็นชาวทุตซี แม้กระทั่งเด็กทารก ญาติของเขาก็ถูกข่มขืนและถูกใช้มีดฟันจนเสียชีวิต

เรียบเรียงจาก

Rwanda prepares for week-long commemoration of 1994 genocide, Aljazeera, 07-04-2019

Rwanda marks 25th anniversary of genocide with 100 days of mourning, SBS News, 7 April 2019

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Rwandan_genocide

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เปลี่ยนจากพยานเป็นผู้ต้องหา พ.อ.บุรินทร์ฟ้อง ปิยบุตร ดูหมิ่นศาล

$
0
0

พ.อ.บุรินทร์ ฟ้องปิยบุตร ฐานดูหมิ่นศาล และนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ กรณีอ่านแถลงการณ์ปมยุบพรรคไทยรักษาชาติ ระบุจะเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนที่ ปอท. 17 เม.ย. แน่นอน มั่นใจเนื้อหาในแถลงการณ์ไม่เข้าข่ายความผิด

9 เม.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟสบุ๊คเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ตนได้รับ “หมายเรียกพยาน” จากกรณีอ่านคำแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่กรณีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยให้ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันเดียวกันกับวันที่ได้รับหมาย ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปได้ตามกำหนด จึงได้ให้ทนายความขอเลื่อนการเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป

ปอท. ออกหมายเรียกปิยบุตร ปมอ่านแถลงการณ์กรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ

อนาคตใหม่แถลง ยุบ ทษช. ไม่ดีต่อประชาธิปไตย ประชาชนเคลือบแคลงองค์กรอิสระ

ปิยบุตร ระบุว่า วันนี้ทราบว่าหมายเรีกพยานดังกล่าว ได้เปลี่ยนเป็นหมายเรียกผู้ต้องหาแล้ว โดยพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจาก คสช. ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในความผิดอาญา 2 ฐาน ได้แก่ 1.ดูหมิ่นศาล 2.นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือเกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์

โดยหมายเรียกผู้ต้องหาออกวันที่ 5 เมษายน 2562 สองวันให้หลังจากวันที่ปิยบุตรได้รับหมายเรียกพยานและขอเลื่อนนัด ทั้งกฎหนดให้ไปพบเจ้าหน้าที่ภายในวันที่ 9 เม.ย.

แต่เนื่องจากปิยบุตรเดินทางมาเยี่ยมภรรยาที่ต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. จึงไม่สามารถไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ และได้ให้ทนายความขอเลื่อนนัดเป็นวันที่ 17 เม.ย. แทนแล้ว

ปิยบุตร ระบุด้วยว่า ยืนยันว่าวันที่ 17 เม.ย. นี้ จะเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ ปอท. แน่นอน และมั่นใจว่าในแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ที่อ่านนั้น ไม่มีข้อความใดที่เข้าข่ายความผิดตามที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ และ คสช. กล่าวหา

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เรืองไกรยื่น ผู้ตรวจฯส่งศาล รธน. หรือศาลปกครอง วินิจฉัยเลือกตั้งโมฆะ

$
0
0

เรืองไกร ลิกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาส่งศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลือกตั้ง 24 มี.ค. เป็นโฆษะหรือไม่ ชี้ กกต. ทำผิดเพราะหยุดนับคะแนนกลางคัน 

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ (แฟ้มภาพ TV24)

9 เม.ย.2562 ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เสนอความเห็นไปยังศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมาเป็นโมฆะหรือไม่ และการกระทำของ กกต. ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เนื่องจากรายงานตัวเลขนับคะแนนเลือกตั้ง จำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ยังมีตัวเลขที่ต่างกัน จึงทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าผลการเลือกตั้งจาก 92,230 หน่วย อาจไม่ตรงกัน ซึ่งกรณีดังกล่าวถูกสาธารณชน และพรรคการเมืองขอให้ กกต.เปิดเผยผลคะแนนทุกหน่วยเลือกตั้ง โดยลงประกาศในเว็บไซต์เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ไม่ใช่ให้ผู้สมัครในแต่ละเขตเป็นผู้ไปยื่นคำร้อง และชำระค่าคัดสำเนาเอกสาร เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุค 4.0 ควรจะเลิกการใช้สำเนา ทั้งนี้แม้ว่า กกต.จะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่จำนวน 6 หน่วยเลือกตั้งใน 5 จังหวัด ก็ยังไม่ทำให้สิ้นสงสัยกรณีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ และจำนวนบัตรแตกต่างกันอยู่ 9 คน

เรืองไกร กล่าวต่อว่า กรณีผู้ใช้สิทธิ์และผลการนับคะแนนที่คลาดเคลื่อน หรือบัตรเขย่ง ตามที่สำนักงาน กกต. ชี้แจงว่าเกิดจากการยังนับคะแนนไม่แล้วเสร็จ เป็นการนับคะแนนเพียงแค่ 90 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าการนับคะแนนอาจไม่เป็นไปตามระเบียบ กกต.และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 117 มาตรา 120 มาตรา 123 เพราะการนับคะแนนจะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ห้ามหยุดพัก นอกจากนี้ กกต.ยังระบุว่าความคลาดเคลื่อนส่วนหนึ่งเกิดจากยังไม่ได้นำคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า รวมถึงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรอีกกว่า 2 ล้านใบมานับรวม จึงมีเหตุสมควรให้ผู้ตรวจส่งเรื่องให้ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเร็ว ก่อนที่ กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 9 พ.ค.

นอกจากนี้ในการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีข้อมูลแตกต่างกันจากหลายฝ่าย และเมื่อตรวจสอบจากรายงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตั้งแต่รายงานในชั้นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ไม่พบตัวอย่างการคำนวณ ส.ส.ตามที่กล่าวอ้างกัน ดังนั้นการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจึงต้องเป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128,129 เท่านั้น กรณีนำพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นเศษไม่ครบจำนวนเต็ม และไม่ถึงจำนวน ส.ส.พึงมีมาปันส่วน เพื่อให้ได้รับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อด้วย จึงอาจไม่มีหลักการของกฎหมายใดมารองรับ

"ผมเลือกที่จะมาร้องกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เพราะผู้ตรวจมีบทบาทต่อการวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะถึง 2 ครั้ง ในครั้งนี้อยากให้ผู้ตรวจแยกส่งให้ศาลปกครองวินิจฉัยกรณีที่ กกต. กระทำขัดต่อระเบียบ และส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ"เรืองไกร กล่าว

วทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการฯ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า หลังรับเรื่องทางสำนักงานจะเร่งตรวจสอบคำร้องทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเพื่อส่งเสนอให้ผู้ตรวจฯ พิจารณาโดยเร็ว ว่า คำร้องของนายเรืองไกรอยู่ในอำนาจพิจารณาของผู้ตรวจฯ หรือไม่ และหากเข้าข้อกฎหมายจะต้องส่งเรื่องไปที่ศาลใดวินิจฉัย

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ประชาสังคม LGBT ค้านบรูไนใช้กฎหมายชารีอะห์ หวั่นทำลายอุดมคติอาเซียน

$
0
0

นักกิจกรรมด้านความหลากหลายทางเพศเดินทางไปยังสถานทูตบรูไนในไทย คัดค้านการใช้กฎหมายชารีอะห์ที่มีการประหารชีวิตคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่เป็นประเด็นในเรื่องการปาหินจนตาย ระบุ ขัดข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ กลัวทำลายอุดมคติอาเซียน ผู้เข้าร่วมเล่าความลำบากของ LGBT ในอาเซียนที่อยู่ยากตั้งแต่ในบ้านยันสถานะทางกฎหมาย เรียกร้องไทยมีท่าทีให้รัฐประกันความปลอดภัยของประชาชน

ตัวแทนภาคประชาสังคมอ่านแถลงการณ์ให้กับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัคราชทูตบรูไนฟังก่อนจะส่งมอบ

9 เม.ย. 2562 ที่หน้าสถานเอกอัคราชทูตบรูไนประจำประเทศไทย มีกลุ่มนักกิจกรรมด้านความหลากหลายทางเพศทั้งชาวไทยและต่างชาติราว 20 คน เดินทางไปยื่นจดหมายและแถลงการณ์ขององค์กรภาคประชาสังคมอาเซียนว่าด้วยการบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์อย่างสมบูรณ์ในประเทศบรูไนดารุสซาลาม ที่เป็นกระแสในเรื่องโทษประหารผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศด้วยการปาหินในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีองค์กรภาคประชาสังคมอาเซียนร่วมลงนามถึง 132 องค์กร การยื่นแถลงการณ์ครั้งนี้ มีประเสริฐ แวดือราแม เจ้าหน้าที่กองรับรองออกมารับจดหมายและแถลงการณ์

สุไลพร ชลวิไล นักวิจัยอิสระ นักกิจกรรมด้านความหลากหลายทางเพศที่วันนี้มาร่วมเคลื่อนไหวระบุว่า ประเด็นบรูไนกลายเป็นเรื่องใหญ่ในวงเครือข่ายนักกิจกรรม LGBT ในอาเซียน มีการคิดว่าต้องส่งข้อความว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎหมายดังกล่าว จึงมีการร่วมลงชื่อ ออกแถลงการณ์ แรกเริ่มนั้นนัดกันส่งแถลงการณ์และจดหมายให้ตัวแทนรัฐบาลบรูไนในประเทศต่างๆ พร้อมกัน แต่ท้ายที่สุดก็มีประเทศไทยที่เดียวที่สามารถทำได้ เพราะบรรยากาศในประเทศต่างๆ ไม่เอื้อ

“ประเด็นสิทธิ LGBT ในอาเซียนผลักดันยากมาก เพราะ หนึ่ง ประเทศสมาชิกอาเซียนมีหลายประเทศที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอมรับสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ สอง กลไกของอาเซียนที่เกิดขึ้นตามประชาคมไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนต่างๆ ก็ไม่กล้าที่จะพูดตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสิทธิ LGBT เป็นสิทธิมนุษยชน สาม หลักการประชาคมอาเซียนก็แสดงออกชัดเจนว่าจะไม่ก้าวก่ายกับกิจการในประเทศสมาชิกอื่น โดยสรุปก็คือว่า ที่ผ่านมาการผลักดันเรื่องนี้ไม่เกิดอะไรขึ้นมา และมันก็จะไม่เกิดอะไร เพราะเราเห็นระบบมันเป็นแบบนี้” สุไลพรกล่าว

ด้านมัจฉา พรอินทร์ จากโครงการสร้างสรรค์อนาคตเยาวชนที่วันนี้มาร่วมเคลื่อนไหวและเป็นหนึ่งในผู้ประสานงานกับสถานทูตในการรับหนังสือ ระบุว่าการลงโทษถึงขั้นรุนแรงถึงชีวิตเป็นปัญหาเพราะ LGBT ไม่ถูกมองเห็นจากสังคมในเรื่องรสนิยมทางเพศ ทันทีที่อัตลักษณ์นำไปสู่การประหารชีวิตหรือเอาผิดได้ ก็ถือว่าทำลายสิทธิมนุษยชนซึ่งจริงๆ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ

มัจฉาเล่าถึงสภาพความยากลำบากที่กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในอาเซียนต้องเผชิญว่ามีต้งแต่ความเชื่อมาในระดับครอบครัว พ่อแม่อาจทำร้ายลูกที่เป็น LGBT ในไทยมีรายงานว่ามีการรังแกมากเป็นอันดับสองในโลก งานวิจัย UNESCO เรื่องการรังแกกันในโรงเรียนเมื่อสองปีที่แล้วก็มีผลสะท้อนว่ามากกว่าร้อยละ 40 ของเด็ก LGBT ที่ถูกรังแกในโรงเรียนมีความคิด เคย หรือพยายามฆ่าตัวตาย กฎหมายเองก็ยังมีการเอาผิด LGBT อย่างในพม่าและมาเลเซีย มีข่าวการฆ่าพี่น้องข้ามเพศ หรือสองปีที่แล้วก็มีข่าวเลสเบี้ยนสองคนถูกตัดสินโบย ทั้งนี้ ในภูมิภาคอาเซียนยังคงมีความพยายามผลักดันประเด็นสิทธิคนหลากหลายทางเพศจากกลุ่มประชาสังคมอยู่ทั่วภูมิภาคในหลายระดับตั้งแต่กฎหมายไปจนถึงการได้รับการยอมรับในชีวิตประจำวัน

ศิริศักดิ์ ไชยเทศ

ศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมด้านความหลากหลายทางเพศที่วันนี้เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ และแต่งตัวมาในชุดจำลองการถูกปาหิน ระบุว่า สิทธิไม่ควรถูกเลือกปฏิบัติโดยประเทศ สถาบันหรือศาสนาใดๆ ในฐานะที่เขาป็นคนที่เป็น LGBT ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะกฎหมายดังกล่าวรุนแรงเหลือเกิน ทั้งๆที่ทุกวันนี้คนต่างพูดถึงสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น แต่บรูไนกลับใช้กฎหมายที่รุนแรงและไร้มนุษยธรรม

“เราอยากให้เห็นว่า ปาหินบนหัวนี่ทรมานนะกว่าจะตาย แล้วอีกอย่างคือเขาให้ฝังดินครึ่งตัวแล้วให้คนช่วยกันปาทีละก้อน ซึ่งมันไม่ตายรวดเร็ว บางทีหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ไม่เท่ากัน เอาง่ายๆ แค่เรา (โดน) ตบหน้า ปากกาหล่นใส่หน้าเราก็เจ็บแล้ว แต่นี่คือปาหินทีละก้อนกว่าจะสิ้นใจ มันทรมาน โหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรม” ศิริศักดิ์กล่าวถึงที่มาของธีมการแต่งกายวันนี้

เอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์

เอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์ อีกหนึ่งนักกิจกรรมจากกลุ่มโรงน้ำชา ผู้มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ กล่าวว่า รัฐไทยต้องออกมาคัดค้าน แสดงความชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการบังคับใบ้กฎหมายชารีอะห์ที่ละเมิดข้อสัญญาระหว่างประเทศที่บรูไนให้ไว้ เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะให้ความรู้สึกปลอดภัย ให้ความมั่นคงกับประชาชน ถ้ารัฐทำไม่ได้ ประชาชนจะใช้อะไรเป็นหลักประกันของชีวิต เขาจะรู้สึกปลอดภัยได้อย่างไรถ้าในสังคมมีกรอบให้เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก

คำแถลงการณ์ขององค์กรภาคประชาสังคมอาเซียน ว่าด้วยการบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์อย่างสมบูรณ์ในประเทศบรูไนดารุสซาลาม

ในคำแถลงการณ์ฉบับนี้องค์กรภาคประชาสังคมในภูฒิภาคอาเซียนตามรายชื่อด้านล่าง ได้ลงนามเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศบรูไนยุติการดำเนินการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญาตามหลักกฎหมายศาสนาอิสลาม ที่เรียกว่ากฎหมายชารีอะห์ ด้วยเหตุผลว่ากฎหมายดังกล่าวมีข้อกำหนดที่ขัดแย้งกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลที่ประเทศบรูไนได้มีการลงนามในสนธิสัญญา และให้สัตยาบันระหว่างประเทศดังต่อไปนี้

  1. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR)
  2. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC)
  3. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW)
  4. กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของกลุ่มประเทศในอาเซียน
  5. อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT)
  6. ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคอาเซียน (AHRD)

ดังนั้นรัฐบาลประเทศบรูไนจึงจำเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นที่จะเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามสนธิสัญญาสากลและสัตยาบันตามที่ประเทศได้ลงนามตกลงไว้ โดยการหลีกเลี่ยงการลงโทษทางร่างกายและโทษประหารชีวิต เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกทั้งรัฐบาลประเทศบรูไนควรตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาและปกป้องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศด้วย การบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์ในประเทศบรูไน อาจจุดชนวนให้เกิดการปลุกกระแสความรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายทั้งในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วทั้งภูมิภาคทวีปเอเชีย เนื่องจากมีการละเมิดเสรีภาพขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพในการแสดงออก

องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคอาเซียนตระหนักถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลบรูไนที่จะ “รักษาความสงบเรียบร้อย ศาสนา ชีวิต ครอบครัว และบุคคลโดยไม่คำนึงถึงเพศ สัญชาติ เชื้อชาติและความศรัทธา” ซึ่งเป็นเหตุผลเบื้องหลังในการบังคับใช้ประมวลกฎหมายชารีอะห์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคอาเซียนได้แสดงความคิดเห็นร่วมกันว่า บทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวมีบทลงโทษที่รุนแรงและโหดร้ายมากเกินสมควร เช่น การลงโทษบุคคลที่มีส่วนร่วมในการซื้อขายบริการทางเพศ บุคคลที่รักเพศเดียวกัน บุคคลที่ตั้งครรภ์นอกสมรส บุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมาย ผู้ที่เข้าถึงการทำแท้งหรือผู้ที่กระทำสิ่งที่ขัดต่อการตีความของรัฐศาสนาอิสลามด้วยการเฆี่ยนตี จำคุก และประหารชีวิต

การบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์มีแนวโน้มที่จะใช้กับกลุ่มคนชายขอบของประเทศบรูไนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงผู้หญิง เด็กและเยาวชน กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ (LGBTQI) ผู้ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ ชนกลุ่มน้อยทางศาสนา และกลุ่มผู้คัดค้านบทลงโทษที่กำหนดด้วย โดยกฎหมายนี้ซึ่งมีการเฆี่ยนตีและการประหารชีวิต ถือเป็นการทรมาน การปฏิบัติที่ไม่สมควรและเป็นการลงโทษที่ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ประเทศที่ใส่ใจต่อพลเมืองของตนนั้น จำเป็นต้องตระหนักถึงผู้ที่อ่อนแอกว่าต่อการเลือกปฏิบัติความรุนแรงและความอยุติธรรม และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ควรแสดงถึงความพยายามที่จะปกป้องกลุ่มบุคคลเหล่านี้ อีกทั้งการลงโทษโดยการตีความศีลธรรมด้วยทัศนะแบบอนุรักษ์นิยม รวมถึงการใช้ความรุนแรงที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมเยี่ยงนี้ อาจก่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความกลัวและความบาดหมางในหมู่ประชาชนชาวบรูไน และนำมาซึ่งความถดถอยของพื้นที่ประชาสังคม

องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคอาเซียน ขอเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศบรูไนในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่กำลังจะได้ตำแหน่งผู้นำประชาคมอาเซียนในปี 2568 เพื่อตระหนักถึงอุดมคติของประชาคมอาเซียน ซึ่งมีหลักเกณฑ์ที่มุ่งเน้นที่ผู้คนเป็นศูนย์กลางชุมชน ที่ยึดตามบรรทัดฐานที่ประชาชนของเราได้รับสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความยุติธรรมทางสังคม สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศบรูไนสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ตรงกันข้าม และอาจมีผลกระทบในทางลบต่อการทำลายวิสัยทัศน์ของประชาคม อัตลักษณ์ และภาพลักษณ์ของประชาคมอาเซียน นอกจากนี้แล้วองค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคอาเซียนยังตั้งตารอที่จะเห็นประเทศบรูไนเป็นแบบอย่างที่ดีในภูมิภาคอาเซียน จากความมุ่งมั่นของประเทศที่พยายามจะปฏิบัติตามแนวทางที่ดีกว่า ภายใต้แนวคิดประชาธิปไตยในการร่วมือกับภาคประชาสังคม พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศบรูไนจะพยายามบรรลุเป้าหมายนี้ผ่านการแบ่งปันความมั่งคั่ง และเคารพสิทธิที่เท่าเทียมกันของทุกคน พวกเราขอเรียกร้องให้ประเทศบรูไนรักษาชื่อเสียงของตนว่าเป็น “ที่พำนักแห่งสันติสุข” ซึ่งเป็นสังคมที่ส่งเสริมและเคารพความหลากหลาย

ร่วมลงนามโดย 132 องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคอาเซียนตามรายชื่อแนบท้าย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไทยจัดระดมความเห็น 'หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า'เตรียมพร้อมสู่เวทียูเอ็น

$
0
0

กต. สธ. สปสช. จัดประชุมระดมความเห็น “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” เตรียมพร้อมท่าทีไทย จัดทำข้อเสนอสู่ร่างปฏิญญาการเมืองในการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปี 2562 ภายใต้เวทีสหประชาชาติ มุ่งเป้าประเทศทั่วโลกบรรลุ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า”

9 เม.ยน 2562 ที่โรงแรมอโนมา กรุงเทพ มีการประชุมรับฟังความเห็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เรื่อง หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage : UHC) เพื่อเตรียมการจัดทำท่าทีระดับประเทศสู่การประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และการฉลองวันอนามัยโลก 7 เมษายน 2562 “สุขภาพดีถ้วนหน้า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า บริการปฐมภูมิปัจจัยสำคัญสู่การบรรลุหลักประกันสุขภาพ”

งานประชุมดังกล่าวจัดโดย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์การอนามัยโลก มีผู้เข้าร่วมประชุมราว 300 คน ประกอบด้วยกลุ่มผู้ให้บริการ ประชาชน นักวิชาการ ผู้แทนสภาวิชาชีพ หน่วยงานระบบหลักประกันสุขภาพและหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน โดยมีผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศในประเทศไทยร่วมสังเกตการณ์

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า กล่าวว่า การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเชิงนโยบายและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย นำเป็นข้อมูลสู่การจัดเตรียมประเด็นท่าทีและข้อเสนอแนะของไทยในเวทีการเจรจาร่างปฏิญญาทางการเมืองในการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปี 2562 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 23 กันยายน 2562 ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

ประเด็นในการรับฟังความเห็นเป็นไปตามที่ประธานสมัชชาสหประชาชาติกำหนด ตามหัวข้อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย (Multi-stakeholders hearing) ดังนี้ 1. การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในฐานะตัวขับเคลื่อนการพัฒนาและความเจริญของประเทศอย่างทั่วถึง 2. การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นในการสร้างความเท่าเทียม และ 3. การมีส่วนร่วมดำเนินการและการลงทุนจากภาคส่วนต่างๆ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 

ทั้งนี้ ความเห็นจากทุกภาคส่วนที่ได้รับฟังจะนำไปสู่การผลักดันในเวทีโลก เพื่อทุกภูมิภาคทั่วโลกบรรลุการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการหรือการขับเคลื่อน โดยจะเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาเพื่อร่างปฏิญญาทางการเมืองในการประชุมระดับสูงว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

พิชิต บุญสุด รองอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า  ไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกกลุ่มนโยบายต่างประเทศด้านสุขภาพ โดยในปี 2560 เราสามารถผลักดันให้มีร่างข้อมติในสหประชาชาติ 2 ร่างข้อมติ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้กำหนดให้มีการประชุมระดับสูงของสหประชาชาติในเดือนกันยายน

"ประชุมระดับสูงคือการประชุมระดับผู้นำประเทศหรือรัฐมนตรีขึ้นไป ทางสหประชาชาติจะจัดประชุมทุกเดือนกันยายนก็จะมีการคุยในเรื่องที่มีความสำคัญๆ ซึ่งปีที่ผ่านมาเราผลักดันให้มีการพูดคุยเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในเดือนกันยายนปีนี้ จึงเป็นที่มาว่าก่อนจะมีการประชุมระดับสูงก็ต้องมีการเก็บข้อมูลประมวลความเห็นของภาคส่วนต่างๆ และก่อนที่จะไปสู่เวทีสหประชาชาติ ประเทศไทยก็ต้องคุยกันในส่วนของเราเองก่อนว่ามีอะไรจะไปเสนอ จึงเกิดเป็นการจัดประชุมในวันที่ 9 เมษายน 2562 ขึ้นมา"พิชิต กล่าว

พิชิต กล่าวอีกว่า ประเทศไทยได้รับการชื่นชมอย่างมาก เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประสานงานร่วมเกี่ยวกับกระบวนการจัดประชุมครั้งนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าต่างประเทศยอมรับประเทศไทย ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพที่ต่างชาติให้ความสนใจนั้น จะเป็นความสนใจในองค์รวมว่าวิธีการบริหารจัดการของไทยสามารถทำอะไรได้บ้าง และการที่ไทยเราใช้งบประมาณไม่มาก จุดนี้นี้สามารถนำไปปรับใช้ในประเทศอื่นๆได้หรือไม่ เพราะทุกประเทศไม่ได้รวยเหมือนกันหมด ถ้ามีวิธีการที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนของประเทศนั้นๆ

ทั้งนี้ เมื่อการประชุมระดับสูงของสหประชาชาติในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเสร็จสิ้นลง ก็จะถือเป็นปฏิญญาทางการเมือง เป็นแนวทางการขับเคลื่อนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในเวทีระหว่างประเทศต่อไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 9 เม.ย. 2562 ก็จะถูกบรรจุอยู่ในปฏิญญานี้ด้วยเช่นกัน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ทนายอานนท์'จัดยืนเฉยๆ ประท้วง กกต. ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ วันที่ 3 ยันพรุ่งนี้มาใหม่

$
0
0

 

9 เม.ย.2562 หลังจากเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมือง นำจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ชูป้ายกระดาษ ข้อความ “กกต.หยุดใช้กฎหมายปิดปากประชาชน” ที่เกาะกลางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งดินแดง นั้น 

ล่าสุดวันนี้ (9 เม.ย.62) อานนท์ ยังจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เป็นวันที่ 3 โดยเขาโพสต์แจ้งว่า วันนี้มีลุงๆ ป้าๆ มาเพิ่มอีก 4 คน และมีแชมป์ 1984 มาร่วมด้วย ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่มาดูแล

"พบกันพรุ่งนี้ที่เก่าเวลาเดิม 17.30-18.00 น. อนุสาวรีย์ชัย กกต.หยุดใช้กฎหมายปิดปากประชาชน เปิดคะแนนระดับหน่วยเลือกตั้ง" อานนท์ โพสต์นัดหมายจัดกิจกรรมต่อในวันพรุ่งนี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ผสานวัฒนธรรม'เสนอสารคดีผู้หญิง จ.ชายแดนใต้ ดูปัญหา ชวนหาทางแก้ขัดแย้ง

$
0
0

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจัดทำสารคดีเกี่ยวกับผู้หญิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ สามเรื่อง สามวิดีโอ ฉายภาพสะท้อนที่ทุกวัย ทุกกลุ่มตกเป็นผู้ได้รับผลกระทบท่ามกลางความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ พร้อมชวนหาทางแก้ไข เพื่อให้ผู้หญิงในชายแดนใต้อยู่ร่วมและมีบทบาทในการพัฒนา ให้เสียงของพวกเธอได้รับการรับฟัง

ฟุตเทจจากสารคดี

10 เม.ย. 2562 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีการจัดทำสารคดีเกี่ยวกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้หญิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้สามคน ได้แก่ แบดา (Beeda Cheda) ลาวียะ (Lawiyah) และมะขาม (Makam) เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันสตรีสากล (8 มี.ค. 2562)

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการ (ผอ.) มูลนิธิผสานวัฒนธรรมพูดถึงวิดีโอสารคดีว่า ผู้หญิงทุกเพศทุกวัยและทุกกลุ่มเป็นผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หนังสั้นสามเรื่องนี้เป็นตัวแทนเสียงของผู้หญิงที่เป็นแม่ เป็นลูกสาว ที่ต้องเผชิญกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากความพยายามแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ความขัดแย้ง

ลาวียะ หญิงชาวบ้านที่ในเวลาหนึ่งมีลูกชายถูกจับสองคนและต้องเผชิญกับสภาวะทางจิตใจของสามีที่หดหู่สิ้นหวังและเธอต้องเข้มแข็งให้ได้เพื่อให้ครอบครัวก้าวผ่านบททดสอบนี้ไปด้วยกัน

มะขาม เป็นเยาวชนไทยพุทธที่เติบโตมากับความรุนแรงเพราะลุงที่เลี้ยงดูเธอมาถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ แม้จะได้รับการเยียวยาความยากลำบากให้ป้าได้รับราชการตำรวจแทน แต่ครอบครัวต้องมาประสบปัญหาต้องดูแลผู้ป่วยติดเตียงเนื่องจากการให้ยาผิด และการดูแลผู้ป่วยมักเป็นหน้าที่ของผู้หญิง สำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจึงเป็นภาระที่หนักมาก แต่มะขามก็มีทัศนคติในทางบวกที่ต้องการให้เยาวชนไทยพุทธ ไทยมุสลิมมาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างให้เกิดสันติภาพและอยู่ร่วมกันได้

แบดา เป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งทำงานดูแลครอบครัวอย่างแข็งขัน เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน แต่ก็ต้องประสบกับสถานการณ์ที่การเรียกร้องสิทธิทางการเมืองของสมาชิกในครอบครัวถูกเพ่งเล็งโดยเจ้าหน้าที่รัฐ การรับมือกับมาตรการของหน่วยงานรักษาความมั่นคงต่อสมาชิกในครอบครัวของเธอกลับยิ่งทำให้เธอเข้มแข็งขึ้นและพยายามที่จะอยู่ร่วมกับชุมชนที่เธอรักอย่างมีความสุขแม้จะมีแรงกดดันมากอย่างที่ผู้หญิงในพื้นที่อื่นจะจินตนาการได้

เราจึงขอเสนอภาพและเรื่องราวในรูปแบบหนังสั้นเพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจและความเข้าใจสภาวะของผู้หญิงในชายแดนใต้ และให้ผู้ชมร่วมกันหาหนทางแก้ไขในบทบาทหน้าที่ของตนเพื่อให้ผู้หญิงในชายแดนใต้อยู่ร่วมและพัฒนาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแบบมีส่วนร่วมจริง เสียงของเธอผู้เป็นหญิงในชายแดนใต้ต้องได้รับการรับฟัง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

121 นักวิชาการยันหากกกต. ไม่ถอนฟ้องประชาชน ก็ต้องฟ้องพวกเราด้วย

$
0
0

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง 121 รายชื่อ และเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมและสิทธิมนุษยชน 63 องค์กร เข้ายื่นหนังสือเรียกร้อง กกต. ยุติการดำเนินคดีกับประชาชน เปิดเผยคะแนนรายหน่วยให้ประชาชนเข้าถึงง่าย และดำเนินการคำนวณที่นั่ง ส.ส. อย่างเคร่งครัด ด้านนักวิชาการยัน หากไม่ถอนฟ้องประชาชน ให้เอา 121 รายชื่อไปฟ้องด้วย

10 เม.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 11.30 น. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง(คนส.) เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ กกต.เปิดเผยคะแนนเลือกตั้งรายหน่วยทั่วประเทศ ให้ กกต. ดำเนินการคำนวนที่นั่ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่ออย่างเป็นธรรม และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้ กกต. ยุติการดำเนินคดีกับประชาชนที่ร่วมลงชื่อ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กกต. และแชร์แคมเปญถอดถอน กกต. จากเว็บไซต์ Change.org พร้อมยื่นรายชื่อ 121 นักวิชาการที่ได้ร่วมลงชื่อ และแชร์แคมเปญถอดถอน กกต. เพื่อแสดงเจตจำนงค์ว่า นักวิชาการพร้อมเคียงข้างประชาชน และพร้อมหากจะต้องถูก กกต. ฟ้องร้องดำเนินคดี

ต่อมาเวลา 11.45 น. เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมและสิทธิมนุษยชน ได้เข้ายื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องต่อ กกต.ด้วยเช่นกัน โดยขอให้ กกต. ยุติการดำเนินคดีกับประชาชน เปิดเผยคะแนนเลือกตั้งรายหน่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึบตรวจสอบได้โดยง่าย และดำเนินการคำนวณที่นั่ง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่ออย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย

จดหมายเปิดผนึกเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง

เรื่อง การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรมและหยุดดำเนินคดีประชาชน

ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะวิกฤตมากว่าทศวรรษและไม่มีแนวโน้มจะยุติโดยง่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการไม่เคารพในกติกาหรือว่าไม่ฟังเสียงของประชาชน นอกจากนี้ รัฐประหารและรัฐบาลทหารที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่เพียงแต่ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาหรือว่าความขัดแย้งได้ หากแต่ยังเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลให้วิกฤติหยั่งลึกและขยายวงกว้างขึ้น จึงมีแต่การกลับคืนสู่สภาวะปกติที่กติกาและเสียงของประชาชนเป็นที่เคารพเท่านั้นที่จะช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้ และมีแต่การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมเท่านั้นที่จะเป็นประตูพาประเทศไทยไปสู่นิติรัฐและนิติธรรม

อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมานอกจากไม่ช่วยให้ประเทศไทยพ้นสภาวะวิกฤติตามที่ควรจะเป็น กลับยิ่งซ้ำเติมให้วิกฤติรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่มีข้อพิรุธและก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้มาใช้สิทธิที่ไม่ตรงกับบัตรลงคะแนน จำนวนคะแนนร้อยละห้าสุดท้ายที่ไม่ได้สัดส่วนกับจำนวนหน่วยเลือกตั้ง หรือว่าวิธีการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อที่ผิดหลักการรวมทั้งอาจขัดรัฐธรรมนูญ ขณะที่ประชาชนที่เข้าชื่อถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะเห็นว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมกลับถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท ยิ่งสร้างความไม่พอใจในสังคมเพิ่มขึ้น

เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) เห็นว่าสภาพการณ์ดังกล่าวที่ กกต. มีส่วนก่อขึ้นกำลังพาสังคมไทยไปสู่จุดตีบตันหรือว่าวิกฤติระลอกใหม่ จึงมีข้อเรียกร้องต่อ กกต. ดังนี้

1) กกต. ต้องเปิดเผยผลการนับคะแนนรายหน่วยเลือกตั้ง รวมถึงวิธีการรวบรวมผลการนับคะแนน เนื่องจากผลคะแนนรวมที่ กกต. รายงานไม่ตรงกับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ และ กกต. ยังไม่ได้ชี้แจงในประเด็นนี้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ การเปิดเผยผลการนับคะแนนรายหน่วยเลือกตั้งซึ่งประชาชนร่วมเป็นประจักษ์พยานจะช่วยแก้ปัญหาความเคลือบแคลงสงสัยได้ หากผลคะแนนไม่ตรงกัน กกต. ก็ต้องนับใหม่ให้สิ้นข้อสงสัย ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับผลคะแนนรวมในที่สุด

2) กกต. ต้องเปิดเผยวิธีการและขั้นตอนการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อโดยละเอียดอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเลือกตั้งที่สาธารณะควรได้รับทราบและตรวจสอบความถูกต้องโปร่งใสรวมทั้งใช้ในการประกอบการตัดสินใจตั้งแต่ต้น การแถลงข่าวของ กกต. ที่ผ่านมาที่ไม่ได้ระบุวิธีการลงคะแนนที่ชัดเจนยิ่งก่อให้เกิดข้อกังขาว่าอาจมีการนำวิธีการคำนวณที่ไม่ถูกต้องมาใช้ในทางที่เอื้อประโยชน์บางฝ่าย หาก กกต. ไม่เร่งสร้างความกระจ่าง รวมทั้งไม่นำวิธีการคำนวณที่ถูกต้องที่ฝ่ายต่างๆ เสนอมาประกอบการพิจารณา การประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของ กกต. ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน

3) กกต. ต้องถอนฟ้องประชาชนที่แชร์การลงชื่อถอดถอน กกต. ใน Change.org รวมถึงประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงาน กกต. ในลักษณะอื่น เพราะการลงชื่อและการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานรัฐและเป็นการใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตามกติการะหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี มิได้มีเจตนาจะหมิ่นประมาท กกต. ตามที่ กกต. ฟ้องร้องแต่อย่างใด แทนที่จะใช้กฎหมาย “ปิดปาก” หรืออาศัยกระบวนการยุติธรรมคุกคามประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ กกต. ควรหักล้างข้อกล่าวหาและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยข้อเท็จจริงและด้วยเหตุด้วยผล

นอกจากนี้ การฟ้องร้องดำเนินคดีผู้แชร์การลงชื่อถอดถอน กกต. จำนวน 7 คนไม่มีเกณฑ์ที่ชัดเจน มีลักษณะเป็นการสุ่มเลือกภายใต้เป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป คนส. จึงได้รวบรวมรายชื่อนักวิชาการที่ลงชื่อและแชร์การถอดถอน กกต. ใน Change.org จำนวน 121 คนตามเอกสารแนบท้ายมายื่น กกต. เพื่อแสดงการสนับสนุนผู้ถูกฟ้องร้องและเรียกร้องให้ กกต. ถอนฟ้องทุกคนที่ผ่านมา หรือไม่ก็ต้องดำเนินคดีกับนักวิชาการตามรายชื่อนี้ที่พร้อมจะสู้คดีต่อไป

ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง 
10 เมษายน 2562

รายชื่อนักวิชาการแนบท้าย

1) กนกรัตน์ สถิตนิรามัย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2) กนกวรรณ มะโนรมย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
3) กษมาพร แสงสุระธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4) กิติมา ขุนทอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 
5) กุลลดา เกษบุญชู มี้ด 
6) ขจรศักดิ์ สิทธิ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
7) คณิน เชื้อดวงผุย มหาวิทยาลัยนครพนม 
8) คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
9) คมลักษณ์ ไชยยะ 
10) คอลิด มิดำ มหาวิทยาลัยบูรพา 
11) คารินา โชติรวี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
12) เคท ครั้งพิบูลย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
13) งามศุกร์ รัตนเสถียร มหาวิทยาลัยมหิดล
14) จักรกริช สังขมณี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
15) จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
16) จิราภรณ์ สมิธ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 
17) ชลัท ศานติวรางคณา มหาวิทยาลัยมหิดล 
18) ชลิตา บัณฑุวงศ์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
19) ชัชวาล ปุญปัน ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
20) ชัยพงษ์ สำเนียง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
21) ชาญคณิต อาวรณ์
22) ชิงชัย เมธพัฒน์ มหาวิทยาลัยบูรพา
23) เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
24) ไชยันต์ รัชชกูล 
25) ซัมซู สาอุ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
26) ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 
27) ณภัค เสรีรักษ์ นักวิจัยอิสระ 
28) ณรงค์ อาจสมิติ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล
29) ณรงค์ฤทธิ์ สุมาลี มหาวิทยาลัยนครพนม
30) ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ 
31) ดวงยิหวา อุตรสินธุ์ นักวิชาการอิสระ 
32) ติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
33) ทสิตา สุพัฒนรังสรรค์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
34) ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
35) ธนภาษ เดชพาวุฒิกุล มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 
36) ธนศักดิ์ สายจำปา สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
37) ธนาวิ โชติประดิษฐ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 
38) ธร ปีติดล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
39) ธาริตา อินทนาม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
40) ธีรวัฒน์ ขวัญใจ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
41) ธีระพล อันมัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
42) นงเยาว์ เนาวรัตน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
43) นราสิทธิ์ วงษ์ประเสริฐ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 
44) นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
45) นฤมล กล้าทุกวัน มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
46) นัทมน คงเจริญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
47) นาตยา อยู่คง คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
48) บดินทร์ สายแสง มหาวิทยาลัยมหิดล
49) บัณฑิต ไกรวิจิตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
50) บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
51) บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
52) บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
53) เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว มหาวิทยาลัยมหิดล 
54) ปฐวี โชติอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
55) ประกาศ สว่างโชติ นักวิชาการเกษียณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 
56) ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
57) ปราโมทย์ ระวิน 
58) ปวินท์ ระมิงค์วงศ์ มหาวิทยาลัยพะเยา
59) พชรวรรณ บุญพร้อมกุล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
60) พรชัย นาคสีทอง มหาวิทยาลัยทักษิณ 
61) พวงทอง ภวัครพันธุ์ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
62) พศุตม์ ลาศุขะ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
63) พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
64) พิพัฒน์ สุยะ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
65) พิสิษฏ์ นาสี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
66) พุทธพล มงคลวรวรรณ คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง 
67) เพ็ญศรี พานิช มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 
68) เพ็ญสุภา สุขคตะ อาจารย์พิเศษ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
69) ภาสกร อินทุมาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
70) มนฑิตา โรจน์ทินกร คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์
71) มนตรา พงษ์นิล 
72) ยุกติ มุกดาวิจิตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
73) เยาวนิจ กิตติธรกุล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
74) รัตนา โตสกุล ข้าราชการบำนาญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
75) ราม ประสานศักดิ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
76) รามิล กาญจันดา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทวิทยาเขตกำแพงแสน 
77) วรวิทย์ บุญไทย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
78) วัชรพล พุทธรักษา นักวิชาการอิสระ
79) วันพิชิต ศรีสุข มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
80) วาสนา ละอองปลิว วิทยาลัยสหวิทยาการ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
81) วิทยา อาภรณ์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
82) วินัย ผลเจริญ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
83) วิภาวี พงษ์ปิ่น คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
84) วิโรจน์ อาลี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
85) วิศิษย์ ปิ่นทองวิชัยกุล 
86) เวียงรัฐ เนติโพธิ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
87) ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
88) ศักรินทร์ ณ น่าน คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน
89) ศิริจิต สุนันต๊ะ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล
90) ศิวพล ชมภูพันธุ์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
91) สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
92) สมใจ สังข์แสตมป์ 
93) สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
94) สมิทธิรักษ์ จันทรักษ์
95) สร้อยมาศ รุ่งมณี วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
96) สามชาย ศรีสันต์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
97) สุทธิชัย งามชื่นสุวรรณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 
98) สุธิดา วิมุตติโกศล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
99) สุรินทร์ อ้นพรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
100) เสนาะ เจริญพร มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
101) เสาวณิต จุลวงศ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
102) เสาวนีย์ ตรีรัตน์ อเลกซานเดอร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
103) โสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
104) อนุชิต สิงห์สุวรรณ มหาวิทยาลัยนครพนม
105) อนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
106) อโนชา สุวิชากรพงศ์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
107) อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
108) อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
109) อรรถพล อนันตวรสกุล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
110) อรอนงค์ ทิพย์พิมล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
111) อรัญญา ศิริผล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
112) อลิสา หะสาเมาะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
113) อันธิฌา แสงชัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
114) อาจินต์ ทองอยู่คง คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
115) อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
116) อาทิตย์ ศรีจันทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 
117) อุเชนทร์ เชียงเสน มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
118) อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์
119) เอกรินทร์ ต่วนศิริ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
120) เอกฤทัย ฉัตรชัยเดช มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
121) เอกสิทธิ์ หนุนภักดี คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมและสิทธิมนุษยช

10 เมษายน 2562

เรื่อง ขอให้ยุติการดำเนินคดีกับประชาชน เปิดเผยผลการเลือกตั้งทุกหน่วยต่อสาธารณะ และใช้สูตรคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่เป็นธรรมและถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

เรียน ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ตามที่มีข้อมูลปรากฏเป็นที่รับทราบโดยทั่วไปทั้งตามรายงานข่าวของสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ว่า การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ภายใต้ความรับผิดชอบและการกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในช่วงเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมามีปัญหาข้อผิดพลาดและเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยแก่ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะความล่าช้าและผิดพลาดในการจัดกระบวนการใช้สิทธิออกเสียงและการจัดการบัตรลงคะแนน ความล่าช้าและไม่โปร่งใสในการนับคะแนนและการรายงานผลการเลือกตั้งต่อสาธารณะ นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีปัญหาที่เป็นข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางในเรื่องแนวทางหรือสูตรการคิดคำนวณ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ของ กกต. ที่อาจขัดแย้งต่อตัวบทกฎหมายตามรัฐธรรมนูญด้วย

โดยปัญหาข้อผิดพลาดและข้อสงสัยต่างๆ ดังกล่าวได้นำมาสู่การเปิดรณรงค์ ให้ประชาชนร่วมกันลงชื่อถอดถอน กกต. ผ่านทางเว็บไซต์ www.change.org ที่ปัจจุบันมีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 840,000 คน รวมถึงมีการตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อใช้สิทธิยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ด้วยนั้น

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ประชาชนมีความตื่นตัวในการใช้สิทธิเลือกตั้งและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยโปร่งใสบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริงอันจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อ กกต. และสังคมไทยโดยรวม แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงในช่วงต้นเดือนเมษายน 2562 ว่า กกต. ได้แจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนจำนวน 7 คนที่ทำการเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลการรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันลงชื่อถอดถอน กกต. ผ่านทางเว็บไซต์ www.change.org ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้องได้ออกหมายเรียกให้บุคคลที่ถูกแจ้งความเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 11 เมษายน 2562

ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมและสิทธิมนุษยชน ดังมีรายชื่อแนบท้ายขอเรียนว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการเลือกตั้งให้มีความสุจริต โปร่งใส เที่ยงธรรม เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของสังคม เสริมสร้างวิถีประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งและยั่งยืน แต่จากพฤติการณ์และท่าทีต่างๆ ของ กกต. ดังที่กล่าวมาข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นว่า กกต. กำลังเดินสวนทางกับพันธกิจขององค์กรและความคาดหวังไว้วางใจของสังคม โดยเฉพาะการวางตัวเป็นคู่ตรงข้ามแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อมีส่วนร่วมทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญโดยสุจริต โดยทางเครือข่ายฯ มีความเห็นดังนี้

การที่ กกต. แจ้งความดำเนินคดีข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อผู้เผยแพร่และรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปลงชื่อถอดถอน กกต. มีลักษณะเป็นการคุกคามการใช้เสรีภาพในการแสดงออกของบุคคลโดยการใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อยับยั้งและสร้างความหวาดกลัว ไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบการทำงานของ กกต. ทั้งที่การร่วมลงชื่อและเผยแพร่รณรงค์ดังกล่าวนั้นเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ได้รับการรับรองไว้ตามมาตรา 34 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อตั้งคำถามต่อข้อสงสัยและตรวจสอบการดำเนินงานของ กกต. ในกิจการสาธารณะที่เกี่ยวพันกับสิทธิทางการเมืองของประชาชนทุกคนและมีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และ กกต. ในฐานะผู้รับผิดชอบควบคุมและดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งย่อมมีหน้าที่ต้องรับฟัง ตรวจสอบ และชี้แจงข้อสงสัยต่อสาธารณะและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เกิดความชัดเจนจนสิ้นสงสัยและเป็นที่ยอมรับ มิใช่ตอบโต้ประชาชนด้วยการดำเนินคดีเพื่อปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมสาธารณะ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการเสื่อมเสียชื่อเสียงความน่าเชื่อถือไว้วางใจและความโปร่งใสขององค์กร กกต. ให้แย่ไปกว่าเดิม โดยเครือข่ายฯ ขอให้ กกต. ดำเนินการถอนคำร้องทุกข์กับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คนโดยทันที และยุติการแจ้งความต่อประชาชนอื่นที่เผยแพร่รณรงค์และเข้าร่วมลงชื่อถอดถอน กกต.

ปัจจุบันประชาชนยังคงมีความเคลือบแคลงสงสัยในความถูกต้องของรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้งอันเนื่องมาจากการนำเสนอผลคะแนนของ กกต. ที่มีความผิดพลาดและเปลี่ยนแปลงไปมาหลายครั้งในลักษณะที่มีผลกระทบต่อจำนวนว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมือง โดยมาตรการที่จะช่วยให้เกิดความโปร่งใสที่สังคมเสนอเรียกร้องต่อ กกต. มาโดยตลอด คือ การเปิดเผยผลการนับคะแนนเลือกตั้งแยกเป็นรายหน่วยของทุกหน่วยการเลือกตั้ง โดยต้องเป็นหน้าที่ของ กกต. ในการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะให้ประชาชนทุกคนในฐานะผู้มีส่วนได้เสียกับผลการเลือกตั้งสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก มิใช่ผลักภาระให้ประชาชนแต่ละคนต้องเดินทางไปดำเนินการยื่นเรื่องขอคัดถ่ายสำเนาข้อมูลและเสียค่าใช้จ่ายจากแต่ละหน่วยหรือเขตเลือกตั้งเอง

การคำนวนที่นั่ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 91 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 อย่างเคร่งครัด ซึ่งหมายถึงการจัดสรรที่นั่งให้กับพรรคการเมืองที่คำนวณตาม พ.ร.ป.ฯ มาตรา 128 (2) (3) แล้วได้ผลลัพธ์ตาม (3) เป็นจํานวนเต็มก่อน และภายใต้กติกาตามมาตรา 128 (5) ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดมีที่นั่ง ส.ส.​ เกินจํานวนที่จะพึงมีได้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือ ตามผลคะแนนเลือกตั้งที่ กกต. เผยแพร่ล่าสุด พรรคการเมืองที่จะได้รับจัดสรรที่นั่ง ส.ส.​ อย่างน้อย 1 ที่นั่ง ต้องได้รับคะแนนจากประชาชนรวมทุกเขตเลือกตั้ง อย่างน้อย 71,065 คะแนนเสียง เป็นอัตราส่วนเดียวกันทุกพรรคการเมือง

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ขอแสดงความนับถือ
เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมและสิทธิมนุษยชน

รายชื่อ 63 องค์กรเครือข่ายที่ร่วมลงนาม
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน iLaw 
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
สมาคมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน 
โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่
กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน
กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
กลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม (ดาวดิน)
กลุ่มรักษ์เขาชะเมา จ.ระยอง
กลุ่มรักษ์น้ำอูน อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร
กลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาส จ.สกลนคร
กลุ่มเรียนรู้บางเพลย์
กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Watch)
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch )
กลุ่มอนุรักษ์แก่งละว้า อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น
กลุ่มอนุรักษ์ป่าโคกหนองม่วง บ้านไผ่
กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำพอง จ.ขอนแก่น
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอ่างลำพอกและโบราณสถาน จังหวัดสุรินทร์
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี
กลุ่มอนุรักษ์อ่าวบางละมุง
ขบวนการอีสานใหม่
ขบวนเครือข่ายผู้หญิงไทยภาคอีสาน
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน
เครือข่าย ๓๐๔ กินได้
เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
เครือข่ายชาวบ้านลุ่มน้ำชี จ.ร้อยเอ็ด จ.ยโสธร
เครือข่ายชาวสวนมะพร้าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีสาน
เครือข่ายปกป้องผืนป่าตะวันออก
เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่
เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ
เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคอีสาน
เครือข่ายประชาชนศึกษาและติดตามปัญหาขยะ
เครือข่ายประชาชนอีสานติดตามนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยพ่วงโรงไฟฟ้า
เครือข่ายผู้หญิงในระบบหลักประกันสุขภาพมาตรฐานเดียว 
เครือข่ายพลเมืองเน็ต
เครือข่ายเพื่อนตะวันออก
เครือข่ายรักแม่พระธรณี
เครือข่ายศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน เขต 1 เชียงใหม่ 
เครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
มูลนิธินโยบายสุขภาวะ
มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา 
มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายเอดส์ สำนักงานภาคเหนือ 
มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ 
มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
ศูนย์กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคม
ศูนย์พิทักษ์สิทธิการจัดการทรัพยากรชุมชนลุ่มน้ำชีตอนล่าง
ศูนย์ส่งเสริมศักยภาพประชาชน จ.นครราชสีมา
สมัชชาคนจน
สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน
สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ
สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย
องค์กรเครือข่ายเด็กและเยาวชนกำแพงเพชร
ขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย
สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

พล.อ.ประยุทธ์ขอพร - พล.อ.เปรมบอกรัฐบาลนี้ไม่โกง แต่ถ้าพูดผิดให้ไปจัดการ

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอพรวันสงกรานต์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่ารู้สึกอบอุ่นใจ มีความยินดีที่ได้บ พล.อ.เปรม ที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง และสามารถให้คำปรึกษาทุกคนตลอดมา ส่วน พล.อ.เปรม กล่าวว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่โกง แต่ถ้าพูดผิดนายกฯ ต้องไปจัดการ โดยขอบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นเกราะกำบัง ให้เราได้ทำแต่ความดี เพื่อพระองค์ท่าน และชาติบ้านเมือง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เข้าพบและขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ เมื่อ 10 เม.ย. 62 ในภาพมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรีด้วย (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

10 เม.ย. 2562 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายงานว่าเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี อาทิ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายทหาร ข้าราชการระดับสูง เข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ปี 2562

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นโอกาสอันเป็นมงคลเนื่องในวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นปีใหม่ไทยที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทุกครั้งที่ได้มา รู้สึกมีความสุข อบอุ่นใจ มีความยินดีที่ได้พบ พล.อ.เปรม ยังมีสุขภาพแข็งแรง และสามารถให้คำปรึกษาทุกคนตลอดมา สิ่งสำคัญที่ทุกคนผูกพันกันและมีมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ก็ด้วยการศึกษาในโรงเรียนทหาร ได้รับการสั่งสอนอบรมในเรื่องระเบียบวินัย ความเชื่อมั่น ศรัทธา เคารพเทิดทูนในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งการที่เป็นทหาร หรือข้าราชการใดๆ ก็ตามได้รับการสอนสั่งให้ทำเพื่อผู้อื่นเสมอมาและให้ทำเพื่อตนเองเป็นอันดับสอง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดำรงรักษาวัฒนธรรมเหล่านี้ให้ได้ ที่เราเกิดมาเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ทำงานเพื่อคนอื่น ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้คือประวัติศาสตร์ของแต่ละคน และคือเกียรติยศที่ทุกคนจะมอบให้จากการทำความดี ยืนยันตนเองพยายามทำทุกอย่างให้สอดคล้องและนำสิ่งที่ทำในอดีต มาประยุกต์ทำให้เกิดผลสำเร็จโดยเร็วเพื่อชาติและประชาชน

เว็บไซต์ข่าวสดรายงานคำพูด พล.อ.เปรม ที่กล่าวขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีว่า ขอบคุณนายกฯ เพื่อนของผม พวกเรามีความ ยินดีที่ได้เห็นนายกรัฐมนตรี และ กองทัพ กับข้าราชการหน่วยต่างๆ ที่ช่วยกันดูแล ชาติบ้านเมือง จนกระทั่งถึงวันนี้ พวกเราพูดได้เต็มปากว่า รัฐบาลของนายกฯ ไม่โกง เพราะเป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวมจริงๆ คนที่จะซื่อสัตย์สุจริต ต้องเป็นคนที่มีความคิดกว้างไกล ทำเพื่อคนอื่นไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง ต้องปกป้องพี่น้องตนพูดกับเพื่อนๆ เสมอว่ารัฐบาลนี้เก่ง ไม่เก่ง ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่สิ่งหนึ่งคือรัฐบาลนี้ไม่โกง ยืดอกพูดได้เลยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่โกง ถ้าผมพูดผิดนายกฯ ต้องไปจัดการ

ขอขอบคุณที่ระลึกถึงกันมาโดยตลอดผมเคยบอกกับพวกเราว่าการรักษาประเพณีวัฒนธรรมของชาติบ้านเมืองคือการรักษาชาติผมขอฝากนายกไม่ทราบว่าเป็น ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่พูดเรื่องนี้การรักษาวัฒนธรรมประเพณีคือการรักษาชาติ พวกเราอายุมาก แล้วฉะนั้นสิ่งที่ผมจะให้พรร่วมกันอธิษฐาน ขอให้นายก และเพื่อนๆ ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอให้มีร่างกายแข็งแรง จงมีสุขภาพใจที่มุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จคนชมเชย และขอให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นแก่นายกรัฐบาลนี้ และคนไทยที่นายกดูแลอยู่

ขออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายคุ้มครองนายกฯ และพวกเราทุกคน ขอบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเกราะกำบัง ให้เราได้ทำแต่ความดี เพื่อพระองค์ท่าน และ ชาติบ้านเมือง ขอให้ทุกคน มีแต่ความดีในตัวให้ความดีในตัวของเราเป็นประโยชน์ต่อประชาชน 70 ล้าน และ ดูแลชาติบ้านเมืองด้วยความมุ่งมั่น ที่จะให้ชาติบ้านเมืองของเรา ก้าวไปข้างหน้า ด้วยฝีมือของพวกเราด้วยกันคนละไม้คนละมือ

"ขอบคุณนายกฯ อีกครั้ง ผมจะจำความเป็นเพื่อน ไว้ให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้"

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ย้อนดู ‘ล้มเจ้า’ ข้อหาเก่าแก่ของไทย-การกลับมาใหม่เพื่อเล่นงาน ‘ปิยบุตร’

$
0
0

 

ย้อนดูวาทกรรมล้มเจ้าในอดีตจนปัจจุบัน เส้นทางสายความเกลียดชังที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดความรุนแรง เริ่มต้นตั้งแต่ 6 ตุลา 2519 มาจนถึงสนธิ ลิ้มทองกุล กับม็อบเสื้อเหลือง-นายกฯ พระราชทาน-ปฏิญญาฟินแลนด์ ก่อนมีรัฐประหาร 2549 ต่อมามี ‘ผังล้มเจ้า’ ของ ศอฉ.ช่วงสลายการชุมนุมแดงปี 53 ล่าสุดคือ กรณีปิยบุตร แสงกนกกุล ที่พ่วงเรื่องกลุ่มนิติราษฎร์กับข้อเสนอแก้ไข ม.112 ลองเปิดดูว่าพวกเขาเสนออะไร

 

 

ภาพรวมการกลับมาใหม่ของการสร้างกระแส ‘ล้มเจ้า’

 

เร็วๆ นี้การโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยวาทกรรม ‘ล้มเจ้า’ กำลังกลับมาอีกครั้ง

หฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ อุ๊ อดีตนักร้องชื่อดังโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า “ยอมรับเลยว่า ช่วงหลัง ไม่ค่อยสนใจข่าวการเมืองมากนัก แต่เมื่อ 2 วันก่อนเดินเข้าไปในห้องนอนคุณพ่อ เห็นคุณพ่อดูข่าวการเมือง ได้เห็นนายปิยบุตร แสงกนกกุล บรรยายแนวความคิดที่รุนแรงเกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ อุ๊ตกใจมาก และคิดว่าการวิพากษ์ที่บิดเบือนรุนแรงนี้ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติเป็นอย่างมาก”

หลังจากนั้นเธอยังโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวท้าให้ปิยบุตรออกมาดีเบตกับตนเอง “ปิยบุตร​ มึงอยู่ไหน? กูขอท้ามึงออกมาพูดกับกู มึงจะได้รู้ว่านรกมีจริงในการดีเบต”

ต่อมาวันที่ 4 เม.ย.2562 เธอเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนสน.ลุมพินี ให้ตรวจสอบข้อความในหนังสือ 2 เล่มที่ปิยบุตรเป็นผู้เขียน คือ ราชมัลลงทัณฑ์ บัลลังก์ปฏิรูป , รัฐธรรมนูญ ประวัติการข้อความคิด อำนาจสถาปนาและการเปลี่ยนผ่าน โดยหฤหัยเห็นว่า แม้เขียนในเชิงวิชาการแต่เนื้อหาอาจกระทบกับระบบการปกครองไทยซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เวลาไล่เลี่ยกัน ผู้ใช้ชื่อเฟสบุ๊ค Pu Sawangphon โพสต์คลิปลงในกรุ๊ป ‘การเมืองภาคประชาชน’ โดยคลิปได้ชี้ว่าปิยบุตรพูดว่า “ระบอบประชาธิปไตย” โดยไม่มีสร้อย “ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” หลายครั้ง ในคลิปมีข้อความตอนหนึ่งของหนังสือราชมัลลงทัณฑ์ฯ ด้วยที่ระบุว่า “ฝ่ายกษัตริย์นิยมปรารถนาให้สังคมไทยกลับไปใกล้เคียงกับระบอบเก่าให้มากที่สุด โดยให้สถาบันกษัตริย์มีบทบาทและอำนาจมาก แต่พวกเขาก็ตระหนักดีว่าหากเขียนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา ในยุคศตวรรษที่ 21 คงเป็นไปได้ยากที่สังคมโลกจะยอมรับ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็คือเผด็จการรูปแบบหนึ่ง ในขณะที่กระแสโลกสมัยปัจจุบัน “บังคับ” ให้ทุกประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยและการเสนออะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้ง ย่อมทำ ให้ปัญญาชนฝ่ายกษัตริย์นิยมแลดูโง่เขลาเกินไป” ในท้ายคลิปได้ระบุว่า “ร่วมกันหยุดคนคิดร้ายทำลายสถาบัน”

ความเดือดดาลเกิดขึ้น อาจด้วยการตีความว่า “ฝ่ายกษัตริย์นิยม” หรือ royalist อันเป็นคำเรียกขานผู้ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม กลายเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากับสถาบันกษัตริย์

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการแชร์คลิปที่ปิยบุตรพูดถึงสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นการตัดต่อเฉพาะตอนทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ปิยบุตรออกมาชี้แจงต่อกรณีว่า คลิปนี้เป็นการพูดของเขาเมื่อ 6 ปีก่อน สมัยยังเป็นอาจารย์และไม่ได้พูดถึงประเทศไทย แต่ถูกตัดมาเผยแพร่บางตอนในช่วงเลือกตั้งหวังให้คนไม่เลือกพรรคอนาคตใหม่ เป็นขบวนการใส่ร้ายด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” สร้างความเกลียดชัง เขายืนยันว่าตั้งพรรคลงเลือกตั้งเพื่อนำความเชื่อมั่นประชาธิปไตยกลับคืน ตัดวงจรรัฐประหาร รักษาสถาบันกษัตริย์ให้ดำรงอยู่ต่อไป

ก่อนหน้านี้ก็มีการขุดคุ้ยประวัติของปิยบุตรว่าเป็นหนึ่งใน ‘กลุ่มนิติราษฎร์’ ซึ่งประกอบด้วยอาจารย์ด้านกฎหมายในธรรมศาสตร์ที่รวมกลุ่มกัน 5 คน (ภายหลังเป็น 7 คน) มีบทบาทวิจารณ์คณะรัฐประหารและกฎหมายที่มาจากคณะรัฐประหารตั้งแต่ยุค คมช. ปี 2549  รวมถึงวิพากษ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในหลายครั้ง  (ทำความรู้จักนิติราษฎร์ได้ที่นี่)

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นิติราษฎร์โดนโจมตีอย่างหนักคือ คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 หรือ ครก.112 มีการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อแก้ไขมาตรา 112 โดยใช้ร่างที่กลุ่มนิติราษฎร์นำเสนอ เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการไปเมื่อปี 2555 โดยใช้สิทธิเข้าชื่อแก้ไขกฎหมายตามรัฐธรรมนูญกำหนด ตามระบบปกติและเรื่องก็ตกไปแล้วเพราะประธานสภาเวลานั้นไม่รับพิจารณา

 

ครก.112 ผิดหวังสภา ยันเกี่ยวข้องสิทธิเสรีภาพ-ควรเรียกชี้แจงก่อนปัดตก

ปัดตกอุทธรณ์ ครก.112 เลขาฯ สภา ระบุเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐไม่ใช่สิทธิเสรีภาพ

 

ในขณะที่โลกทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค แบ่งเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งฝ่ายที่โจมตีปิยบุตรด้วยข้อความรุนแรง เช่น “ปิยบุตร must die” หรือ “สมควรจับตัวมาแขวนที่สนามหลวง เหมือนวันมหาวิปโยค”

 

 

 

 

และข้อความของฝ่ายที่ปกป้องปิยบุตร เช่น “ได้อ่านสิ่งที่คุณอุ๊หฤทัยเขียน ได้ฟังแนวคิดของเธอ บอกตรงๆ ผมรู้สึกขนลุกเลยครับ เข้าใจเลยว่าทำไม #6ตุลา คนกลุ่มหนึ่ง ถึงคลั่ง และออกมาฆ่าอีกฝ่าย เพียงเพราะความคิดแตกต่างกัน ถูกสื่อเสี้ยมจนกลายเป็นความเกลียดชัง จนอยากฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่มีความแค้นเคืองกันมาก่อน”

 

 

กระแสของข้อกล่าวหานี้รุนแรง ขยายผลเร็ว จนกระทั่งหลายคนออกมาเตะเบรคอารมณ์ของผู้คนที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมว่า ไม่ควรเอาสถาบันลงมาเกี่ยวข้อง โจมตีกันและกัน เพราะความเกลียดชังสามารถไต่ระดับจนอาจก่อให้เกิดความรุนแรงได้ดังที่เราเคยมีประสบการณ์กันแล้วในอดีต 

 

ส.ศิวรักษ์ชี้คนที่ล้มเจ้าแท้จริงคือคนที่อ้างว่าจงรักภักดีแต่ไม่ใช้สัจจะเป็นพื้นฐาน

เจิมศักดิ์ ห่วงซ้ำรอย 6 ตุลา แนะควรใช้กฎหมายไม่ใช่ยั่วให้คนออกมาลุย
 

 

ทวนความจำ ‘ล้มเจ้า’ วาทกรรมเก่าแก่ของสังคมไทย

 
‘ล้มเจ้า’ เป็นวาทกรรมเพื่อสร้างความเกลียดชังที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุค 6 ตุลา เพื่อกล่าวหานักศึกษาที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำมาซึ่งการสังหารหมู่ในธรรมศาสตร์โดยเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนด้วยกันอย่างเหี้ยมโหดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย (อ่านเรื่องราวย้อนหลังได้ที่นี่)
 
 

 หนังสือพิมพ์ชาวไทยวันที่ 10 ตุลาคม 2519

 

หลังจากนั้นข้อหานี้ก็ซาไปเนื่องจากทหารกุมสภาพทางการเมืองได้ยาวนาน ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือให้พลเรือนเข้ามามีบทบาทในอำนาจบริหารมากขึ้น และพุ่งขึ้นสุดในช่วงก่อนและหลังมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นมรดกของการขับไล่ทหารเข้ากรมกองจากเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ในทางหนึ่งมันต้องการแก้ไขความไม่เสถียรภาพของการเมืองไทยโดยออกแบบให้เกิดฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก่อกำเนิดขึ้นจากตรงนี้ แล้วข้อหา ‘ล้มเจ้า’ ก็เริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากนั้น

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่มีบทบาทอย่างเปิดเผย ในการทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อขับไล่ทักษิณ ชินวัตร มีลักษณะเกี่ยวพันกับสถานบันกษัตริย์ ผ่านการพิมพ์หนังสือเช่น ‘พระราชอำนาจ’ เขียนโดย ประมวล รุจนเสรี การนำสัญลักษณ์ต่างๆ ของสถาบันมาใช้ในการเคลื่อนไหว เช่น เสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีฟ้า การผลิตวาทกรรม “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ฯลฯ รวมไปถึงการนำเสนอทางออกทางการเมืองโดยตีความมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ว่ากษัตริย์สามารถพระราชทานนายกฯ ได้

‘ปฏิญญาฟินแลนด์’ เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สนธิและนักวิชาการอีกหลายคนใช้โจมตีทักษิณในช่วงก่อนรัฐประหาร 2549 ไม่กี่เดือน โดยกล่าวหาว่า พรรคไทยรักไทยวางแผนยุทธศาสตร์ 5 ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ การเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว, การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงทุนให้เป็นสินทรัพย์ และ การทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์

เรื่องนี้ไทยรักไทยและทักษิณฟ้องสนธิและพวก ในการต่อสู้คดีผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงว่าไม่เคยมีแนวคิดและการกระทำดังกล่าว เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวก็เป็นไปตามกรอบและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2540 เอง อย่างไรก็ตาม แม้ผู้กล่าวหาไม่มีพยานมายืนยันว่าได้ทราบเรื่องนี้มาจากไหน แต่ศาลก็พิพากษาว่าพวกเขาไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นการติชมบุคคลสาธารณะโดยสุจริต

 

คดีปฏิญญาฟินแลนด์ ศาลยกฟ้อง "สนธิ"ส่วน "ปราโมทย์-ขุนทอง"รอลงอาญา

 

ฝ่ายผู้สนับสนุนอดีตนายกฯ ทักษิณก็ประท้วงและตอบโต้การยึดอำนาจเช่นกัน มีการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการต่างๆ ทางกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และโจมตีไปถึงองคมนตรีว่ามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการรัฐประหาร 

เกษียร เตชะพีระ เคยประเมินเนื้อหาหรือแก่นแท้ของการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ว่าเป็น "รัฐประหารเพื่อราชบัลลังก์...กล่าวอีกนัยหนึ่งคือก่อรัฐประหารขึ้นก็เพื่อปฏิรูปประชาธิปไตยไทยไปในลักษณะวิถีทางที่จะทำให้มันปลอดภัยสำหรับสถาบันกษัตริย์จากการท้าทายด้วยอำนาจนำทางการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่ หรือที่พลเอกสนธิ เรียกในเวลาต่อมาว่า ‘เผด็จการทุนนิยม’ ” นั่นเอง (บทความ "รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 กับการเมืองไทย"โดยเกษียร เตชะพีระ รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 29 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2551 หน้า 52-53)

นอกจากนี้ในปี 2551 ภายหลังการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดล้อมอาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ต.ค. เพื่อกดดันไม่ให้คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยอ้างว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะเข้ามาบริหารประเทศ และไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และจากเหตุการณ์นี้ ‘น้องโบว์’ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หนึ่งในผู้ชุมนุมได้เสียชีวิต และต่อมาวันที่ 13 ต.ค. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จไปที่งานศพของน้องโบว์ โดยตอนหนึ่งทรงรับสั่งและทรงชมว่า "ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์"

 

"ราชินี"ทรงชมอังคณาเด็กดี "ป้องชาติ-ช่วยรักษาสถาบัน"

 

เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์อย่างกว้างขวาง ในระหว่างที่ความขัดแย้งของสีเสื้อปรากฏชัด จากนั้นมามีกระแส “การล่าแม่มดออนไลน์” สูงขึ้นมาก เพจที่โดดเด่น คือ เพจยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม (Social Sanction) หรือ SS รายงานของเครือข่ายพลเมืองเน็ตระบุว่า เพจนี้นำเสนอข้อมูลส่วนบุคคลของเป้าหมายที่เชื่อว่าหมิ่นสถาบันมากกว่า 40 ราย และส่งผลให้หลายรายต้องออกจากงาน บางรายกลายเป็นคดีความ จนกระทั่งเกิดเพจ Anti-SS ออกมาตอบโต้ ในช่วงปี 2552-2553 จึงเกิดการไล่ฟ้องคดี 112 และไม่ให้สิทธิประกันตัวเป็นจำนวนมาก

การประท้วงยังคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเกิดขึ้น ในปี 2553 มีการชุมนุมครั้งใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดย นปช. ก่อนจะมีการสลายการชุมนุมที่จบลงด้วยการเสียชีวิตของประชาชนเกือบร้อยคน บาดเจ็บอีกนับพัน ศอฉ.ซึ่งคือหน่วยงานที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งขึ้นโดยให้หน่วยงานความมั่นคงมีบทบาทในการจัดการกับการชุมนุม ได้จัดทำ “ผังล้มเจ้า” ขึ้นมาในช่วงเวลานั้น

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. เป็นผู้จัดแถลงข่าวเรื่องนี้และแจกผังล้มเจ้าให้แก่สื่อมวลชนในวันที่ 26 เม.ย.2553 พร้อมระบุว่า แกนนำคนเสื้อแดงพยายามจะยกระดับการชุมนุมไปสู่การก่อการร้าย ใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จมุ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง โดย ศอฉ. อ้างว่ามีผังที่เชื่อมโยงบุคคลต่างๆ เข้าด้วยกัน ทั้งแกนนำ นปช. องค์กรต่างๆ นักการเมือง นักวิชาการ

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคนหนึ่งที่มีชื่ออยู่ผังนี้ได้ยื่นฟ้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก อดีตโฆษก ศอฉ. ซึ่งต่อมาจบลงด้วยการประนอมข้อพิพาท โดย พ.อ.สรรเสริญ ยอมรับต่อศาลว่าผังล้มเจ้าที่ทำออกมานั้นไม่ได้หมายความว่าบุคคลในนั้นเป็นเช่นนั้น  

 

โฆษก ศอฉ. ยอมรับแต่ง “ผังล้มเจ้า” เพื่อตอบโต้การใส่ร้ายท่านผู้หญิงจรุงจิตต์

 

จากผลงานชิ้นโบว์แดงในการสร้างตราประทับให้คนจำนวนมากในผังนั้น ถึงตอนนี้ พล.อ.สรรเสริญ ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ใหม่หมาดในรัฐบาลรักษาการ คสช.

 

มาตรา 112 เป็นปัญหาอย่างไร

 

วาทกรรมล้มเจ้าจัดได้ว่าเป็นมาตรการทางสังคม สิ่งที่ดำเนินการให้มันเป็นจริงและดูรุนแรงเป็นรูปธรรมคือ มาตรการทางกฎหมาย อย่างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

กฎหมายนี้มีชื่อเล่นเป็นชื่อเก่าคือ กฎหมายหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จุดเริ่มต้นของมันเกิดขึ้นใน พ.ศ.2442 ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์เต็มขั้น แต่โทษจำคุกระบุไว้ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,500 บาท น้อยกว่าโทษในปัจจุบันมากนัก

ต่อมามีการเอาความผิดนี้มาโจมตีกันมากหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งประชาธิปไตยเบ่งบนก่อนจบลงที่โศกนาฏกรรม 6 ตุลาคม 2519 หลังจากการรัฐประหาร 2519 มีการเพิ่มโทษตามประกาศคณะปฏิรูปฉบับที่ 41 ปี 2519 ด้วย และได้ใช้อัตราโทษสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน ทั้งนี้ คดีที่ใหญ่มากในตอนนั้นคือ คดีที่ผู้นำนักศึกษา 19 คนถูกฟ้องร้องหลายคดี หนึ่งในนั้นคือ คดี 112ด้วย  

ปัญหาของกฎหมายมาตรานี้คืออัตราโทษที่สูง จำคุกระหว่าง 3-15 ปี และใครก็เป็นผู้ดำเนินคดีได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรง นอกจากนี้ยังถูกบัญญัติอยู่ในลักษณะ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” ทำให้ผู้ต้องหาเกือบทั้งหมดมักไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี

ในหนังสือที่ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นบรรณาธิการ คือ King Bhumibol Adulyadej: A Life's Work บทหนึ่งพูดเรื่องกฎหมายหมิ่น กล่าวว่า จากพ.ศ. 2536-2547 เป็นเวลา 11 ปี จำนวนคดีหมิ่นใหม่ๆ ลดลงครึ่งหนึ่ง และไม่มีคดีหมิ่นเลยในปี 2545 ซึ่งน่าจะเป็นยุคต้นของรัฐบาลทักษิณ แต่หลังรัฐประหาร 2549 คดีหมิ่นฯ เพิ่มสูงขึ้นมหาศาลเมื่อเทียบกับจำนวนคดีก่อนหน้านี้ ปี 2552 สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ (เป็นปีเดียวกับที่มีปัญหามรดกโลกและเขาพระวิหาร) โดยสถิติคดี 112 ในชั้นตำรวจ ปี 2552 จะอยู่ที่ 104 คดี และปี 2553 อยู่ที่ 65 คดี

 

1 ทศวรรษคดี 112 ตอนที่ 1: สถิติและความเป็น ‘การเมือง’ ของคดีหมิ่นฯ

 

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า มาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาแต่ต้น เมื่อไรก็ตามที่มีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง มาตรา 112 จะถูกนำมาใช้เล่นงานฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเอง และเราเห็นได้ชัด คำตอบที่ว่าทำไมหลังปี 2549 มีการใช้และลงโทษมาก เพราะมันถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง คนที่ถูกตัดสินลงโทษเป็นฝ่ายเสื้อแดงทั้งหมด

ข้อสังเกตประการต่อมาคือ การลงโทษคดีนี้โดยมากทุกคดีหลักฐานอ่อน  และใช้การตีความให้ผิดเป็นหลัก ยกตัวอย่าง กรณีนักวิชาการรายหนึ่งที่ถูกแจ้งข้อหาดังกล่าวเนื่องจากตั้งคำถามในข้อสอบว่า สถาบันกษัตริย์สอดคล้องกับการปกครองประชาธิปไตยหรือไม่ ให้อภิปราย

สุธาชัยยังระบุว่า การพิจารณาคดี 112 นั้นเป็นการพิจารณาที่ขัดหลักนิติธรรม เริ่มตั้งแต่ไม่มีการให้ประกันตัว การลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วน ประเทศที่มีระบบกษัตริย์มีอยู่ราว 200 กว่าประเทศ มี 25 ประเทศที่มีกฎหมายหมิ่นฯ และในบรรดา 25 ประเทศนี้ไม่มีประเทศไหนมีการลงโทษที่รุนแรงเท่าประเทศไทย

เช่นเดียวกับในหนังสือ King Bhumibol Adulyadej: A Life's Work ที่ขยายความว่ากฎหมายหมิ่นฯ ของไทยนั้นมีโทษรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี โทษขั้นต่ำของไทยเท่ากับโทษสูงสุดของจอร์แดน และสูงกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับในยุโรป ทำให้ราชอาณาจักรไทยในสมัยปัจจุบันมีคดีหมิ่นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของโลกเช่นเดียวกัน

 

โทษเพิ่มขึ้นในยุค คสช.

 

ไอลอว์ได้เปรียบเทียบไว้ว่า คดีมาตรา 112 ในศาลยุติธรรม ส่วนใหญ่ศาลสั่งให้ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี ต่อ 1 กรรม เช่น คดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุข คดีของดารณี (ดา ตอร์ปิโด) คดีของอำพล (อากงSMS) คดีละครเวทีเจ้าสาวหมาป่า ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคดีที่ศาลกำหนดโทษสูงหรือต่ำกว่านั้น เช่น คดีของปิยะ ให้จำคุก 9 ปี คดีของชาญวิทย์ให้จำคุก 6 ปี คดีคนขายหนังสือกงจักรปีศาจ ให้จำคุก 3 ปี

คดีมาตรา 112 ในศาลทหารยุค คสช. กำหนดให้ต้องไปขึ้นศาลทหาร ไม่ใช่ศาลยุติธรรมปกติ และส่วนใหญ่ศาลทหารมักสั่งให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ต่อการกระทำ 1 กรรม ถามว่าการกระทำ 1 กรรมแปลว่าอะไร ตัวอย่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การโพสต์เฟสบุ๊ค 1 สเตตัส อาจจำมาซึ่งคุก 10 ปี

ตัวอย่างการลงโทษจำคุก 10 ปี เช่น คดีของพงษ์ศักดิ์ คดีของเธียรสุธรรม คดีของสมัคร ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคดีที่ศาลกำหนดโทษสูงหรือต่ำกว่านั้น เช่น คดีของศศิวิมล ให้จำคุกกรรมละ 8 ปี คดีของนิรันดร์ ให้จำคุก 5 ปี คดีของโอภาส ให้จำคุก 3 ปี

นอกจากนี้ ตลอดทศวรรษอันเฟื่องฟูของคดีหมิ่นฯ ศาลยุติธรรมยังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่อยมาเกี่ยวกับการตีความที่กว้างขวางว่าอะไรคือ การดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย บางคดีไปไกลถึงการเอ่ยถึงสุนัขทรงเลี้ยงเช่นคดีของฐนกรหรือกรณีที่ศาลฎีกาในคดีของณัชกฤช ตีความว่า การเอ่ยถึงอดีตกษัตริย์ อย่างรัชกาลที่ 4 ก็เป็นความผิด สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ขอบเขตของมาตรา 112 อยู่ในสถานะที่ประชาชนคาดเดาลำบากเมื่อคิดจะใช้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต เป็นเหตุเป็นผล สื่อมวลชนก็มักเลือกการเซ็นเซอร์ตัวเองเป็นทางเลือกแรก

 

นิติราษฎร์: แก้ไข ม.112 ไม่ใช่การล้มเจ้า แต่เป็นการรักษาความมั่นคงให้สถาบันฯ

 

ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ กลุ่มนิติราษฎร์นับว่ามีบทบาทอย่างสำคัญ กลุ่มนี้เกิดขึ้นหลังรัฐประหารปี 2549 มีบทบาทในการแสดงความเห็นทางกฎหมายคัดค้านการรัฐประหาร 2549 คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญในตอนนั้น นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอในการลบล้างผลพวงของการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ.2549 เพื่อจะได้เป็นการต่อต้านการรัฐประหารอย่างเป็นทางการ ส่วนคดีทั้งหมดที่สืบเนื่องจากการรัฐประหารให้นำมาดำเนินคดีในศาลปกติ เรื่องนี้ถูกฝ่ายกระแสหลักโจมตีว่า ต้องการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิด ทั้งที่ข้อเสนอของนิติราษฎร์คือ การนำ พ.ต.ท.ทักษิณมาขึ้นศาลปกติ จะให้ความเป็นธรรม และโปร่งใสมากกว่า การกลั่นแกล้งโดยใช้คำสั่งรัฐประหาร

นิติราษฎร์ยังแสดงความเห็นแย้งต่อกรณีที่ตุลาการรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทยและลงโทษกรรมการบริหารพรรค 111 คน เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2550 และอีกหลายเรื่อง จนอาจกล่าวได้ว่า นิติราษฎร์เป็นกลุ่มหลักที่วิพากษ์วิจารณ์ ‘ตุลาการภิวัฒน์’ แบบไทย ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตุลาการกำหนดหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองอย่างสำคัญในหลายครั้งหลายหน

ปี 2554 นิติราษฎร์เสนอให้ปฏิรูปกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยลดอัตราโทษ และป้องกันไม่ให้มีการใช้ “ความจงรักภักดี” เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม ข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากกลุ่มนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย จึงมีการตั้งขึ้นเป็น "คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ในเดือนมกราคม พ.ศ.2555 มีนักวิชาการสำคัญ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เกษียร เตชะพีระ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ฯลฯ และยังมีกลุ่มนักเขียน นักกฎหมายรุ่นใหม่จำนวนมากเข้าร่วม ประวัติศาสตร์นิติศาสตร์ของราษฎร

โดยข้อเสนอของนิติราษฎร์ต่อการแก้ไข ม. 112 วาด รวีได้สรุปได้เป็น 4 ประเด็นคือ

1. ย้ายหมวดของบทบัญญัติการกระทำผิดให้ออกจากหมวด “ความมั่นคง” ไม่ให้บิดเบือน ขยายความเกินกว่าเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง

2. ลดโทษลงให้ได้สัดส่วนกับการกระทำผิด เพิ่มโทษปรับ และไม่ระบุโทษขั้นต่ำ แยกแยะการดูหมิ่น และหมิ่นประมาทให้เกิดความชัดเจน แยกแยะโทษของบุคคลตามตำแหน่งทั้ง 4 โดยให้โทษของกษัตริย์อยู่สูงสุด

3. เหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษ ผู้ที่วิจารณ์โดยใช้เหตุผล เพื่อประโยชน์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก็ควรได้รับการสนับสนุน

4. ให้เฉพาะสำนักราชเลขาธิการเป็นผู้มีอำนาจกล่าวโทษ

พวงทอง ภวัครพันธุ์ ได้ตอบคำถามการแก้ไข ม. 112 จะทำให้สถาบันฯ มั่นคงได้อย่างไรไว้ว่า ประเด็นสำคัญในที่นี้ คือ การดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ จะต้องสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย นั่นคือ สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยไม่อยู่ภายใต้ความกลัว เช่นเดียวกับในต่างประเทศที่สถาบันฯ ดำรงอยู่ได้ เนื่องมาจากการปรับตัวเข้ากับคุณค่าของสังคมสมัยใหม่ ทั้งนี้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน คือ มาตรา 112 ซึ่งหากดำรงอยู่ ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย และหากจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน จำเป็นต้องทำภายใต้หลักประชาธิปไตย

“ที่สำคัญ ต้องเข้าใจว่า การวิจารณ์โดยสุจริตมีเหตุผล ไม่เท่ากับเป็นการล้มล้างสถาบัน จึงเป็นที่หวังว่า การแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะไม่เพียงแต่เป็นการรักษาความมั่นคงให้สถาบันฯ แต่ต้องเป็นการประกันสิทธิกับเสรีภาพของประชาชนด้วย” พวงทองเคยกล่าวไว้

 

FAQ กับ “ครก. 112”

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แกนนำ นปช.ทำบุญครบรอบ 9 ปี สลายชุมนุมปี 53 ยันเดินหน้าทวงถามคดีถึงที่สุด

$
0
0

แกนนำ นปช.ทำบุญครบรอบรำลึก 9 ปี สลายชุมนุมปี 53 เหวง ยืนยันว่าจะเดินหน้าเพื่อติดตามทวงถามคดีนี้ต่อไปให้ถึงที่สุด 

ที่มาภาพ เพจ ‘ยูดีดีนิวส์ - UDD News

 

10 เม.ย.2562 เนื่อในโอกาสครบรอบ 9 ปีการสลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่บริเวณถนนราชดำเนินและสีแยกคอกวัว โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  จนมีผู้เสียชีวิตทั้งฝ่าย นปช.และเจ้าหน้าที่ทหารหลายรายนั้น

วันนี้ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ธิดา ถาวรเศรษฐ เหวง โตจิราการ ก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. พร้อมญาติผู้เสียชีวิต ทำบุญอุทิศส่วนกุศล วันครบรอบ 9 ปี 10 เมษา ณ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ศาลาพระเทพสุเมธี

บรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ บิดาของเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 10 เมษา 53 ให้สัมภาษณ์ ฟ้ารุ่ง ศรีขาว เพจ ‘ยูดีดีนิวส์ - UDD News’ ระหว่างมาร่วมทำบุญร่วมกับแกนนำ นปช. ครั้งนี้ด้วยว่า อยากให้สังคมรับรู้เหตุการณ์ปี 53 ว่ามีประชาชนล้มตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทยอยากให้คนในปัจจุบันรำลึกถึงวีรชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยให้ประเทศเดินหน้า ญาติๆ หวังว่าทุกคนจะไม่ลืมเหตุการณ์ปี 53 ตลอดไป

"สำหรับครอบครัวฟุ้งกลิ่นจันทร์ จะไปจุดเทียนรำลึกที่แยกคอกวัวจุดที่ลูกชายถูกยิงหน้าร้านวังไข่มุก ปากซอย ถ.ข้าวสาร ในช่วงค่ำวันที่ 10 เมษาของทุกปี รวมถึงปีนี้ เพื่อบอกลูกชายว่าพ่อแม่รำลึกถึงลูกชายนะ ญาติๆ หวังว่า คนจะไม่ลืมความสูญเสียนี้"บิดาของเทิดศักดิ์ กล่าว

ขณะที่มติชนออนไลน์รายงานด้วยว่า เหวง กล่าวว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ซึ่งเป็นวันที่มีการใช้กำลังพยายามสลายการชุมนุมจนมีการสูญเสียของพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก วันนี้เรารำลึกเหตุการณ์ดังกล่าว และมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งมีแกนนำ นปช. ญาติพี่น้องครอบครัวผู้เสียชีวิต และพี่น้องประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์มาร่วมพิธีกันในครั้งนี้ อีกส่วนหนึ่งก็คือติดตามทวงถามความยุติธรรม ทวงถามความคืบหน้าของคดี  อยากเรียนว่าในการต่อสู้ทางการเมืองของทุกประเทศเมื่ออำนาจรัฐได้กระทำต่อประชาชนจนเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ขอได้โปรดรับรู้ไว้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ถูกลืม ไม่มีอำนาจใด ๆ จะทำให้ความจริงนี้เลือนหายไปได้  และยืนยันว่าจะเดินหน้าเพื่อติดตามทวงถามคดีนี้ต่อไปให้ถึงที่สุด ตนมั่นใจว่าวันหนึ่งความยุติธรรมจะมาถึง วันหนึ่งใครกระทำความผิดในเหตุการณ์นี้ต้องรับผิดชอบตามตัวบทกฎหมาย

พร้อมกันนี้กลุ่มผู้เข้าร่วมงาน ได้นำรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว และรูปทหารที่กำลังจ่อปืนเล็งมาติดที่บริเวณด้านหน้าศาลาโดยมีข้อความเขียนว่า “วีรชน เมษา พฤษภา จะต้องไม่ตายฟรี” โดยบรรยากาศของงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน จากนครบาล 2 ร่วมกับสน.บางเขน ดูแลความเรียบร้อย กระทั่งแยกย้ายจบงาน

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นิพิฏฐ์ยื่นคลิปหลักฐาน ขอกกต. สอบพรรคตัวแปรตั้งรัฐบาลซื้อเสียงพัทลุงเขต 2

$
0
0

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ยื่นกกต. สอบพรรคตัวแปรจัดตั้งรัฐบาล ปมซื้อเสียง พร้อมขอ กกต. คุ้มครองพยานเนื่องจากโดนข่มขู่ ยันหลักฐานมัดแน่น ทั้งคลิป-ภาพ-ไลน์ กรรมการบริหารพรรคมีเอี่ยวด้วยเข้าข่ายยุบพรรค แต่รู้ทางลับว่า มีการต่อสายคุยกับผู้มีอำนาจเพื่อขอให้ตัดโทษยุบพรรคออก เนื่องจากพรรคดังกล่าวจะร่วมรัฐบาลด้วย

10 เม.ย. 2562 เวลา 13.25 น. นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้สมัคร ส.ส.พัทลุง เขต 2 เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อยื่นร้องเรียนต่อ กกต. ให้ทำการตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพัทลุง พร้อมยื่นหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ ภาพถ่าย ทั้งระบุว่ามีพยานบุคคลที่พร้อมให้ข้อมูลแต่ต้องขอให้ กกต. ดำเนินการสั่งคุ้มครองพยานด้วย เนื่องจากที่ผ่านมามีการโทรไปข่มขู่พยานจนทำให้ต้องหลบไปอยู่ต่างจังหวัด

นิพิฏฐ์ ระบุว่า ได้จับตาการโกงการเลือกตั้งโดยการซื้อสิทธิขายเสียงมาตั้งแต่ยังไม่มีการประกาศใช้ พ.ร.ฎ.การเลือกตั้งฯ ซึ่งพบว่ามีการรวบรวมถ่ายสำเนาบัตรประชาชนของคนในพื้นที่ไว้ 4 หมื่นใบ และต่อมาเพิ่มเป็น 6 หมื่นกว่าใบ กรณีนี้มีหลักฐานที่สามารถโยงถึงกรรมการบริหารพรรคและมีพยานบุคคลรวมถึงคลิปการใช้เงินซื้อเสียง ข้อความซื้อเสียงสั่งทางไลน์ด้วย โดยที่คณะกรรมการบริหารพรรคดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตการเลือกตั้งด้วย ซึ่งจะส่งถึงขั้นยุบพรรคการเมืองได้ และจะส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากพรรคการเมืองนี้เป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตัวรัฐบาล

“เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องคือ ผมมาขอให้คุ้มครองพยาน เพราะพยานที่รู้เห็นเรื่องเหล่านี้หนีออกต่างจังหวัดไปแล้ว 3 คน เนื่องจากการทุจริตการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นขบวนการใหญ่ ซึ่งจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้ เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นเป็นใจ ฉะนั้นเรื่องนี้เดิมพันมันสูง พยานเราถูกโทรข่มขู่หลายครั้งจนไม่กล้าอยู่ในจังหวัดบอกว่าจะได้รับอันตราย อย่ามายุ่งเรื่องนี้ อย่างไรเรายังมีพยานที่พร้อมให้ปากคำต่อ กกต. อยู่ แต่ กกต. ต้องคุ้มครอง” นิพิฏฐ์

นิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ต้องการให้ กกต. เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนจะมีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ก่อนวันที่ 9 พ.ค. 2562 เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคการเมืองที่ผู้ถึงนั้น ใช่พรรคที่เป็นผู้ชนะในเขต 2 จังหวัดพัทลุงหรือไม่ นิพิฏฐ์ตอบว่า ใช่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่นิพิฏฐ์ จะเดินทางมายื่นเรื่องต่อ กกต. เขาได้จัดการแถลงข่าวที่สำนักงานพรรคประชาธิปัตย์ โดยในการแถลงข่าว นิพิฏฐ์ กล่าวตอนหนึ่งด้วยว่า  รู้มาในทางลับว่า มีการเจรจาต่อรองกัน โดยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงกับผู้มีอำนาจปัจจุบันให้ตัดตอนโทษการยุบพรรคออกไป เพราะพรรคการเมืองที่ว่านี้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หากมีการสั่งยุบพรรคจะกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาล และอยากสื่อไปถึงนักกฎหมาย นักวิชาการ ขอให้ดูเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษา ว่าจะถึงยุบพรรคหรือไม่ เพราะพยานหลักฐานแน่นหนา

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คำพูดอันตราย บทเรียนจากการขู่ฆ่า ส.ส.หญิงมุสลิมสหรัฐฯ ที่ 'ทรัมป์'ก็เหยียดหยัน

$
0
0

ชายอายุ 55 ปีในนิวยอร์กขู่ทำร้ายและขู่ฆ่า อิลฮาน โอมาร์ ส.ส. หญิงชาวมุสลิมคนแรกของสหรัฐฯ ถึงแม้ชายผู้นี้จะถูกจับกุมตัวแล้ว แต่เรื่องนี้ก็สะท้อนว่าการทำให้ "เฮทสปีช"หรือวาจาปลุกปั่นความเกลียดชังบนฐานของอัตลักษณ์กลายเป็นเรื่องธรรมดานั้นเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างไร

อิลฮาน โอมาร์ (ที่มา: วิกิพีเดีย)

10 เม.ย. 2562 กลุ่มนักกิจกรรม ฝ่ายก้าวหน้าและนักการเมืองในสหรัฐฯ ต่างก็เตือนเกี่ยวกับอันตรายของ "การทำให้เฮทสปีชกลายเป็นเรื่องธรรมดา"และอันตรายจากความเกลียดกลัวอิสลามอย่างไม่มีเหตุผล หลังมีเหตุการณ์คนร้ายข่มขู่คุกคามอิลฮาน โอมาร์ ผู้ลี้ภัยเชื้อสายโซมาเลียและ ส.ส. ชาวมุสลิมหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ที่เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตจากมินนิโซตา

อดีตผู้ลี้ภัยชาวโซมาเลียชนะเลือกตั้งท้องถิ่นสหรัฐอเมริกาที่รัฐมินนิโซตา

อะฟัฟ แนชเชอร์ ผู้อำนวยการบริหารสาขานิวยอร์กขององค์กรสภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (CAIR) กล่าวว่าสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่นำโดยคนที่เกลียดกลัวอิสลามอย่างไม่มีเหตุผลในทำเนียบขาว ทำให้เฮทสปีชถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา และทำให้กลุ่มพวกใจคับแคบรู้สึกฮึกเหิมในการกระทำของตนเอง แนชเชอร์บอกอีกว่าควรจะมีการเล็งเห็นปัญหาการเพิ่มขึ้นของการเกลียดกลัวอิสลามอย่างไม่มีเหตุผล

แนชเชอร์แสดงความโล่งอกหลังจากที่มีการจับกุมตัวแพทริก คาร์ลินีโอ ชายอายุ 55 ปี ในนิวยอร์ก จากการที่เขาขู่ทำร้ายและขู่ฆ่าอิลฮาน สำหรับพฤติการณ์นั้น แพทริกโทรศัพท์ไปขู่อิลฮาน โดยบอกกับคนที่ทำงานให้เธอว่า "คุณทำงานกับพวกกลุ่มภราดรภาพมุสลิมใช่ไหม ทำไมคุณถึงทำงานกับเธอ เธอเป็นผู้ก่อการร้าย ผมจะเอากระสุนฝังหัวเธอ"

ในขณะที่มีการไต่สวนจากเอฟบีไอหลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คาร์ลินีโอก็เปิดเผยว่าเขาเป็นผู้ชื่นชอบโดนัลด์ ทรัมป์ และเกลียดสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็น "มุสลิมหัวรุนแรง"ในรัฐบาลสหรัฐฯ

นอกจากกรณีของคาร์ลินีโอแล้ว บันทึกศาลของสหรัฐฯ ยังมีรายงานว่าอิลฮานเคยถูกขู่เอาชีวิตมาแล้วเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มีคนขู่วางระเบิดหลังจากที่เธอได้รับเลือกให้เป็นผู้บรรยายในงานของ CAIR ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมลอสแองเจลิส ในครั้งนั้นผู้โทรหาด้วยเบอร์ที่ถูกบล็อกกล่าวผ่านวอยซ์เมลล์ในทำนองว่าจะวางระเบิดโรงแรมถ้าหากโรงแรมอนุญาตให้อิลฮานขึ้นบรรยายในงานโดยอ้างว่าเธอ "เป็นอันตรายต่อสังคมอเมริกันและต่อโรงแรมของคุณ"รวมถึงขู่ให้ยกเลิกการจัดงานด้วย

กรณีการข่มขู่คุกคามล่าสุดทำให้มีผู้คนแสดงความเห็นใจและแสดงการสนับสนุนอิลฮาน รวมถึงนักกิจกรรม ลินดา ซาร์ซูร์ จากกลุ่มเสียงแห่งสันติชาวยิว (JVP)

ในเรื่องนี้ ส.ส. อเล็กซานเดรีย โอแคซิโอ-คอร์เทซ หนึ่งในคนรุ่นใหม่และฝ่ายก้าวหน้าที่ได้รับเลือกเข้าไปในสภา วิจารณ์เรื่องการใช้วาจาปลุกปั่นความเกลียดชังของสื่ออย่างฟ็อกซ์นิวส์ที่มีพิธีกรรายการกล่าวหาว่าอิลฮานอาจจะจงรักภักดีต่อศาสนาตัวเองมากกว่ารัฐธรรมนูญสหรัฐฯ เพียงเพราะเธอสวมฮิญาบ อเล็กซานเดรียวิจารณ์ว่าสิ่งที่พิธีกรของฟ็อกซ์นิวส์ทำนำมาสู่การข่มขู่คุกคามใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น

"ควรพูดถึงนโบายทางการเมือง ไม่ใช่พูดเรื่องส่วนตัว"เอล็กซานเดรีย วิจารณ์ในทวิตเตอร์

สื่อคอมมอนดรีมส์ตั้งข้อสังเกตว่าการโจมตีทางวาจาต่ออิลฮานเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหลังจากเธอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอลและวิจารณ์เรื่องที่มีกลุ่มล็อบบี้ในสหรัฐฯ คอยสนับสนุนส่งเสริมอิสราเอล ขณะเดียวกันทรัมป์ก็ชอบนำอิลฮานมาเย้ยหยัน ทำให้นักกิจกรรมมุสลิมสายก้าวหน้า อับดุล เอลซาเยด วิจารณ์ทรัมป์โดยเตือนว่าว่า "คำพูดทำให้เกิดผลลัพธ์ตามมา"โดยยกตัวอย่างกรณีการกราดยิงชาวยิวที่พิตต์เบิร์กและชาวมุสลิมในนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชังอัตลักษณ์หรือ Hate Crime ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ผู้ที่ก่อเหตุในนิวซีแลนด์แสดงการชื่นชมทรัมป์ว่า "เป็นสัญลักษณ์แทนการฟื้นฟูอัตลักษณ์คนขาว"

อิลฮานโต้ตอบการกล่าวเหยียดของทรัมป์ด้วยบทสวดอาหรับว่า “ข้าแต่องค์อภิบาลได้โปรดให้อภัยแก่พวกพ้องของฉันด้วยเถิด เพราะความจริงพวกเขาไม่รู้”

เรียบเรียงจาก

'Bigotry Is Deadly': Warnings of 'Normalized Hate Speech' After Latest Threats Targeting Rep. Ilhan Omar, Common Dreams , Apr. 7, 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ตึกกิจกรรมนางเลิ้งถูกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ล็อก-เปิดประมูล ชุมชนเล็งระดมเงิน

$
0
0

บ้านคลินิกหมออุทัยในชุมชนวัดแค นางเลิ้งที่ถูกใช้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ในชุมชน ถูกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าของที่ลั่นกุญแจและติดป้ายประมูลเช่า ประธานชุมชนระบุ ทรัพย์สินฯ ดำเนินการตามกระบวนการเนื่องจากผู้เช่าเดิมคืนที่ แต่ไม่มีการสื่อสารกับชุมชน เล็งระดมทุนหาเงินประมูล

ป้ายหน้าบ้าน 131/1 หลัง 23 มี.ค. 2562

10 เม.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า บ้านเลขที่ 131/1 ชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน (วัดแค) ย่านนางเลิ้ง ตึกที่ชุมชนใช้เป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อจัดกิจกรรมศิลปะและพื้นที่เรียนรู้ ถูกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเจ้าของที่คล้องกุญแจทับกุญแจของชุมชน และติดป้ายปล่อยประมูลเช่าตั้งแต่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา

สุวัน แววพลอยงาม ประธานชุมชนวัดแคให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า อาคารดังกล่าวเดิมเป็นอาคารคลินิกของนายแพทย์อุทัย(ศรีอรุณ) อเุทนพิพัฒน์ ชาวชุมชนนางเลิ้ง ที่ในช่วงหลังถูกใช้เป็นที่ขายกล้วยแขกเอี๊ยมม่วง สำนักงานเล็กๆ น้อยๆ และที่พักของคนในชุมชน จนในปัจจุบันใช้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ของชุมชน มีกลุ่มนักศึกษา ศิลปินมาใช้พื้นที่เรื่อยๆ

สุวันกล่าวว่า หลังจากมีการปิดอาคารเมื่อ 23 มี.ค. 2562 เธอได้พูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่ทรัพย์สินฯ และทางทรัพย์สินฯ ให้ทางชุมชนเขียนแผนการพัฒนามา แต่อย่างไรเสียอาคารคลินิกดังกล่าวก็ต้องยึด ซึ่งสุวันระบุว่า การล็อกกุญแจตึกนั้นเป็นระเบียบของทางทรัพย์สินฯ กับตึกที่มีสถานะเป็นตึกร้าง เพราะผู้เช่าได้โอนสิทธิกลับไปให้ทางทรัพย์สินฯ แล้ว แต่ว่ากองงานที่ประสานงานกับชุมชนกับผู้ดูแลเรื่องอาคารเป็นคนละกองกัน และไม่มีการแจ้งข่าวกับทางชุมชน

ภาพเมื่อบ้าน 131/1 ถูกใช้ทำกิจกรรมฉายสารคดีเรื่องอีเลิ้งให้กับกลุ่มเยาวชนและผู้สนใจรับชม ในกิจกรรมเดินชุมชนเมื่อ ม.ค. 2562

ประธานชุมชนวัดแคกล่าวว่าในอนาคตจะมีการส่งหนังสือชี้แจงกับทางทรัพย์สินฯ ต่อไป แต่ตึกนี้มีทางเลือกสองทาง หนึ่ง คือจัดพื้นที่ใหม่หรือเรียกอีกอย่างว่าทุบ เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาของรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะตัดเข้ามาทางชุมชนนางเลิ้ง (สถานีหลานหลวง) อีกทางก็คือประมูลตึกอย่างที่ติดป้ายอยู่ ในทางกฎหมาย ชาวชุมชนผู้เป็นผู้เช่าไม่มีสถานะใดๆ ไปต่อสู้ แต่ก็เล็งว่าจะระดมหาเงินไปประมูลซึ่งส่วนตัวก็รู้ว่ายาก

แผนแม่บทกรุงรัตนโกสินทร์ (ใหม่) กับเสียงมนุษย์ (เก่า) ในม่านฝุ่นการพัฒนาเมือง

ชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน (วัดแค นางเลิ้ง) เป็นชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยเช่าที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และวัดสุนทรธรรมทานเป็นส่วนใหญ่ ที่ดินบริเวณนี้ถูกเพิ่มมูลค่าจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีหลานหลวงที่จะมาขึ้นบริเวณ ถ.หลานหลวง และชุมชนเองก็จะถูกผนวกเข้าเป็นพื้นที่ในพื้นที่ของแผนแม่บทการพัฒนาและอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ฉบับใหม่ด้วย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จ่อหอบกว่า 8 แสนชื่อร้อง ป.ป.ช.ถอด กกต. 'นักศึกษา'เตรียมฟ้อง 157

$
0
0

'คนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม มอส.'เตรียมยื่นเอกสารและหลักฐาน ต่อ ป.ป.ช.ถอดถอน กกต. พรุ่งนี้ สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาฯ เปิดแคมเปญ #กกตต้องติดคุก เตรียมฟ้อง ม.157 เอาผิด กกต.

10 เม.ย.2562 ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชน เครือข่าย กลุ่มคน และสถาบันการศึกษาจากทั่วประเทศ ร่วมประกาศเจตจำนงค์เรียกร้องให้มีการตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยร่วมลงชื่อสนับสนุนในแคมเปญ ‘ลงชื่อถอดถอนกกต.’ ผ่าน Change.org ซึ่งปัจจุบันนี้ มีผู้ที่เห็นด้วยกว่า 849,079 คนแล้วนั้น 

ล่าสุด คนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม มอส. โพสต์เชิญชวนผู้มีเจตนารมณ์เดียวกัน ยื่นเอกสารและหลักฐาน ถอดถอน กกต. พรุ่งนี้ (11 เม.ย.62) 9.30 น. ที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) (ถนนสนามบินน้ำ) นนทบุรี

"ในวันยื่นหนังสือ ขอให้เราได้รวมพลังกันอีกครั้ง แสดงออกถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ ให้สังคมได้ตระหนักถึงการทำหน้าที่อันบกพร่อง และส่งผลกระทบต่อสิทธิของประชาชน เพื่อมาตรฐานการทำงานที่ "โปร่งใส" #ด้วยสังคมส่วนใหญ่เขาบอก #ไม่ใช่มาบอกเองว่าตนโปร่งใส"เพจ คนรุ่นใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม มอส. โพสต์

 

วันเดียวกัน Banrasdr Photoรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนท.)แถลงข่าวเชิญชวนเพื่อนนักเรียนนักศึกษาร่วมฟ้อง กกต.มาตรา 157 ในแคมเปญ#กกต.ต้องติดคุก โดยตัวแทน สนท.กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)ได้จัดการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีค.ที่ผ่านมา เต็มไปด้วยความผิดปกติ ส่งให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ทั้งกรณี การผิดพลาดของการจัดส่งบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งนอกเขตและนอกราชอาณาจักร การที่มีชื่อผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งไปปรากฎในรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และกกต.ยังได้ใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยกรณีต่างๆที่ขัดต่อหลักกฎหมายและประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย

แกนนำ สนท.ระบุต่อว่าการกระทำของคณะกรรมการ กกต.เป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปอย่าง สุจริตเที่ยงธรรม ขัดต่อหน้าที่และอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ทาง สนท.จึงจะดำเนินการฟ้องร้องต่อ กกต.ทั้ง 7 คน ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ให้เสียหายต่อผู้ใดผู้หนึ่ง หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157

พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิก สนท.และยังเป็นผู้ที่ถูก กกต.แจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทจากการปราศัยวิจารณ์การทำงานของ กกต. ระบุว่าเพื่อไม่กระทบต่อการปฎิบัติหน้าที่ของ กกต.ในการรับรองผลการเลือกตั้ง ทาง สนท.จะรอให้มีการรับรองผลเลือกตั้งในเดือน พค.ให้แล้วเสร็จก่อนถึงจะยื่นฟ้อง โดยในระหว่างนี้ขอเชิญให้ประชาชนที่มีหลักฐานการปฎิบัติหน้าที่ไม่สุจริตของ กกต.ส่งมาเพื่อรวบรวมเสนอต่อศาล

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สปสช. แจ้งสิทธิบัตรทองเดินทางหยุดยาวสงกรานต์ เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต เข้า รพ.อยู่ใกล้

$
0
0

สปสช.แจ้งประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท เดินทางช่วง “เทศกาลหยุดยาวสงกรานต์” หากเจ็บป่วยฉุกเฉินระดับวิกฤติ เข้ารักษาได้ทุก รพ.ที่อยู่ใกล้ ตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิ์ทุกที่” ส่วนกรณีไม่ถึงขั้นวิกฤติแต่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ใช้สิทธิรักษาได้ตามมาตรา 7 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แนะนำให้เข้า รพ.รัฐที่อยู่ใกล้สุดไว้ก่อน

10 เม.ย.2562 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว และปีนี้เป็นวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 12-16 เม.ย. เป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนจำนวนมากที่ทำงานอยู่ต่างถิ่น จะได้เดินทางกลับบ้านหรือไปเยี่ยมญาติ รวมทั้งเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ ในช่วงเทศกาลนี้ ในระหว่างนี้ประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิบัตรทอง หากมีความจำเป็นต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล แบ่งเป็น 2 กรณี คือ

1.กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินระดับวิกฤติที่หากไม่รักษาทันทีมีโอกาสเสียชีวิตสูง สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ที่สถานพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ใกล้สุด ตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิ์ทุกที่ หรือ Universal Coverage for Emergency Patients (UCEP) และให้สถานพยาบาลที่ให้การรักษาเบิกค่าใช้จ่ายจาก สปสช.ตามอัตราที่กำหนด

2.กรณีเจ็บป่วยที่ไม่ใช่ฉุกเฉินระดับวิกฤติ หรือผู้มีสิทธิบัตรทองที่เดินทางไปต่างถิ่น แล้วมีความจำเป็นต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล เช่น ความดันโลหิตขึ้นสูง ปวดศีรษะมาก ท้องเสียรุนแรง ซึ่งเป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่ถึงขั้นฉุกเฉินแก่ชีวิต กรณีนี้ เป็นไปตามข้อบังคับ สปสช.ว่าด้วยการใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุข กรณีที่มีเหตุสมควร กรณีอุบัติเหตุหรือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 ซึ่งระบุว่า ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง หากมีเหตุสมควร หรือกรณีอุบัติเหตุฉุกเฉิน หรือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลอื่นได้

สถานพยาบาลอื่นนั้นหมายถึงสถานพยาบาลที่ไม่ได้ลงทะเบียนประจำไว้ และสถานพยาบาลที่ไม่ได้เข้าร่วมให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และเช่นเดียวกันคือแนะนำให้เข้าสถานพยาบาลของรัฐที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้ก่อน ไม่ใช่มุ่งเจาะจงเข้าสถานพยาบาลเอกชนเท่านั้น เนื่องจากมีอัตราการเบิกจ่ายตามระเบียบที่กำหนดไว้

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวต่อว่า ในการเพิ่มความสะดวกเข้ารับบริการรักษาพยาบาลฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากการเตรียมหลักฐานสำคัญคือบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว ควรศึกษาข้อมูลหน่วยบริการที่อยู่ในพื้นที่ระหว่างเดินทางและจุดหมายปลายทาง เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการเข้ารับการรักษาพยาบาลยังหน่วยบริการที่ใกล้ที่สุดโดยเร็วและเพื่อความไม่ประมาท ในส่วนของประชาชนที่เจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัวที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหอบหืด เป็นต้น ควรเตรียมพร้อมยารักษาโรคเพื่อให้เพียงพอสำหรับการเดินทาง ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน สปสช. โทร. 1330 ขณะที่กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินนั้น โทร. สายด่วน 1669 ได้ทั่วประเทศ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live