Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live

ใบตองแห้ง: คนรุ่นใหม่ชังอำนาจ

$
0
0

แฟลชม็อบนักเรียนนักศึกษากระจายไปทั่วประเทศ แข่งติด # ไม่ยอมน้อยหน้ากัน ทั้งประชันอุดมการณ์ ความคิด อารมณ์ขัน แถมถ้อยคำมีนัย ชวนให้สะดุ้ง กระจายทุกมหาวิทยาลัย ไม่เว้นแม้สถาบันที่เคยร่วมม็อบนกหวีดปิดเมือง โดยอาศัยโอกาสนี้ เหยียดหยัน "สลิ่ม"ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สังคมรังเกียจ

มองด้วยตาเปล่า แฟลชม็อบที่ธรรมศาสตร์ รังสิต ยังมากกว่าที่ลานโพธิ์ ก่อน 14 ตุลา 2516 ด้วยซ้ำ แม้แน่ละ สถานการณ์ต่างกัน ยุคสมัยต่างกัน คงไม่ไปถึงจุดนั้นง่ายๆ แต่ถามว่าจะเกิดอะไรต่อไป ก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน

รู้แต่ว่านี่มันเหมือนช่วงแนะนำตัว ของพลังคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นเก่าไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ แม้แต่คนที่เคยอยู่ในขบวนการนักศึกษา 2516-2519 หรือ 2535 หรือคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ก็ใช่ว่าจะเข้าใจพวกเขานัก

เอาง่ายๆ ย้อนไปปีที่แล้ว จะอธิบายปรากฏการณ์ "ฟ้ารักพ่อ"อย่างไร มันเหมือนชูตัวบุคคล มันโยงละครหลังข่าว น้ำเน่าไปไหม แต่พอฟังนักศึกษาไฮด์ปาร์ก เอาแค่นักเรียนเตรียมอุดม ยังโยงได้ถึง จิตร ภูมิศักดิ์ 6 ตุลา "เก้าอี้ฟาด"พวกเขารู้อะไรมากกว่าที่เราคิด

เด็กเตรียมฯ ย้อนได้ถึงยุทธนาวีที่เกาะช้าง แต่นายกรัฐมนตรีที่พร่ำบอกเด็กให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ตอบ ส.ส.ในสภา ยังพูดผิดพูดถูก ถึงเหตุการณ์ปี 14 ปี 16

แม้เข้าใจหัวอกว่าไม่พอใจ "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม"เช่นเพลงที่ร้องเป็นสัญลักษณ์ มาจากหนัง "เหยื่ออธรรม" Do You Hear the People Sing ซึ่งน่าจะแปลความหมายอีกอย่าง "เห็นหัวประชาชนบ้างหรือเปล่า"

แต่ถ้าให้ประเมินว่าพวกเขาจะแสดงออกอย่างไรต่อไป จุดระเบิดอยู่ตรงไหน ขอบอกว่ามืดแปดด้าน อ้าว มีใครเดาถูกบ้างว่าจะเกิดม็อบฮ่องกงแบบไร้แกนนำ ตอนที่จุฬา #เสาหลักจะไม่หักอีกต่อไป ใครคิดบ้างว่าจะลามทุกมหาวิทยาลัย ไม่เว้นราชภัฏ ราชมงคล บอกตรงๆ แม้แต่ฝั่งประชาธิปไตยยังเซอร์ไพรส์

เราอยู่ในโลกยุคเด็ก 9 ขวบ เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษได้ เด็ก 20 มีคนฟอลโลว์ในโลกทวิตเตอร์เป็นแสน ขณะที่คนกดไลก์ลุง อาจกลายเป็น IO เสียร่วมครึ่ง แต่ลุงก็ยังปกครองแบบสอนสั่ง ราวกับโลกยุคผู้ใหญ่ลี ทางการสั่งมาว่า ถ้าน้ำประปากร่อยให้ต้มดื่ม สมองมี 84,000 พระธรรมขันธ์

ระลอกคลื่นลูกหลังทยอยไล่ลูกแรก เป็นสัจธรรม ถ้าไม่ยอมรับว่าคนรุ่นใหม่ก้าวไกลกว่า แล้วโลกจะก้าวหน้าได้อย่างไร แต่คนรุ่นเก่ายอมรับไม่ได้ ชี้หน้าว่านักเรียนนักศึกษาโดนปลุกปั่น

ตอนที่คนชนบท คนเหนืออีสาน มาทวงอำนาจเลือกรัฐบาล ก็โทษทักษิณหลอก "ควายแดง"ครั้นนักเรียนเตรียมอุดม สตรีวิทย์ นิสิตจุฬา นักศึกษาธรรมศาสตร์ เกษตรฯ มหิดล ศิลปากร พระจอมเกล้า เชียงใหม่ ขอนแก่น ฯลฯ แสดงพลัง ก็ว่าธนาธรอยู่เบื้องหลัง

ในโลกนี้มีแต่สลิ่มและ IO เท่านั้น ที่ไม่ถูกจูงจมูก

แน่ละ การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ การยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นตัว catalyst แต่คนรุ่นใหม่ไม่พอใจระบอบอำนาจนี้อยู่แล้วโดยธรรมชาติ

ถามตัวเองสิ ทำไมคนรุ่นใหม่ #ผนงรจตกม ที่จริงไม่ใช่แค่ตัวบุคคล แต่มันหมายถึงโครงสร้าง "รัฐล้าหลัง"ซึ่งทำอย่างไรก็หนีไม่พ้นผู้นำอำนาจนิยมตกยุค

คนรุ่นใหม่ไม่เพียงเติบโตมาในโลกข้อมูลข่าวสาร แต่ยังเป็นโลกยุค disruption ซึ่งไม่มีความมั่นคงในชีวิตอีกต่อไป คนรุ่นถัดไป จะต้องปรับตัวอยู่เสมอ ประกอบกับรักอิสระ ต้องการใช้ชีวิตในวิถีของตัวเอง

คนรุ่นใหม่จึงต้องการระบอบที่รัฐเป็นผู้ให้บริการ รัฐที่มีประสิทธิภาพ กะทัดรัด ไม่ต้องมายุ่มย่าม จนเป็นภาระกับปัจเจกชน รัฐควรมีหน้าที่เกื้อหนุนให้สังคมเข้มแข็ง เป็นผู้จัดการปัญหาต่างๆ

แต่ตรงกันข้าม รัฐที่สถาปนาโดยระบอบ คสช. คือ "รัฐเป็นบิดา"รัฐราชการควบคุมทุกอย่าง ใหญ่โตเทอะทะ เป็นภาระ ไร้ประสิทธิภาพ ซ้ำยังถอยหลัง เน้นความมั่นคง อบรมตีกรอบ ให้เคารพนบนอบ อยู่ใต้ความต้องการ

มันไม่เพียงจำกัดเสรีภาพ แต่คนรุ่นใหม่ยังมองว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตหมด ตายแน่ "จบมาก็เป็นฝุ่น"สะท้อนการไร้อำนาจทางการเมือง ไม่มีอำนาจตัดสินอนาคตของตัวเอง ผู้ครองอำนาจอยากทำอะไรก็ทำ ไม่แยแสอำนาจประชาชน

เด็กสตรีวิทย์จึงบอกว่า เธอมีความสามารถเรียนให้ได้เกรด 4.0 ไปต่อเมืองนอก จบออกซ์ฟอร์ด แต่กลับมาแล้วจะมีความหมายอะไร

หรือจะให้เรียนจบแล้วไม่ต้องกลับ หางานทำเมืองนอก ทิ้งประเทศนี้ตามยถากรรม ซึ่งพวกเขาไม่อยากทำ แต่ด้วยความอึดอัด ก็ทยอยไปเงียบๆ แล้วจำนวนมาก

คนรุ่นใหม่ไม่ได้ชังชาติ แต่ชังระบอบอำนาจที่เป็นอยู่ ถ้ายังไม่รู้ตัว ไม่ปรับตัว ก็รอดูว่าจะเกิดอะไร ในขณะที่เศรษฐกิจก็ย่อยยับ การเมืองโลกก็อยู่ในยุค anti-establishment

 

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/news_3658243

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

การเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา

$
0
0

ก่อนมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ นักวิเคราะห์ทางการเมืองประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น 2 แนวทาง แนวทางแรก เชื่อว่านักศึกษาคงมีการเคลื่อนไหวตอบโต้ต่อการยุบพรรคไม่มากนักและหากมีก็คงเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ส่วน แนวทางที่สอง เชื่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวตอบโต้อย่างกว้างขวาง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้

นักวิเคราะห์ที่ประเมินว่าการเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้การยุบพรรคการเมืองเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยให้เหตุผลสองประการด้วยกัน ประการแรก อนุมานจากสิ่งที่เห็นจากเหตุการณ์ยุบพรรคการเมืองในอดีต และนำมาสรุปคาดการณ์ว่า อนาคตจะมีทิศทางเดียวกับอดีต กล่าวคือมีการยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน ซึ่งทั้งสองพรรคต่างก็เคยได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนจำนวนนับสิบล้านเสียง มากกว่าที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับเมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาเสียอีก แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีผู้สนับสนุนพรรคทั้งสองออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐและเรียกร้องความเป็นธรรมแก่พรรคการเมืองทั้งคู่

คำอธิบายต่อการที่ผู้สนับสนุนของพรรคทั้งสองไม่ออกมาแสดงปฏิกิริยามีสองมุมคือ มุมแรก มีความเป็นไปได้ว่า ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทั้งสองเห็นว่า ผู้บริหารพรรคมีความผิดจริง และความผิดนั้นนำไปสู่การยุบพรรคได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้สนับสนุนพรรคทั้งสองไม่เห็นด้วยต่อการยุบพรรค ก็ไม่แสดงปฏิกิริยาออกมามากนัก

ส่วนมุมที่สองคือ ผู้สนับสนุนพรรคทั้งสองไม่มีความผูกพันกับ “พรรค” มากนัก หากแต่ผูกพันกับ “ผู้นำพรรคและแกนนำพรรค” มากกว่า การยุบพรรคจึงไม่มีความหมายใด หากผู้นำและแกนนำพรรคเดิมสามารถไปจัดตั้งพรรคใหม่ขึ้นมารองรับขับเคลื่อนการเมืองต่อไปได้ ผู้สนับสนุนก็ตามไปเลือกพรรคใหม่ที่อยู่ภายใต้การนำของผู้นำและแกนนำกลุ่มเดิมอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลประการที่สองของการประเมินการเคลื่อนไหวของนักศึกษาต่ำกว่าความจริง มาจากความคิดที่ว่าคนรุ่นใหม่ นักเรียน นิสิต และนักศึกษาในปัจจุบันเป็นเพียงนักเลงคีย์บอร์ด เพียงแสดงความคิดเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ รักความสะดวกสบาย หากไม่พอใจสิ่งใดก็ระบายความรู้สึกลงในหน้าจอก็ทำให้ความไม่พอใจบรรเทาเบาบางลงไป โอกาสที่เยาวชนเหล่านั้นจะออกมาแสดงพลังด้วยการชุมนุมทางการเมืองมีความเป็นไปได้ต่ำอย่างยิ่ง เพราะการไปชุมนุมนั้นต้องเผชิญกับความไม่สะดวกสบาย และต้องใช้ความอดทนยืนหยัดอย่างยาวนาน ซึ่งเยาวชนในปัจจุบันถูกมองว่ามีค่อนข้างน้อย

สำหรับการประเมินแนวทางที่สอง ซึ่งมองว่าจะมีการเคลื่อนไหวตอบโต้และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ แนวทางนี้ได้ประเมินถูกต้องครึ่งหนึ่งแล้ว นั่นคือ มีกระแสการเคลื่อนไหวตอบโต้การยุบพรรคอนาคตใหม่อย่างกว้างขวางและกระจายตัวทั่วทั้งประเทศภายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และขยายไปสู่นักเรียนระดับมัธยมด้วย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือ การชุมนุมครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องรอเวลามาพิสูจน์ในเวลาอีกไม่ช้าไม่นานนี้

เพียงหนึ่งวันหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ การชุมนุมก็เริ่มต้นขึ้นครั้งแรก ซึ่งจัดโดย สหภาพนักเรียน นิสิตและนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่ลานปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 การชุมนุมมีลักษณะเป็น Flash mob มีการกำหนดระยะเวลาเริ่มและสิ้นสุดการชุมนุมอย่างชัดเจน มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 1,000 คน ประเด็นหลักของการชุมนุมคือ การแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งนักศึกษาและผู้เข้าร่วมการชุมนุมเชื่อว่า เป็นการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมและลิดรอนสิทธิและเสรีภาพ

จากนั้นในวันถัดมาก็มีการชุมนุมในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาขยายตัวไปยังมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยขอนแก่น และอีกหลายมหาวิทยาลัยทั่วทั้งประเทศ จำนวนผู้เข้าชุมนุมในแต่ละมหาวิทยาลัยมีนับพันคนที่สำคัญคือ กระแสของการชุมนุมยังขยายไปสู่โรงเรียนมัธยมระดับชั้นนำของประเทศหลายแห่งอีกด้วย

ประเด็นหลักของการชุมนุมก็มีการขยายตัวจากเรื่อง การแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ ไปสู่การต่อต้านเผด็จการ การเรียกร้องให้มีประชาธิปไตย และในเชิงรูปธรรมคือ การขับไล่รัฐบาลประยุทธ์

ทำไมนิสิตและนักศึกษาจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างเข้มข้นต่อการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทั้งที่เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนต่อกรณียุบพรรคการเมืองในอดีต เรื่องนี้จำเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจโดยละเอียด

1. การปิดกั้นเสรีภาพทางการเมืองอย่างยาวนานของรัฐบาลประยุทธ์ เป็นความจริงที่ว่า นิสิต นักศึกษา และเยาวชนคนหนุ่มสาวในยุคนี้เติบโตขึ้นมาภายใต้บรรยากาศการเมืองแบบอำนาจนิยมของรัฐบาล คสช. ซึ่งมีความเข้มข้นของการปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการทำกิจกรรมทางการเมืองในระดับสูง อันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมชาติของเยาวชนที่ให้ความสำคัญกับค่านิยมเรื่องเสรีภาพและความเป็นปัจเจกบุคคล ดังนั้นความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจก็เกิดขึ้นและสะสมอย่างต่อเนื่อง

 
2. ความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์สร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างไม่เคยมีมาก่อน ความมั่งคั่งของประเทศรวมอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐกิจเพียงไม่กี่ตระกูล ขณะที่นิสิตนักศึกษาเกือบทั้งหมดเป็นครอบครัวชนชั้นกลางและชาวบ้าน ซึ่งครอบครัวต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจโดยทั่วหน้า และเมื่อจบการศึกษาแล้วก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองว่าจะได้งานทำเมื่อไร สิ่งนี้เป็นการตอกย้ำให้ว่ารัฐบาลประยุทธ์ไร้วิสัยทัศน์และไร้ฝีมือในการบริหารประเทศอย่างสิ้นเชิง เป็นรัฐบาลที่พวกเขาไม่อาจฝากอนาคตของตนเองเอาไว้ได้ พวกเขาจึงต้องออกมาทวงถามอนาคตของตนเอง

3. ความไม่เห็นธรรมในการใช้อำนาจรัฐ และการใช้อำนาจรัฐแบบ “ไร้มาตรฐาน” ตลอดระยะเวลา 5 ปีเศษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีการสถาปนา “มาตรฐานใหม่” ในการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง นั่นคือ “การไร้มาตรฐาน” หรือ “การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่เป็นพวกเดียวกันแบบหนึ่ง ส่วนบุคคลที่ไม่ใช่พวกเดียวกันอีกแบบหนึ่ง” กล่าวได้ว่า “ความไร้มาตรฐาน” กลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ในองค์กรของรัฐ

สิ่งที่เห็นเป็นเชิงประจักษ์คือ มีอภิสิทธิ์ชนบางกลุ่มทั้งกลุ่มทุน นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงละเมิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง บางกลุ่มละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง บางกลุ่มบุกรุกที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน และบางกลุ่มสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในหลากหลายมิติ แต่รัฐกลับไม่ดำเนินการใด ๆ กับอภิสิทธิชนกลุ่มนี้ให้เด็ดขาด เพราะส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายพวกพ้องของผู้มีอำนาจเอง

ในทางกลับกันหากชาวบ้าน หรือบุคคลที่ไม่ใช่พวกของตน ละเมิดกฎหมายเพียงเล็กน้อย หรือกระทำที่ยังไม่แน่ชัดว่าละเมิดกฎหมายหรือไม่ ก็จะถูกดำเนินคดีอย่างรวดเร็วและมักถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด

4. เยาวชนคนหนุ่มสาวปรารถนาเปลี่ยนแปลงสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่ขยายเสรีภาพและประชาธิปไตยมากขึ้นมีการกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และมีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมทางสังคมและกฎหมาย เมื่อพรรคอนาคตใหม่นำเสนอความคิด อุดมการณ์ และแนวนโยบายสอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา ในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562 พวกเขาส่วนใหญ่จึงสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ จนทำให้ได้รับที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรถึง 80 เสียง

5 การทำลายตัวแทนทางความคิดและความหวังเยาวชนคนหนุ่มสาวมีความรู้สึกว่า พรรคอนาคตใหม่เป็นตัวแทนทางความคิดของพวกเขาที่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในเวทีรัฐสภา และเมื่อพรรคอนาคตใหม่เข้าไปในสภาผู้แทนราษฎรก็พยายามขับเคลื่อนนโยบายผ่านเวทีสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้ง ซึ่งเป็นไปตามสัญญาประชาคมที่เคยให้ไว้ก่อนหน้าการเลือกตั้ง และส.ส.หลายคนของพรรคนี้แสดงบทบาทอย่างโดดเด่นในการอภิปรายและนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพใหม่ของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร ความรู้สึกผูกพันกับพรรคอนาคตในกลุ่มเยาวชนคนหนุ่มสาวจึงเพิ่มมากขึ้น

พวกเขาจำนวนมากมีความรู้สึกว่า นี่คือ พรรคการเมืองของพวกเขา เป็นพรรคที่พวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างขึ้นมา ดังนั้นเมื่อมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ด้วยคำตัดสินที่เต็มไปด้วยข้อโต้แย้งทางหลักวิชาการและข้อเท็จจริง ความรู้สึกว่าตนเองถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม ความคับข้องและคับแค้นใจต่ออำนาจรัฐจึงเกิดขึ้นตามมา พวกเขาไม่น้อยมีความรู้สึกว่าอำนาจได้ทำลายความยุติธรรมและอนาคตของตนเองลงไปเสียแล้ว

ผมคิดว่าทั้ง 5 ประเด็นคือสิ่งที่เป็นรากฐานและนำไปสู่ปฏิกิริยาการแสดงออกเพื่อตอบโต้กับอำนาจรัฐ

6.ปัจจัยที่หนุนเสริมให้การชุมนุมของนักเรียน นิสิต และนักศึกษาขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางคือ Twitter ซึ่งสื่อสังคมออนไลน์ที่นิยมกันมากในกลุ่มเยาวชนคนหนุ่มสาว การนัดหมายชุมนุมดำเนินการผ่าน Twitter ซึ่งกระทำได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทั้งยังมีการจัดทำและประดิษฐ์ถ้อยคำที่น่าสนใจและสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของการชุมนุม อย่างเช่น # เสาหลักจะไม่หักอีกต่อไป (นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) #ช้างเผือกจะไม่ทน (นักศึกษา ม.เชียงใหม่) #ที่ยุบอนาคตใหม่ พี่มหาลัยกูทั้งนั้น (นศ. ธรรมศาสตร์) #ลูกพ่อขุน ไม่รับใช้เผด็จการ (นศ. รามคำแหง) เป็นต้นและเมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้นก็มีการส่งข่าวสาร ภาพถ่าย และคลิปวิดีโอ เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง

7. การชุมนุมเกือบทั้งหมดยังเป็นการชุมนุมในลักษณะที่เป็น Flash Mob และส่วนใหญ่จัดภายในรั้วมหาวิทยาลัยยังไม่พัฒนาไปสู่การชุมนุมในที่สาธารณะ การจัดในมหาวิทยาลัยมีจุดแข็งคือ ไม่อยู่ในเงื่อนไขของ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ทำให้น.ศ.มีความสะดวกในการจัดชุมนุม สามารถจัดขึ้นเมื่อไรก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ และยังสามารถระดมผู้เข้าร่วมซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว แต่จุดอ่อนคือ พลังในการกดดันรัฐบาลมีจำกัด

หากเยาวชนเหล่านี้ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พวกเขาต้องกระทำอีกอย่างน้อยสามเรื่อง คือการแสวงหาเป้าหมายร่วมที่เป็นรูปธรรมและทรงพลัง การจัดเครือข่ายการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างแกนนำของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่าง ๆ และการคิดค้นรูปแบบการชุมนุมที่สามารถสร้างผลกระทบและมีพลังกดดันต่อการตัดสินใจของรัฐบาล

การเคลื่อนไหวของนักศึกษาสามารถดำรงความต่อเนื่องและขยายไปสู่ประชาชนกลุ่มอื่น ๆ จนกลายเป็นพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบให้แน่ชัดลงไปได้ แต่กระนั้น สถานการณ์ในขณะนี้บ่งชี้ว่า กระแสการไม่ยอมรับและต่อต้านรัฐบาลและเครือข่ายอำนาจมีแนวโน้มขยายตัวทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ความเสื่อมถอยของรัฐบาลและกลุ่มชนชั้นนำทางอำนาจเป็นไปในอัตราเร่ง เกินกว่าที่จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้อีกต่อไป ดั้งนั้นผมประเมินว่า การเคลื่อนไหวของนักศึกษาในครั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั้งในระดับตัวผู้เล่นหลัก และในระดับโครงสร้างอำนาจภาพรวม

 

ที่มา: mgronline https://mgronline.com/daily/detail/9630000020003

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ณัฐกรณ์ เทวกุล: ไทม์ไลน์เเห่งความพังพินาศของประชาธิปไตยไทย

$
0
0

ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร นี่คือไทม์ไลน์เเห่งความพังพินาศของประชาธิปไตยไทย

1. '48 - '49 ชุมนุมพันธมิตรต่อต้านรัฐบาลดร.ทักษิณ ชินวัตรที่ชนะเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย

2. '49 พรรคประชาธิปัตย์เเละพรรคขนาดกลางหลายพรรคคว่ำบาตรการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549

3. '49 ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญกดดันศาลให้ทำเลือกตั้งเป็นโมฆะ

4. หนังสือพิมพ์กระเเสหลักชูการยึดอำนาจทักษิณเป็นทางออก

5. จำคุกกกต.เพียงเพราะจัดการเลือกตั้ง ไม่ยอมลาออก

6. รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิ์นักการเมือง 111 คน ตุลาการวิบัติผิดหลักการเเผลงฤทธิ์ต่อ

7. รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่ดีที่สุดถูกฉีก รัฐธรรมนุญฉบับ 2550 เเละ 2560 หลังจากนั้นโอนอำนาจการตรวจสอบรัฐบาล
ไปที่ส่วนหนึ่งของเเผงฝ่ายเผด็จการโดยไม่ใช้ประชาชนเลือกตั้งส.ว.ได้ทั้งหมด องค์กรกิสระไม่ขึ้นต่อประชาชนอีกต่อไป เเต่ขึ้นกับศาลเเละกลไกฝ่ายเผด็จการ

8. หลังจัดการเลือกตั้งปี 2550 มีม็อบยึดทำเนียบเเละท่าอากาศยานเสร็จเเล้วชนชั้นนำบางส่วนรวมทั้งศาลบางค่ายให้ท้ายม็อบนั้นด้วยการสอยนายกฯสมัคร สุนทรเวช อย่างไร้เหตุผลที่ฟังได้ทางกฏหมาย รวมทั้งทำลายพรรคการเมืองของรัฐบาลเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

9. ประชาชนเกิดภาวะตาสว่างต่อความลำเอียงโดยกระบวนการตุลาการภิวัติเเละชนชั้นนำบางส่วนซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นตั้งเเต่เดือนเมษายน '49

10. ประวิตร วงศ์สุวรรณ + สุเทพ เทือกสุบรรณจับมือกันตั้งรัฐบาล 'ในค่ายทหาร'ชูอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายก

11. ยึดทรัพย์ (ปล้นกลางวันเเสกเเสก) 46,000 ล้านบาทจากอดีตนายกฯซึ่งนำมาสู่ปฏิกิริยาตอบโต้

12. ชุมนุมคนเสื้อเเดง คน ตจว.มาเป็นเเสนเเต่ถูกฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลอภิสิทธิ์สลายม็อบ ผลคือตายเกือบ 100 ศพ คนที่คุมฝ่ายความมั่นคงนั้นคือคนที่ผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่ในกลางปี 2557

13. ทั้งที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอุตสาห์ชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นตัวเเทนขั้วทักษิณ/ทรท./พปช./พท. ก็ยังโดนม็อบอีก

14. ม็อบ กปปส.ชัทดาวน์กทม.เเละปูพรหมสู่การยึดอำนาจ (เพื่อเเก้มือจากรอบที่เเล้วที่ไม่ได้เด็ดขาดพอเเละเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีเรื่องการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื่อเเดงซึ่งมีคนเสียชีวิต) โดยการยึดอำนาจครั้งนี้เป็นกระทำการโดยขั้วที่ช่วยตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้สำเร็จในปี 2552 ขั้วนี้จริงจริงเเล้วเป็นกำลังหลักที่สำคัญที่ปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

15. 22 พ.ค. 57 ยึดอำนาจโดยบิ๊กตู่/บิ๊กป้อม/บิ๊กป๊อก นำมาสู่รัฐบาลที่เลือกปฏิบัติทางการเมืองอย่างไร้ยางอายที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของการเมืองไทย

16. ตำรวจเเละเจ้าหน้าที่รัฐอื่นดำเนินคดีกับบุคลากรในฝ่ายประชาธิปไตยอย่างไม่หยุดยั้ง จนท.ทหารจำนวนมากเเทรกเเซงการทำงานของสื่อสารมวลชนเเละละเมิดการทำหน้าที่ขององค์กรภาคประชาสังคมรวมทั้งปฏิบัติการสกัดกั้นการรณรงค์ด้านต่างต่างของผู้จัดกิจกรรมอิสระ

17. กรธ.ร่างรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจของคสช.ยาวนานถึง 20 ปีเเละเพิ่มอำนาจองค์กรอิสระที่ขึ้นกับเผด็จการอย่างไม่เกรงใจฝ่ายนิติบัญญัติเเละฝ่ายบริหาร

18. กรธ.ร่างกฏหมายลูกเปิดโอกาสให้กกต.หาวิธีการคำนวนตัวส.ส.บัญชีรายชื่อซึ่งมีผลเอิ้อต่อการจัดตั้งรัฐบาลประยุทธ์ 2 ทำให้การสืบทอดอำนาจบรรลุเป้าหมาย

19. สื่อในฝั่งเผด็จการเเละการทำ IO จากบางหน่วยในกองทัพตั้งใจทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคการเมืองซึ่งคนรุ่นใหม่ฝั่งประชาธิปไตยนั้นเลือก

20. การรุมสกรัมพรรคอนาคตใหม่ได้รับการปิดเกมส์โดย 7 คนยุบพรรคโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของราษฎรอย่างน้อย 6.3 ล้านคนที่นิยมพรรคสีส้มของธนาธร/ปิยบุตร/พรรณิการ์/พงศกร/กุลธิดา ฯลฯ

21. เศรษฐกิจย่ำเเย่ สังคมกดทับ รัฐบาลด้อยประสิทธิภาพ บางส่วนของกระบวนการยุติธรรมหมดความน่าเชื่อถือ ฝ่ายนิติบัญญัติร่อเเร่ปั่นป่วน ไม่มีสถาบันได้ให้พสกนิกรถวิลหา

22. ชุมนุมของมวลมหาประชานที่เเท้จริงกลางปี 2563 นำโดยพลังบริสุทธิ์ของนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ ประชาชนจะออกมาเป็นเเสน ในที่สุดครูบาอาจารย์ สื่อกระเเสหลัก เเละชาวกรุงเทพฯ ก็จะตามมาสบทบซึ่งจะนำมาสู่การรื้อรัฐธรรมนูญเพื่อนนำไปสู่วิธีการกระจายอำนาจเเละทรัพยากรของประเทศที่เป็นธรรมต่อพลเมืองมากขึ้นเเละเป็นเเบบใหม่เเละเเน่นอนในขั้นตอนนั้นการจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

1MDB บอกอะไรกับเรา: ความ_______ ของระบบความยุติธรรมแบบไทยๆ ที่ตำรวจไทย สังคมไทย และคนที่ต้องการความยุติธรรม กลายมาเป็น “เหยื่อ”

$
0
0

โลกคือละคร ทุกตอนต้องแสดง ทุกคนทนไป

เมื่อมีคนบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ “มีเอี่ยว” กับการคอรัปชั่นครั้งยิ่งใหญ่ของโลกที่เป็นข่าวล่าสุด ก็ทำให้ส่วนตัวเกิดความสงสัยจนต้องไปสืบค้นรายละเอียดและหาข้อมูลเพิ่มเติมจากสื่อนานาชาติเพื่อมาประกอบด้วยว่ามันจริงหรือไม่

ปรากฎว่า นอกจากคำแถลงที่ปรากฎในข่าวไทยแล้ว ข่าวจากสื่อต่างชาติก็ได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจมาก ถึงกรณีการจับกุมนายซาเวียร์ จัสโต้ ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลกับนักข่าวแคลร์ บราวน์ที่เป็นนักข่าวผู้เปิดเผยเรื่องทั้งหมด

เล่าเรื่องยาวให้สั้นเข้า[1]นายซาเวีย จัสโต้เคยทำงานให้กับบริษัทเปโตรซาอุดิที่เป็นหนึ่งในตัวละครหลัก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่นเงินจากโครงการ1MDBของมาเลเซีย และในที่สุดก็ลาออกมา โดยยังไม่ได้รับการจ่ายเงินจึงเก็บข้อมูลการทำงานไว้ เรื่องราว

ผ่านมาพอสมควร ในที่สุดเขาได้พบกับนักข่าวแคลร์ บราวน์ และเขาเป็นผู้ให้หลักฐานข้อมูลซึ่งมีส่วนที่สามารถช่วยให้เธอนำมาพิสูจน์สืบเชื่อมโยง ความเกี่ยวโยงกันของโครงการ 1MDB กับผู้นำมาเลเซียและลูกเลี้ยง และการที่เงินทั้งหมดไหลออกจากมาเลเซียและถูกจับจ่ายใช้สอยไปเพื่อลงทุนทำภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งซื้อของขวัญสุดหรูได้[1]

ณ ช่วงเวลาก่อนโดนจับเขาและครอบครัวอาศัยอยู่ในเมืองไทยและกำลังลงทุนสร้างรีสอร์ทตากอากาศกัน

  1. ซาเวียร์ถูกจับ โดยในคำสัมภาษณ์ เขาพูดอย่างชัดเจนว่าเมื่อตำรวจมาจับตัวเขาไปแล้วนั้น ระหว่างการควมคุบตัว ตำรวจไทยได้ปล่อยให้ชาวต่างชาติคนหนึ่ง ที่ระบุตัวเองว่าเป็น “สก๊อตแลนยาร์ด” ที่ถูกส่งตัวมาจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อสืบเคสนี้เข้ามาสอบสวนเขาด้วย โดยนายตำรวจ “สก๊อตแลนยาร์ด” คนนี้ มีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้ซาเวียร์ สารภาพรับผิดว่าเขาโขมยข้อมูลภายในมาเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตและบอกว่านักข่าวแคลร์ปลอมแปลงข้อมูลที่เธอเผยแพร่ออกมา [2]
     
  2. แถมเพิ่มว่าระหว่างการถูกจัมกุมเขาไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว และถูกกดดันจนในที่สุดก็ยอมเซ็นรับสารภาพ และถูกตัดสินจำคุก 3 ปี ภายใต้คำสัญญาจากบุคลากรของเปโตรซาอุดิที่ว่าถึงรับสารภาพผิดแล้ว เขาจะไม่ติดจริงนานขนาดนั้น และบอกว่า “นี่เป็นทางออกเดียว” และจนถึงจุดหนึ่ง ก็บังคับให้ภรรยาของเขาดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นอัดเสียงการคุยกัน เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานที่จะเอามาล่อจับแคลร์ บราวน์อีกด้วย
     
  3. ตำรวจสก๊อตแลนยาร์ด (ปลอม) หรือนายพอล ฟินนิแกน สามารถเข้าเยี่ยมซาเวียร์ได้หลายครั้ง โดยไม่เคยปรากฎรายชื่อในเอกสารผู้เข้าเยี่ยม[3]
     
  4. ตำรวจไทย ชื่อนายไพฑูล จอยสาคู เข้าเยี่ยมซาเวียร์ โดยไม่ได้แจ้งว่าตัวเองเป็นตำรวจไทย แต่ในใบเข้าเยี่ยม ใช้ตำแหน่งว่า “เพื่อน”[4]
     
  5. ซาเวียร์ให้สัมภาษณ์ว่า ระหว่างติดคุกอยู่ในไทยทางการสวิสเซอร์แลนด์(ซึ่งเขาถือสัญชาติ) ต้องการที่จะทำเรื่องส่งตัวเขามารับโทษในสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งคำขอนี้เขาบอกว่าได้รับอนุญาต แต่แผนการนี้ก็ถูกเปลี่ยนแปลง เนื่องจากนาจิบ ราซัค เดินทางมาไทยอย่างไม่เป็นทางการ และแผนการเดินทางของเขาก็ถูกระงับทันที โดยทางการไทยภายหลังต้องการที่ส่งตัวเขาไปที่มาเลเซีย และทางการสวิสได้พยายามต่อสู้อย่างหนัก และป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น[5]

จากการอ่านข่าวและฟังคำสัมภาษณ์ของซาเวียร์หลายฉบับ ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ถึงไม่ต้องเป็นนักกฎหมายหรือทนายความ คนอ่านข่าวก็ต้องมีความรู้สึกว่าเขาถูกจับกุม สอบสวน และดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมในประเทศไทย

มันเป็นที่น่าสงสัยมากกว่า ในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจไทย อยู่ๆ จะมี “สก๊อตแลนยาร์ด” ดุ่มๆ เข้ามาร่วมอยู่ในกระบวนการได้อย่างไร?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภายหลังก็พิสูจน์ทราบได้ว่า ชายต่างชาติคนนี้ไม่ได้เป็น“สก๊อตแลนยาร์ด”แต่อย่างใด[6] 

กระบวนการสืบสวนแบบ “ไทยๆ ” ของเรานั้น มันมีช่องโหว่ให้คนเข้ามาแทรกแซงได้อย่างง่ายๆ แบบนั้นเลยหรือ?

กระบวนยุติธรรมไทย มีความโปร่งใสแค่ไหน?

และมีโอกาสที่ถ้าคนถูกกล่าวหา “บริสุทธิ์” ขึ้นมา มันมีขั้นตอนใดบ้าง ที่เอื้อต่อคนเหล่านี้?

จากการสืบค้นจากสื่อนานาชาติและจากคำสัมภาษณ์ของเหยื่อเอง ทำให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไทย “ถูกแทรกแซงได้” และไม่ใช่การแทรกแซงตามหลักสนธิสัญญาและข้อตกลงระหว่างประเทศที่เป็นที่ปฎิบัติ เช่นสัญชาติของผู้ต้องขัง หรือเหตุแห่งการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่งตัวไปรับโทษในประเทศบ้านเกิด แต่กลับเป็นพลังอำนาจทางการเงินและการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองชาวต่างชาติ ทุนใหญ่ หรือเจ้าชายชาวตะวันออกกลาง

ซาเวียร์เป็นชาวต่างชาติ มีเงินมีทองซื้อที่ดินที่เกาะสมุยได้ ลงทุนจะสร้างรีสอร์ท ดังนั้นนับประสาอะไรกับคนเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ก็คงต้องรับกรรม “ยอมสารภาพ” ง่ายๆ ไปตามระเบียบ บุญกรรมความหนักของโทษก็คงต้องแล้วแต่คนอื่นตัดสินไป ภายใต้ประเทศที่ก็ยังมีโทษประหารแห่งนี้

นี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และส่อให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไทยแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั้นไร้ซึ่งอนาคต

ในประเทศที่เราหวังไม่ได้ว่าจะมีขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งที่จะมากลั่นกรองทั้งท้วงความยุติธรรมที่ผิดปกติ มันไม่มีขั้นตอนใดที่เราจะนำมาตรวจสอบ ทักท้วงเรียกร้องหาความยุติธรรมได้เลย ในเมื่อเราไม่เคยสามารถที่จะตั้งคำถามได้ว่า

การจับกุมนั้นเป็นไปอย่างชอบธรรมหรือไม่

การสืบสวนสอบสวนนั้นทำไปโดยสุจริตมั้ย

วิธีพิจารณาถูกใช้อย่างไร

และคำตัดสินที่วิจารณ์ก็ไม่ได้นั้นสมเหตุสมผลรึเปล่า

พูดแบบแฟร์ๆ กับรัฐบาล ถ้าใครสงสัยว่ามีใครออกมาตอบโต้กรณีนี้หรือไม่ ท่านสามารถอ่านได้ที่ นี่นี่และที่นี่

ที่ตลกก็คือ ไม่มีใครเลยที่ตอบเราตรงๆ ว่า ทำไม ถึงมีคนอื่นเข้าไปเยี่ยมนายซาเวียร์ได้ ไม่มีใครให้ความกระจ่างได้ว่าที่ตำรวจแถลงข่าวเกี่ยวกับการที่ทางการสหราชอาณาจักรมามีส่วนร่วมในการสืบสวน(ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง) มีเรื่องราวที่มาเป็นอย่างไร

ไม่มีใครตอบอะไรตรงๆ ทุกคนแถลงข่าวและอธิบายข้อเท็จจริงได้เพียงกรณีช่วงเวลาในการรับโทษของซาเวียร์เท่านั้น

แต่เรื่องอื่นที่เป็นกรณีสงสัย เป็นข้อครหา และถูกอ้างขึ้นในการดำเนินคดีในศาลประเทศอื่น และตีพิมพ์เป็นข่าวทั่วโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีคำตอบ

ถ้าเรามองว่ารัฐบาลนี้มีหน้าที่ต่อคนไทย ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์

การให้คำตอบกับประชาชนแบบนี้ก็เหมือนกับตบหน้าเรา เพราะมันคือตอบคำถามลอยๆ แบบไม่ได้ลงสาระที่สำคัญที่เป็นเรื่องที่พวกเราอยากรู้จริงๆ (ซึ่งที่จริงแล้วถ้าถือแบบนี้ก็เหมือนเราโดนตบหน้าอยู่ทุกวัน เพราะก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลจะเคยตอบหรือแถลงอะไรตรงๆ ทุกครั้งมีประเด็นอื้อฉาว)

“ผมควบคุมการเข้าเยี่ยมซาเวียร์ได้หมดแหละ ยกเว้นแค่การเข้าเยี่ยมของทนาย”

นี่คือคำพูดของทางฝ่ายตรงข้าม ที่พูดกับภรรยาของซาเวียร์ ในระหว่างที่เขาถูกจับกุมคุมขัง[7]

ในฐานะทนายความ ผู้เขียนเข้าใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

เข้าใจว่า เหนือกฎหมาย ยังมีรถถัง

เข้าใจว่า เหนือความยุติธรรม ยังมีอำนาจมืด

และเข้าใจว่า เหนือกระบวนการยุติธรรมไทย ยังมี “มือที่มองไม่เห็น”

ผู้เขียนไม่อยากจะโทษตำรวจไทย และไม่อยากจะให้คิดว่านี่คือความชั่วร้ายที่เกิดจากความเลวในจิตใจของตำรวจ และเป็นหน้าที่ที่ตำรวจไทยต้องรับผิดชอบแต่เพียงอย่างเดียว ไม่อยากจะให้เราติดอยู่ในวาทกรรมที่คิดแค่ว่าตำรวจมันเหี้ย มันเลว เพราะในประเทศที่สังคมไม่มีความเชื่อมั่นว่าระบบความยุติธรรมมันน่าเชื่อถือ มีความศักดิ์สิทธิ์และจะปกป้องเราเมื่อเราพูดความจริงและทำสิ่งที่ถูกต้อง ใครๆ ก็ต้องตัวใครตัวมัน

ถ้าเรามองจริงๆ ที่ก็คือการคุยกันในระดับของคนเบื้องบน ผู้นำประเทศ อีลีทระดับนานาชาติ และพลังเงินใหญ่

ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนไทย สังคมไทย ตำรวจ ศาล อะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่ของเหล่านี้มันอยู่เหนือเรา และเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้น มันกลับกลายมาเป็นเรื่องที่คนเล็กคนน้อยต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ตำรวจไทยต้องรับหน้า กลายเป็นเพื่อผลประโยชน์ของคนเหล่านี้ เป็นตำรวจไทยและสังคมไทยที่จะต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง โดนครหา ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็อาจจะถูกบีบให้ต้องทำไปตามนั้นก็ได้

ในฐานะคนไทย พวกเรารับกรรมหลายอย่าง

ตำรวจรับกรรม เพราะที่จริงก็ทำอะไรไม่ได้ เงินก็น้อย สวัสดิการก็ไม่ดี งานก็เยอะ นายก็สั่ง

ฝรั่งก็รับกรรม เพราะระบบและกระบวนการที่หละหลวมและ “สั่งได้” ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่นอกจากจะฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว ทุกคนที่เข้าเยี่ยมยังไม่ใช่มิตร  แต่เป็นศัตรูที่มานั่งเล่นเกมจิตวิทยาบีบให้เขารับสารภาพในสิ่งที่ไม่ได้ทำ

คนไทยก็รับกรรม เพราะที่จริงแล้วนี่มันแปลว่าถ้าวันใดวันหนึ่ง เราคือเหยื่อที่ต้องการความยุติธรรม

เมื่อไม่มีเงิน ไม่มีพลังอำนาจมืด ไม่มีกระแสความเชื่อหลักอยู่ข้างเรา

เราก็คงจะต้องถูกขังลืมตายคาคุก ถูกซ้อมโดยไม่มีใครจับผู้ร้ายได้ ถูกยัดคดีแล้วไม่ให้ประกันตัว หรือถูกบีบจนต้องยอมสารภาพทั้งที่ไม่ได้ทำ

ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่า ความเลวร้ายของ 1MDB ในฐานะที่เป็นคนไทย คือข้อเท็จจริงที่ว่าในฐานะประชาชนที่เสียภาษี และเสียเงินให้รัฐบาลเอาไปใช้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราได้ระบบความยุติธรรมที่เหมือนเป็นเครื่องปาหี่ให้ผู้มีอำนาจรัฐบาล นำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของตัวเอง และไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมที่มีไว้เพื่อจะอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชน

มันคือกระบวนการยุติธรรมของเขา ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมของทุกคน

และไม่ได้ถูกนำมาใช้ เพื่อปกปักรักษาพวกเราประชาชนเลย

และนี่แหละคือความ_______ของระบบความยุติธรรมแบบไทยๆ ที่ไม่ว่าจะมองยังไง ทั้งตำรวจ ทั้งเรา ทั้งฝรั่ง ทั้งสังคม ก็เป็นได้แค่เหยื่ออยู่ดี

 

อ้างอิง 

[1]รายละเอียดทั้งหมดสามารถอ่านได้ที่ https://www.theguardian.com/world/2016/jul/28/1mdb-inside-story-worlds-biggest-financial-scandal-malaysia

[2]ในส่วนของรายละเอียดเรื่องเงิน ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sarawakreport.org/2019/11/over-to-the-swiss-on-1mdb-time-to-bang-up-obaid-co/

[3]ที่รายงานจาก Al Jazeera ที่มีการเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2019 ดูวิดิโอต้นฉบับได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=FeIDiYbQaHsอัพโหลดเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2019

[4]ปรากฏตามคำแถลงของช่อ พรรณิการ์ พร้อมหลักฐานประกอบที่เป็นเอกสารที่ใช้ในขั้นตอนศาลของทางการสวิส 23 ก.พ. 2563 เข้าชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ZmHz9xviUGg

[5]ปรากฏตามคำแถลงของช่อ พรรณิการ์ พร้อมหลักฐานประกอบที่เป็นเอกสารที่ใช้ในขั้นตอนศาลของทางการสวิส 23 ก.พ. 2563 เข้าชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ZmHz9xviUGg

[8]เอกสารปรากฎตามคำแถลงของช่อ พรรณิการ์ พร้อมเอกสารแสดงประกอบ เข้าถึงได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ZmHz9xviUGg  นาทีที่ 47

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ยุบสภา / ประชามติ / แก้รัฐธรรมนูญ

$
0
0

ผมพยายามร่างข้อเสนอ Roadmap ทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมที่สุดในการออกจากวิกฤติทางการเมือง ซึ่ง Roadmap นี้พยายามให้สอดคล้องไปกับข้อเสนอของทางกลุ่มนักศึกษาและภาคประชาชน

เนื่องด้วยสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ท่านคงมองเห็นแล้วว่า รัฐบาลคสช.2 หรือ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์-2 ท่ามกลางกระแสคลื่นการประท้วงของนักศึกษา ก็คงเหมือนเรือเหล็กบุโรทั่ง ท่ามกลางคลื่นสูงที่มีโอกาสจะกลายเป็นคลื่นสึนามิซัดเรือเหล็กที่รอวันล่ม

แต่คำถามสำคัญคือ คลื่นลมของความไม่พอใจในสังคมกำลังบอกอะไร หากมองผิวเผินก็จะเข้าใจว่า พวกเขาออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่หากมองให้ลึกๆ พวกเขาไม่ได้มาปกป้องอนาคตใหม่ แต่ปกป้องอนาคตของตัวเอง

การยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความไม่พอใจและความอยุติธรรมที่เกิดทับซ้อนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไล่ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง เราเห็นภาวะ #สองมาตรฐาน ระหว่างพรรคการเมืองหนุนคสช. และพรรคการเมืองที่ไม่หนุนคสช. เราเห็นความได้เปรียบทางการเมือง เช่น การใช้มาตรา 44 แก้กฎหมายเลือกตั้ง ใช้สถานะรัฐบาลพิเศษอัดฉีดเม็ดเงิน โยกย้ายข้าราชการก่อนการเลือกตั้ง ใช้กองทัพเป็นช่องทางข่มขู่และรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เดินหน้าใช้ยุทธการพลังดูดดึง ส.ส. แลกผลประโยชน์ รวมถึงยุบพรรคการเมืองต้านคสช. พรรคสำคัญไปหนึ่งพรรคก่อนการเลือกตั้ง

หลังการเลือกตั้ง ประชาชนต้องแบกรับความไม่พอใจอีกครั้ง เมื่อต้องเจอกับการจัดการเลือกที่ต้องจารึกว่า ‘ห่วยแตก’ เป็นครั้งประวัติศาสตร์ เราเห็นการจัดการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ตั้งแต่การติดชื่อคนกับพรรคผิดบ้าง มีชื่อคนตายยังปรากฎเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งบ้าง คนต้องต่อแถวเลือกตั้งจนถอดใจบ้าง เอาบัตรเลือกตั้งมานับไม่ทันบ้าง นับคะแนนผิดบ้าง คะแนนขึ้นๆ ลงๆ บ้าง หยุดนับคะแนนกลางคันบ้าง หรือการบัญญัติศัพท์ใหม่อย่าง ‘บัตรเขย่ง’

พอเลือกตั้งเสร็จ เราต้องเจอปัญหาประสาทแดกครั้งใหญ่ เพราะ กกต. ไม่แน่ใจว่า เราต้องใช้สูตรคำนวณที่นั่ง ส.ส. แบบไหน และปัญหาคือ สูตรที่ กกต. ใช้ คือสูตรที่ทำให้มีพรรคการเมืองในสภาถึง 26 พรรค มากเป็นประวัติการณ์ แถมยังมี ส.ส.เอื้ออาทร ที่ได้เข้าสภา ไปเบียดบังที่นั่งพรรคอื่นๆ แม้ว่าพรรคเหล่านั้นจะได้คะแนนจากทั่วประเทศต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ควรจะได้ ส.ส. 1 คน และยิ่งไปกว่านั้น บรรดา ส.ส. เอื้ออาทร ล้วนเป็นพรรคที่ดูจะหนุนคสช. อีกต่างหาก

จนสุดท้ายด้วยระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวสุดพิสดารเราก็ได้สภาที่ไม่มีพรรคไหนครองเสียงข้างมากเด็ดขาด ส่อเค้าแววรัฐบาลผสมหลายพรรค ซึ่งแน่นอนว่า เสถียรภาพของรัฐบาลย่อมอ่อนแอ

แต่จุดพีคทางการเมืองคือ วันที่ต้องลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะไม่ได้มีแต่ผู้แทนประชาชน 500 คน แต่มี ส.ว. 250 คน ที่มาจากการคัดเลือกโดยคสช. มาร่วมโหวต ซึ่งพรรคที่จะจัดตั้งรัฐบาลต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรืออย่างน้อยก็ 376 เสียง แต่ตอนนั้นเสียงของพรรคที่หนักแน่นในการต้านคสช. มีไม่ถึง 250 เสียง ต้องอาศัยพรรคแทงกั๊กเกือบทุกพรรคมาหนุน แต่สุดท้ายพรรคแทงกั๊กทุกพรรค ไม่เว้นแม้แต่พรรคไม่หนุนคสช. อย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยก็ยอมกลืนน้ำลายตัวเองเพราะสู้ระบบที่ออกมาเพื่อพวกเขา (คสช.) ไม่ไหว

แต่ทว่า เมื่อคสช. กลับเข้าสู่อำนาจได้อีกครั้งผ่านพรรคแนวร่วม แต่การตั้งรัฐบาลก็ไม่ง่าย เมื่อพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพลังประชารัฐไม่สามารถครองเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภา ทำให้ต้องแบ่งโควต้ามหาศาลให้พรรคร่วมรัฐบาล ควบคู่ไปกับการสาดโคลนกันเองของพรรคร่วมรัฐบาล จนการตั้งรัฐบาล ตั้งครม. ล่าช้าไปหลายเดือนและกระทบต่อการพิจารณากฎหมายงบประมาณในท้ายที่สุด และที่แย่กว่านั้นคือ มีผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีมลทิลร้ายแรงหลายคนเข้าร่วมเป็นรัฐมนตรี

เมื่อมีการเปิดประชุมสภา ทุกอย่างก็ขับเคลื่อนไปด้วยความล่าช้า ด้วยสภาวะเสียงปริ่มน้ำในสภา และในขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหวยุบพรรคการเมืองปฏิปักษ์คสช. ไม่มีหยุดหย่อน ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนคสช. ทำอะไรก็ไม่ผิด ตอกย้ำภาวะ สองมาตรฐาน ยกตัวอย่าง การจัดโต๊ะจีนที่มีบริษัทที่ได้สัมปทานจากรัฐใช้บริษัทลูกที่มีผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน มาบริจาคพร้อมกันหลายสิบล้าน ถูกมองว่าไม่ผิด แต่พรรคที่กู้เงินอย่างโปร่งใสเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมากับผิดมหันต์ถึงขั้นยุบพรรค

แต่ที่แย่กว่า คือ มีความพยายามซื้อตัว ส.ส. เกิด “สภาดงงูเห่า” มีการย้ายขั้วบิดเบือนเสียงประชาชนอย่างเด่นชัดและมากครั้งจนนับข่าวแถมไม่ถ้วน โดยเฉพาะหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ มีการซื้อเก้าอี้ ส.ส. ไปต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี และด้วยระบบการเมืองแบบนี้ การซื้อเสียงในคูหาอาจไม่สำคัญเท่ากับซื้อเสียงในสภา เป็นยุคตกต่ำทางศีลธรรมและประชาธิปไตย โดยที่องค์กรอิสระที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบก็นิ่งเฉย ไม่ร้อนแรงเหมือนเมื่อครั้งยุบพรรค

ด้วยความอยุติธรรมที่สั่งสมมานานพอสมควร ทำให้ประชาชนและนักศึกษาเริ่มเห็นแล้วว่า ประเทศไทยกำลังป่วย และรัฐบาลกำลังเป็นโรคหวงอำนาจ ดังนั้นการถอนพิษร้ายให้สังคมไทย จึงมีเพียงประการเดียวนั่นคือ การแก้รัฐธรรมนูญ

แต่การแก้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ไม่ง่ายอีก เพราะบางเรื่องต้องไปทำประชามติก่อน และการเห็นชอบ ต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ต่อให้ใช้เสียงหมดสภาผู้แทนราษฏรก็ตาม ถ้าไม่มี ส.ว. ก็แก้ไม่ได้

ดังนั้นเพื่อให้การแก้รัฐธรรมนูญเดินหน้าไปได้อย่างชอบธรรมกับทุกฝ่าย ผมจึงขอเสนอบันไดสามขั้นกลับสู่ประชาธิปไตยและสันติสุข ได้แก่ “ยุบสภา-ประชามติ-แก้รัฐธรรมนูญ”

ขั้นที่ 1 ยุบสภา

ให้รัฐบาลคสช. 2 หรือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2 ยุบสภาโดยเร็วที่สุด โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 103 และให้ กกต. จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ไม่เกิน 60 วัน นับตั้งแต่มี พ.ร.ฎ.ยุบสภา โดยเหตุผลในการยุบสภส ให้ระบุว่า สถานการณ์ในประเทศกำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระรอกใหม่ที่มีโอกาสจะบานปลาย และรัฐบาลไม่ได้นับการสนับสนุนเพียงพอจากสภาในการเป็นผู้แก้ไขความขัดแย้ง และเพื่อพาประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย ให้ประเทศปกตรองโดยหลักนิติรัฐ ให้การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความราบรื่นและความโปร่งใส พ้นจากข้อครหาทั้งปวง จึงเห็นสมควรให้มีการยุบสภาเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจในอนาคตว่าต้องการรัฐบาลและนโยบายแบบไหน

ขั้นที่ 2 ประชามติ

เมื่อจัดการเลือกตั้งเสร็จ จะใช้เวลาในประกาศผลและการจัดตั้งรัฐบาลไม่เกิน 60 วัน และขอให้รัฐบาลแถลงต่อสภาว่านโยบายเร่งด่วนคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ แนวทางเป็นไปสองรูปแบบ

แบบแรกคือ สภาผู้แทนราษฏรเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน

แต่หากยังไม่รับการสนับสนุนจาก ส.ว. แต่งตั้ง ให้ดำเนินการแบบที่สอง คือ จัดให้มีการออกเสียงประชามติก่อน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ที่คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

โดยมีคำถามประชามติว่า

“ท่านเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่”

โดยการจัดออกเสียงประชามติควรจะอยู่ในกรอบ 60 วัน จากนั้นให้รัฐสภาดำเนินการตามผลประชามติภายใน 30 วัน ในกรณีที่ประชาชนเห็นด้วย ให้ดำเนินการแก้ไขวิธีการแก้รัฐธรรมนูญ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ภายใน 90 วัน และกำหนดกรอบการทำงาน สภาร่างรัฐธรรมนูญ สัก 240 วัน

หมายเหตุ:ในชั้นนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะยังมีเงื่อนไข ส.ว.แต่งตั้ง 1 ใน 3 ร่วมโหวต และมีโอกาสที่จะถูกศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาวินิจฉัย รวมถึงต้องประชามติซ้ำอีกครั้งก็เป็นได้

ขั้นที่ 3 แก้รัฐธรรมนูญ-ร่างใหม่ทั้งฉบับ

ขั้นสุดท้ายเป็นขั้นที่สำคัญเกือบที่สุด นี่คือ การสร้างสัญญาประชาคมใหม่ ในสังคมไทย ซึ่งต้องการการเปิดพื้นที่ เปิดใจ เคารพความคิดเห็น เคารพเสียงข้างมาก และสร้างหลักประกันให้เสียงข้างน้อย เราควรใช้โอกาสนี้มองหากติกาในการอยู่ร่วมกัน สร้างการเมืองสร้างสรรค์ การเมืองก้าวหน้า ระบบตรวจสอบเข้มแข็ง ผ่านการใช้ผู้แทนที่เป็น สสร. สร้างการมีส่วนร่วม สร้างการรับรู้ของประชาชนในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญ

หากนับจากเวลาที่ผมประเมินไว้ตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง เราจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง ซึ่งผมว่า มันไม่ช้าเกินไปสำหรับสิ่งที่เราฝันและมีฐานความชอบธรรมทางประชาธิปไตยที่สูง และด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็สามารถทำในสิ่งที่ผมเสนอได้ทุกข้อ

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ประชาชนต้องไปแสดงพลังในคูหาเลือกตั้ง และพรรคการเมืองที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญต้องวางยุทธศาสตร์การลงเลือกตั้งใหม่ ให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยชนะถล่มทลาย เป็น Strategic Vote เพื่อฝ่ายประชาธิปไตยจริงๆ หากเราชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ชนะประชามติถล่มทลาย การใช้เสียง 84 คน 9 คน หรือแม้แต่ 1 คน ก็ไม่อาจเทียบเท่าเสียงประชาชนหลายสิบล้านที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง

 

ภาพประกอบ: โปสเตอร์จากหนังเรื่อง No หนังเกี่ยวกับการรณรงค์คว่ำรัฐธรรมนูญเผด็จการ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์มาปลุกฝัน และได้รับชัยชนะในที่สุด
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สธ.แนะนำเลี่ยงเดินทางไป 'ฝรั่งเศส-เยอรมนี'เผยพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย

$
0
0

สธ. แนะนำเลี่ยงเดินทางไป 'ฝรั่งเศส-เยอรมนี'เผยพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย ติดจากเพื่อนร่วมงานที่เป็นพนักงานขับรถ

 

สถานการณ์ในประเทศไทย โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (2 มี.ค. 2563) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/index.php

2 มี.ค.2563 ความคืบหน้าสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ล่าสุดวันนี้ สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) แถลงข่าวว่า ประเทศไทยพบผู้ป่วยืนยันโควิด-19 เพิ่ม 1 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 22 ปี ทำงานร่วมกับผู้ป่วยรายที่ 37 ที่เป็นพนักงานขับรถ จึงถือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจึงอยู่ในผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคอยู่แล้ว และมีผู้ป่วยหายดี กลับบ้านได้อีก 1 ราย เป็นคนไทยติดจากประทศญี่ปุ่น ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโควิด-19 รวม 43 ราย หายดีออกจากรพ.แล้ว 31 ราย และยังรักษาตัวในรพ.อีก 11 ราย เสียชีวิต 1 ราย 

นพ.สุขุม กล่าวอีกว่า กรมควบคุมโรคมีการเพิ่มประเทศที่แนะนำให้คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเพิ่มอีก 2 ประเทศ คือ ฝรั่งเศสและเยอรมนี รวมเป็น 8 ประเทศ คือ จีน (รวมมาเก๊า ฮ่องกง ไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อิหร่าน อิตาลี ฝรั่งเศสและเยอรมนี นอกจากนี้ คณะกรรมการวิชาการด้านโรคติดต่อได้มีการปรับเกณฑ์เฝ้าระวังผู้ป่วยโควิด-19เพิ่มเติม คือการป่วยที่เป็นกลุ่มก้อนของผู้ที่มีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ 5 คนขึ้นไป ในสถานที่เดียวกันและสัปดาห์เดียวกัน 

ขณะที่ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประชาชนที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยง 8 ประเทศ 3 เขตปกครองนั้น จะได้รับการคัดกรองที่สนามบินทุกราย หากมีไข้ จะต้องนำเข้าสู่การตรวจวินิจฉัยและรักษา หากไม่มีไข้ก้กลับบ้าน แต่จะต้องเฝ้าระวังตัวเองเป็นเวลา 14 วัน หลังเดินทางกลับ ถ้ามีอาการไข้ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น น้ำมูกไอ เสมหะ หายใจเร็ว หอบให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

(ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ เนชั่นทีวี และไทยรัฐออนไลน์)

 

กองทัพบกประกาศไม่อนุญาตให้ กำลังพลเดินทางหรือแวะผ่าน 11 ประเทศเสี่ยง COVID-19 ด้วย

 

สรุปสถานการณ์ จากประชาชาติธุรกิจออนไลน์

  • ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 11 ราย กลับบ้านแล้ว 31 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 43 ราย
  • ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 1 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 3,252 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 95 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 3,157 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,872 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,380 ราย
  • สถานการณ์ทั่วโลกใน 66 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 2 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 88,282 ราย เสียชีวิต 3,000 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 79,828 ราย เสียชีวิต 2,870 ราย

คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 และจะประกาศลงราชกิจจานุเบกษาต่อไป

สรุปใจความสำคัญจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

  • การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) เริ่มจากเมืองอู่ฮั่น ในประเทศจีน และต่อมาระบาดไปอีกหลายเมือง ปัจจุบันพบผู้ป่วยติดเชื้อในหลายประเทศ
  • ขณะนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ตามประกาศของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ระงับเที่ยวบินเข้าออกจากเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2563 และขยายเวลาถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 และเลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปพื้นที่ที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง
  • ภายใน 14 วัน หลังเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ที่มีการระบาด หากมีไข้ ร่วมกับอาการ ทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทางให้เจ้าหน้าที่ทราบ

 

ราชกิจจาฯประกาศโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย

เมื่อวันที่ 29 ก.พ.2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อ และอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 ลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 29 ก.พ.2563 โดยระบุให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID -19)) เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออันตราย โดยประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

นอกจากนี้ ในประกาศยังเพิ่มความใน (14) ระบุอาการโรคโควิด-19 มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และอาจถึงขั้นเสียชีวิต

รายการเชื้อโรคที่ประสงค์ควบคุมตามมาตรา  18 (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 ดู ที่นี่

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ฟังเรื่องจากเหยื่อ 'เรียกปรับทัศนคติ'เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในค่าย-เรือนจำทหาร

$
0
0

ฟังเรื่องเล่าจากเหยื่อการปรับทัศนคติของ คสช. ในงานเปิดตัวหนังสือเรื่องราวของพวกเขา แจงยิบตั้งแต่ก้าวแรกยันก้าวสุดท้ายในค่ายทหารที่มีทั้งลูกขู่ ลูกปลอบ บางรายก็โดนพาไปเที่ยวแบบปฏิเสธไม่ได้ ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงสารพัดหลังจากนั้น บ.ก. หนังสือสะท้อนว่าใครก็เป็นเป้าหมายฝ่ายความมั่นคงได้ เพียงแค่คิดต่าง

ตลอดเวลา 5 ปีภายใต้รัฐบาลทหารที่นำโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ "ปรับทัศนคติ"เป็นคำกว้างๆ ที่รัฐใช้กดปราบ ลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจ

เดิมที คสช. อาศัยกฎอัยการศึก ให้อำนาจทหารควบคุมตัวใครก็ได้เป็นเวลา 7 วันโดยไม่ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวไปปรากฏตัวต่อศาล ก่อนแปรสภาพเป็นคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 และ 13/2559 แม้ต่อมาจะมีการยกเลิกคำสั่ง คสช. หลายฉบับก่อนจะมีการเลือกตั้งในปี 2562 แต่อำนาจในการนำคนไปปรับทัศนคติก็ยังคงอยู่ เพียงแค่ไม่ถูกใช้งาน

ข้อมูลเมื่อปี 2562 จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า ตลอดช่วง 5 ปีที่รัฐบาล คสช. อยู่ในอำนาจ มีประชาชนถูกเรียกรายงานตัวและควบคุมตัวในค่ายทหารอย่างน้อย 929 คนในกระบวนการปรับทัศนคติ และอย่างน้อยอีก 572 คนที่ถูกข่มขู่ คุกคามและติดตาม ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงยอดน้ำแข็งทางสถิติที่สาธารณชนยังต้องการความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลเรือนเหล่านั้นเมื่ออยู่ในเงื้อมมือของทหาร

ความดำมืดในวันนั้น ถูกเปิดเผยในวันนี้ในรูปแบบตัวหนังสือ

เมื่อ 1 มี.ค. 2563 ที่ร้านบุ๊คโมบี้ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) จัดงานเปิดตัวหนังสือ "เมื่อฉันถูกเรียกปรับทัศนคติ: บันทึกความทรงจำของบุคคลที่ถูก คสช. เรียกเข้าค่าย"เป็นบทสัมภาษณ์ของประชาชน 15 คนที่ถูกเรียกเข้าค่ายปรับทัศนคติที่มีกลุ่มตัวอย่างกว้างเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง นักรณรงค์ด้านสิทธิ นักข่าว ไปจนถึงนักร้อง (เรียน) อย่างศรีสุวรรณ จรรยา

ซ้ายไปขวา: อานนท์ ชวาลาวัณย์ บุศรินทร์ แปแนะ วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์

บุศรินทร์ แปแนะหนึ่งในนักเขียนและคนที่สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่ปรากฏในหนังสือ ระบุว่า โจทย์ที่อยากหาคือประชาชนที่ถูกปรับทัศนคติแล้วนั้นผลคือถูกปรับได้หรือไม่ ปรับได้แค่ไหน คนที่ออกมาเคลื่อนไหวการเมืองนั้นถูกปรับทัศนคติแตกต่างจากคนที่เรียกร้องอื่นๆ เช่นสิ่งแวดล้อมหรือปากท้องแค่ไหน โจทย์เหล่านี้ก็เป็นกรอบในการวางตัวคนที่ไปหาเก็บข้อมูลอีกทีหนึ่ง อีกโจทย์ก็คือนาฏกรรมที่ทหารทำกับประชาชนก่อนนำตัวไปเข้าค่าย ไม่ว่าจะเป็นการไปหาที่บ้าน เอารถฮัมวี่ไปเฝ้าแถวบ้าน มีผลกระทบต่อสังคมรอบข้างอย่างไรบ้าง

บุศรินทร์กล่าวอีกว่า ใน 15 คนที่สัมภาษณ์ คิดว่าการปรับทัศนคติไม่มีทางปรับเปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาได้ เพียงแต่ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวและต่อสู้ชะงักลงเพราะกลัวเรื่องความไม่แน่นอน จะโดนดำเนินคดีเมื่อไหร่ก็ได้ การปรับทัศนคติมีผลกระทบทางสังคมและครอบครัว เช่นทำให้พ่อแม่เป็นห่วง ไม่อยากให้ลูกเผชิญความรุนแรงและความน่ากลัวแบบนั้น ทำให้บางคนที่ถูกปรับทัศนคติเลือกปรับแนวทางการแสดงออก แต่ 2-3 ปีหลัง พอสถานการณ์คลี่คลายลง การเคลื่อนไหวก็กลับมาใหม่และค่อยๆ เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ

วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์บรรณาธิการ กล่าวว่าหนังสือเล่มนี้อยากจะบันทึกประวัติศาสตร์ ให้ร้อยเรียงอยู่ในเล่มเดียวกัน ตัวละครมีความหลากหลายตั้งแต่คนเสื้อแดงถึงศรีสุวรรณ จรรยา สะท้อนว่าไม่ว่าใครก็มีสิทธิในการเข้าไปสู่คลองสายตาของฝ่ายความมั่นคงเพียงเพราะแค่คิดต่างกับเขา หนังสือเล่มนี้จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้คนเห็นโครงสร้างทางการเมืองอีกมิติหนึ่ง ทำให้เข้าใจโครงสร้างการเมืองและวิธีการจัดการกับประชาชนที่รัฐทำ ทำให้เราเข้าใจการถูกกระทำของประชาชนและวิธีคิดของทหาร

เรื่องเล่าหลังเรือนจำ (ทหาร) อะไร ยังไงเมื่อถูกปรับทัศนคติ-ถูกตำรวจบังคับเที่ยว

ซ้ายไปขวา: ชินวัตร จันทร์กระจ่าง เอกชัย หงส์กังวาน ยิ่งชีพ อัชฌานนท์

ชินวัตร จันทร์กระจ่างหรือ "แดน"เป็นหนึ่งในประชาชนอีกพันกว่าคนที่ถูกจับเข้าค่ายปรับทัศนคติ ชื่อของเขาถูกประกาศผ่านโทรทัศน์หลังรัฐประหาร 2557 สืบเนื่องจากการจัดและร่วมชุมนุมเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่พิจารณาคดีอย่างเท่าเทียม สืบเนื่องจากการที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรถูกไต่สวนกรณีนโยบายจำนำข้าว และจัดชุมนุมคัดค้านการรัฐประหาร 

ชินวัตรไม่ได้อยู่บ้านในวันที่ถูกประกาศเรียกตัว แต่ครอบครัวเล่าให้เขาฟังว่า มีทหารพร้อมอาวุธครบมือขับรถฮัมวี่ 6-7 คันมาล้อมที่บ้าน ทำให้อากังวลคนเครียด ต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นสมัย 6 ตุลาฯ 2519 จะเกิดขึ้นกับหลานตัวเอง 

ชินวัตรเล่าว่า เข้ารายงานตัวที่สโมสรกองทัพบกเทเวศร์ พอก้าวเข้าประตูสโมสรฯ ก็พบว่ามีทหารหญิงยืนถือปืน UZI คนละกระบอกมารับตัวเข้าหอประชุม พอเข้าไปก็มีโต๊ะหลายโต๊ะ มีคนที่ถูกเรียกเข้ามาในสโมสรฯ เช่นเดียวกันนั่งที่โต๊ะอื่น โดยชุดแรกที่เข้ามาพูดกับเขาคือแพทย์ทหาร มาสอบถามเหมือนเขาเป็นผู้ป่วยทางจิต จากนั้นมีทหารระดับนายพลเข้ามาคุยต่อ 

หลังจากพูดคุยเสร็จ ก็ถูกพาไปพูดคุยหนึ่งต่อหนึ่งกับทหารยศนายพลอีกคน นายพลคนนี้พูดจาดี มีการถามว่า เคยปราศรัยจาบจ้วงหมิ่นเหม่สถาบันกษัตริย์หรือไม่ จึงตอบไปว่าถ้าเปิดวิดีโอปราศรัยเจอก็ดำเนินคดีได้เลย นายทหารคนดังกล่าวยังถามว่าได้รับเงินของทักษิณ ชินวัตรมาเพื่อเคลื่อนไหวหรือไม่ ซึ่งก็ได้ปฏิเสธไป เมื่อสอบถามเสร็จนายทหารคนดังกล่าวก็พูดว่าให้ไปร่วมพัฒนาชาติไทยด้วยกัน จากนั้น เมื่อรอได้พักหนึ่งก็ถูกพาตัวไปขึ้นรถที่จอดรอเป็นขบวน

ในรถจะมีทหารถือปืนนั่งล้อม รถที่นั่งไปมีกับอดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทยอีกคนนั่งไปด้วย ผู้สมัครคนดังกล่าวถามตนว่าจะพาตัวไปที่ไหน ก็ตอบไปพลางน้ำตาไหลว่าไม่รู้จะพาไปไหนเหมือนกันและไม่กล้าถามทหาร 

พอเปิดประตูรถก็พบว่าอยู่ที่มณฑลทหารบก (มทบ.) ที่ 11 ถ.นครไชยศรี หน้าป้ายเขียนว่าเรือนจำ ในนั้นมีห้องซอยย่อย ผบ.เรือนจำก็ให้เลือกห้อง สุดท้ายได้ห้องริมสุดที่ยื่นออกไปโดนแดด ระหว่างที่เดินไปก็เจอ นพ.เหวง โตจิราการ ที่ถูกขังอยู่อีกห้อง เหวงตะโกนถามออกมาว่า พี่ธิดา (ถาวรเศรษฐ์) อยู่ไหน ก็ตอบไปว่าไม่รู้ หลังจากนั้นก็ถูกนำตัวไปขัง

พอเหยียบเข้าไปก็ร้องไห้โฮ แทบเข่าทรุดเพราะเกิดมาไม่เคยเจอ ห้องลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีทหารเวรเอาขัน ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เสื่อ หมอนเข้ามาให้ ทหารบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ให้ดูแลเป็นอย่างดี

อาหารนั้นถือว่าดี มีกุ้งเผา แต่วันแรกกินไม่ได้เพราะว่าเครียด ไม่เคยเจอสถานที่แบบนี้และคิดถึงบ้าน หมอเหวงที่ถูกขังอยู่ใกล้ๆ พยายามปลอบว่า ถ้าคิดจะเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ต้องโดนแบบหมอ หมอโดนแล้วโดนอีก เราต้องโดนอีก 2-3 ครั้งถึงจะชิน ประมาณว่าพยายามพูดให้ขำ แต่ตอนนั้นขำไม่ออกเพราะพะวง กระนั้น หมอเหวงก็ร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธาให้ฟังอยู่บ้างทำให้มีกำลังใจ

ทุกเช้าเวลา 8 นาฬิกา ทุกคนจะลุ้นว่าจะมีการประกาศชื่อให้กลับบ้านได้หรือไม่ หมอเหวงอยู่ได้ 3 คืนก็กลับไป จนวันที่ 4 พรศักดิ์ ศรีละมุล หรืออาจารย์หมู ไม่กลัวน้ำร้อน ก็ได้กลับ วันที่ 5 ก็เริ่มทยอยไปเรื่อยๆ จนเหลือตนคนเดียวทั้งเรือนจำ ผบ.คุกรู้สึกสงสาร เลยเอาไปนอนที่ป้อมทหารที่มีที่พักอยู่ในนั้น

ทุกๆ คืนที่ป้อมยาม นายทหารมีการให้ทหารชั้นผู้น้อยดูวิดีโอของ “โรส” ผู้ลี้ภัยที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ แล้วก็ด่าเหมือนตั้งใจด่าผ่านให้ได้ยิน จนถึงวันที่ 7 ครบกำหนดการคุมขังก็ถูกเรียกชื่อให้ออกจากค่าย มีรถมารับกลับไปส่งที่สโมสรกองทัพบกเทเวศร์ 

เมื่อถึงสโมสรกองทัพบกก็มีการปรับทัศนคติอีกครั้ง มีนายทหารมาสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง และยังกำชับว่าถ้ามีการประท้วงอีกก็อย่าออกมา คนพวกนั้นไม่ได้รักเราจริง ดูอย่างทักษิณสิ เขาอยู่กับเราที่ไหน ก็ไม่ได้เถียงและตอบแบบรับๆ ไป ก่อนกลับก็มีค่ารถกลับบ้านให้ และได้กลับบ้านในวันที่ 4 มิ.ย. โดยระหว่างคุมขังตลอด 7 วันนั้นไม่ได้มีการสอบถามและพูดคุยอะไรเพิ่มเติม 

ชินวัตรเล่าว่า ชีวิตหลังออกจากค่ายปรับทัศนคตินั้นย่ำแย่ เริ่มตั้งแต่วันแรกที่ออกมา เขาพบว่าตาของเขาล้มป่วย รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นานต่อมา การติดตามของทหารสร้างความหวาดกลัวแก่คนรอบตัว บ่อยครั้งเพื่อนบ้านสอบถามภรรยาเรื่อยๆ ว่าสามีทำความผิดอะไร เหตุใดถึงมีทหารมาติดตาม จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องแยกกันอยู่กับภรรยา 

มีบริษัทเอกชนที่ไม่รับเข้าทำงานเพราะประวัติการถูกเรียกเข้าค่ายปรับทัศนคติ เมื่อมาขายลูกชิ้นปิ้งก็ยังถูกทหารติดตามมาดูที่ร้านค้าทุกวัน แม้จะมาอุดหนุนซื้อลูกชิ้นแต่ก็ทำให้ลูกค้าที่เป็นประชาชนคนอื่นหวาดกลัว มีวันหนึ่งก็พูดกับทหารไปร้องไห้ไปว่า พี่จะเอาอะไรอีก พี่บอกไม่ให้ยุ่งการเมือง ผมก็ไม่ยุ่ง ฝากไปบอกนายว่าจะเอาอะไรอีก หลังจากนั้นทหารก็หายไปเลย

เอกชัย หงส์กังวานหนึ่งในนักเคลื่อนไหวเรื่องการเมืองที่มีชื่อปรากฏบนสื่อบ่อยเล่าว่า เริ่มเคลื่อนไหวในช่วง คสช. จริงๆ ในปี 2560 ช่วงหมุดคณะราษฎรถูกแทนที่ด้วยหมุดหน้าใส ตอนเดือน เม.ย. ได้โพสท์ว่าจะไปยื่นหนังสือให้ประยุทธ์หาเจ้าของหมุด ถ้าหาไม่ได้ก็ให้ถอนหมุดหน้าใสออก แต่หนึ่งวันก่อนถึงวันนัดหมายก็ถูกทหารมาหา บอกว่ายื่นหนังสือที่บ้านได้เลย ไม่ต้องไปหานายกฯ ซึ่งก็ไม่ยอมและดึงดันจะไปทำเนียบรัฐบาลตามนัด แต่เมื่อไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ดึงตัวใช้กำลังกดหัวจับเข้ารถเก๋ง ในรถก็ถูกนั่งประกบ มีคนบอกว่าจะพาไปดำเนินคดีที่ สน. ลาดพร้าว แต่ท้ายที่สุดก็มีคำสั่งให้คนขับรถเปลี่ยนจุดหมายที่ไปที่ มทบ. 11 

ที่ มทบ. 11 ก็ถูกพาไปตึกหลังหอประชุมเชาวลิต ยงใจยุทธ เป็นห้องกระจก แล้วเขาก็เปิดห้องๆ หนึ่ง ในนั้นเป็นห้องอาหาร และมีอีกห้องเล็กๆ ข้างในที่ถูกพาไปนั่งที่นั่น พอเข้าไปก็มีแพทย์ทหารพร้อมทหารอีกนายหนึ่งที่หิ้วอุปกรณ์แพทย์มา พอถึงก็ถามว่าได้รับบาดเจ็บไหม เขาก็จดตามที่อธิบาย 

สักพักบุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมายของ คสช. ก็เข้ามา มีทหารและตำรวจมาเพิ่มเพื่อสอบถาม บุรินทร์ไม่พูดอะไร มานั่งฟัง ทหารและตำรวจที่สอบถามก็ขู่ว่า "มึงโพสท์อย่างนี้มึงอยากโดนเหรอ มาตรา 112"ก็ตอบไปว่าที่โพสท์ไปมันไม่ผิด หลังจากนั้นก็ทำประวัติ เราก็ปฏิเสธว่าไม่มีความผิด เป็นการแสดงความเห็นธรรมดา เขาก็เน้นขู่ คนที่พูดเยอะคือตำรวจ จนตอนเย็นก็พากลับมาส่งถึงบ้าน

ครั้งที่สองหนักกว่าเดิม คือวันที่ 24 มิ.ย. ที่จะเอาหมุดคณะราษฎรจำลองไปโบกปูนทับหมุดหน้าใส แต่พอไปถึงก็มีตำรวจล้อมบริเวณเลย เขาก็พาหิ้วขึ้นรถตู้และพามา มทบ. 11 วันนั้นเป็นวันเสาร์ เปิดรถตู้มาก็เจอทหารระดับนายพันคนเดิมที่รอรับตั้งแต่รอบที่แล้ว แต่ครั้งนี้มีนายตำรวจจากภาคเหนือมาพร้อมตำรวจนอกเครื่องแบบ 4-5 นาย พูดจาไม่ดี พยายามข่มขู่ ขึ้นมึงกูตลอด ขู่ว่าจะดำเนินคดีบุกรุกพระราชฐาน แต่ก็แย้งว่าตรงนั้นเป็นถนน ถ้าเช่นนั้นรถที่ไปบริเวณนั้นก็โดนหมด ตำรวจก็เงียบไป ก่อนจะถูกปล่อยตัวกลับบ้านตอน 6 โมงเย็น โดยการไปค่ายครั้งนั้นถูกยึดหมุดด้วย ซึ่งไม่พอใจเพราะว่าหมุดไม่ใช่ของกลาง เขาไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะยึดไป ก็คิดว่าจะไปทวงคืน แต่วันต่อมาตำรวจก็โทร. มาบอกว่าจะเอาหมุดมาคืนที่บ้าน

พอตอนบ่ายตำรวจก็มาถึงพร้อมหมุด แต่ว่ามีรถตู้อีกคันที่มากับตำรวจด้วย ต่อมาจึงทราบว่าเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งมาพบ บอกว่าอยากคุยกันเรื่องทัศนคติเขาต่อสถาบันกษัตริย์ เนื่องจากนายตำรวจคนดังกล่าวพูดจาดีจึงเปิดประตูให้เข้าไปนั่งคุยในบ้าน พอเข้ามาก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจถือกล้องวิดีโอมาถ่ายทำด้วย พูดคุยกันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ก็บอกเขาไปว่าเรื่องกษัตริย์จะอยู่หรือไม่อยู่ไม่ค่อยสนใจ แต่ไม่เห็นด้วยกับการห้ามวิจารณ์ หลังจากคุยกันเสร็จตำรวจก็กลับไป

ครั้งที่สาม เกิดขึ้นเมื่อเดือน ต.ค. 2559 ตอนที่จะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9 ที่มีกระแสล่าแม่มดคนที่ไม่ใส่ชุดสีดำ ซึ่งก็ไม่พอใจมากเพราะว่ามันเป็นสิทธิของคนอื่นเขา เลยโพสท์ไปว่า 26 ต.ค. ที่จะมีการเผาศพ วันนั้นจะใส่เสื้อแดงและทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง วันต่อมาตำรวจและทหารก็มาถึงที่บ้าน พอเปิดประตูบ้านดูก็เจอทหารลากออกจากบ้านจนตัวเองล้มเป็นแผลที่ข้อศอก ก็พยายามจะบอกว่าถ้าจะพาไปก็ขอให้ได้ไปปิดประตูบ้านก่อน

คุยกับเอกชัย หงส์กังวาน หลังถูกทหารตำรวจจับตัวไปเที่ยว

จากนั้นมีตำรวจมาอีก 3-4 คน ซึ่งยังพอคุยด้วยเหตุด้วยผลได้มาพูดคุย สุดท้ายก็ได้นั่งคุยกันในบ้าน ตำรวจสอบถามและเกลี้ยกล่อมว่าไม่ใส่เสื้อแดงได้ไหม ก็ตอบไปว่าไม่ได้เพราะบอกคนอื่นไปหมดแล้ว หลังจากนั้นมีสายโทรศัพท์จากตำรวจนครบาลชั้นผู้ใหญ่ เสนอตัวเลือกว่าจะไปเที่ยว จ.กาญจนบุรีหรือไปอยู่ค่ายทหาร จึงตัดสินใจไปกาญจนบุรี และถามตำรวจไปว่าจะให้ไปคนเดียวเหรอ ตำรวจตอบมาว่าว่าให้ชวนเพื่อนไปด้วยได้ เลยโทรหาทนายอานนท์ นำภา ไม่ได้อยากให้ไปด้วยแต่อยากให้คนรู้ว่าจะโดนอุ้ม จากนั้นก็ถูกยึดมือถือไป 

เอกชัยเล่าต่อไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ จ.กาญจนบุรีว่า คืนแรกนอนที่รีสอร์ทกลางเมืองกาญจนบุรี ตำรวจให้เงินค่าใช้จ่ายมา 5 พัน ซึ่งก็เอามาจ่ายเลี้ยงตำรวจที่ไปด้วยกัน วันแรกพาไปเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อย เมื่อกลับจากน้ำตกก็อยากจะบอกโลกภายนอกว่าเกิดอะไรขึ้น จึงบอกตำรวจว่าขอไปซื้อของใช้ที่เซเว่น พออาศัยจังหวะหลุดการประกบจากตำรวจได้ก็ขอยืมโทรศัพท์ลูกค้าคนอื่น โทร. เล่าให้อานนท์ฟังเพื่อแจ้งเบาะแส 

พอมาถึงวันที่สอง ตำรวจบอกว่าจะพาไป อ.ทองผาภูมิ ในวันนั้นตัดสินใจใส่เสื้อสีแดงเที่ยวทำให้ตำรวจไม่พอใจมาก ตำรวจบอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนเสื้อก็ไม่พาเที่ยว ซึ่งก็ดึงดันไม่เปลี่ยน สุดท้ายเลยไม่ได้ไปไหน ใส่เสื้อสีแดงนอนอยู่ที่รีสอร์ท จากนั้นวันที่ 27 ตำรวจก็พาเที่ยวน้ำตกสักแห่ง เดิมทีตำรวจมีกำหนดจะพากลับกรุงเทพฯ เย็นวันที่ 26 แต่ท้ายที่สุดก็ได้กลับวันที่ 28 ถึง กทม. เกือบเที่ยง 

เมื่อกลับมา ตำรวจก็พาไปคุยกับ "หัวหน้า"ที่ร้านอาหารชื่อรถเสบียง อยู่ข้างทางรถไฟ เป็นร้านที่ตำรวจระดับสูงนิยมมากิน เมื่อเวลาเกือบเที่ยง ตำรวจที่เป็นหัวหน้าก็มา คนนี้พูดแย่มาก โต้เถียงกันสักพักก่อนจะถูกพากลับบ้าน 

เอกชัยเล่าว่า หลังจากถูกจับเข้าค่ายไปชีวิตก็เปลี่ยน มีคนมาด้อมๆ มองๆ แถวบ้าน ก็จำได้ว่าเป็นวินมอเตอร์ไซค์ที่เป็นสายให้กับตำรวจ บางครั้งคุยโทรศัพท์กับเพื่อน 2 คน ตำรวจก็ยังรู้ เลยคาดว่ามีการดักฟังเกิดขึ้น ต้องเปลี่ยนวิธีสื่อสารไปใช้แอปพลิเคชั่นที่สื่อสารแบบเข้ารหัส เพื่อนที่ไปมาหาสู่กันก็ถูกคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจติดต่อไปข่มขู่ว่าอย่ายุ่งกับเอกชัย มีเพื่อนที่ถูกทุบกระจกรถแต่ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร การเดินทางก็ต้องเปลี่ยนจากการขึ้นรถประจำทางเป็นการขับรถเพื่อป้องกันการถูกทำร้าย แต่ต่อมารถก็ถูกเผา ก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งแกร็บ

"ถ้าพูดถึงตามกฎหมายก็ไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่ผิด เราก็มั่นใจว่าตามกฎหมายเราไม่ผิด เขาทำอะไรไม่ได้เขาก็อุ้ม"เอกชัยพูดถึงสิ่งที่ได้รับเป็นการตอบแทนแบบไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ไทยพาณิชย์'ยันเป็นกลาง หลัง 'เหรียญทอง'ประกาศเลิกธุรกรรม เหตุ 'ป๋าเต็ด' เป็นพรีเซนเตอร์ แม้ชาวเน็ตจะแปะชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่

$
0
0

'ไทยพาณิชย์'ยันเป็นกลาง หลัง 'เหรียญทอง'ประกาศเลิกธุรกรรม เหตุ 'ป๋าเต็ด' เป็นพรีเซนเตอร์ แม้ชาวเน็ตให้ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ SCB พร้อมย้อนดูต้นทาง 'ป๋าเต็ด'แค่ประกาศรับสมัครผู้ช่วย ที่มีคุณสมบัติข้อหนึ่งคือ "ต้องไม่เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการ และดูถูกสติปัญญาของคนรุ่นใหม่ อันนี้สำคัญมาก"เท่านั้น

2 มี.ค.2563 จากกรณีที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อสอบถามว่า ป๋าเต็ด หรือ ยุทธนา บุญอ้อม เป็นพรีเซนเตอร์ของทางธนาคารหรือไม่ ถ้าใช่จะยกเลิกธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด พร้อมทั้งต้องการทราบคำตอบภายในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ขณะที่มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นว่า ธนาคารดังกล่าว มีพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ นั้น

โพสต์ของ เหรียญอง ปัจจุบันลบไปแล้ว url : https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=4207141789312162&id=100000491468200

ข้อมูลผู้ถือหุ้นที่มีผู้นำไปแปะในโพสต์ของเหรียญทอง

'ไทยพาณิชย์'ยันเป็นกลาง ป๋าเต็ด หมดสัญญาแล้ว

ต่อมา หลายสื่อรายงานตรงกันว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอชี้แจงระบุว่า ตามที่ปรากฏในข่าวอ้างถึงธนาคารไทยพาณิชย์ในทั้งสองฝั่งของขั้วการเมืองนั้น ธนาคารฯ ขอชี้แจงนโยบายของธนาคารว่า ธนาคารมีนโยบายยึดมั่นในการเป็นกลางทางการเมือง ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

ธนาคารชี้แจงอีกว่า รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้บุคคลสาธารณะในการโฆษณาถ้าบุคคลนั้นแสดงถึงความฝักใฝ่ทางการเมืองไม่ว่าข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อให้ธนาคารดำรงสถานะความเป็นกลางทางการเมืองในทุกกรณี

ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุต่อว่า สำหรับกรณีของ ยุทธนา บุญอ้อม นั้น ทางธนาคารได้ใช้ภาพคุณยุทธนาในการโฆษณาระยะสั้นเมื่อไตรมาสที่สี่ของปี 2562 และได้หมดสัญญาลงแล้ว

ขณะที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง ได้ลบโพสต์ที่จะยกเลิกธุรกรรมทางการเงินออกจากเฟสบุ๊คในเวลาต่อมา พร้อมกับโพสต์แจ้งว่า เลิกจ้าง ธนาคารไทยพาณิชย์ เลิกจ้าง ยุทธนา ตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ของปี 2562 แล้ว

ขณะที่เหตุของเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา ยุทธนา เพียงประกาศรับสมัครผู้ช่วยของตน โดยมีคุณสมบัติข้อหนึ่งคือ "ต้องไม่เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการ และดูถูกสติปัญญาของคนรุ่นใหม่ อันนี้สำคัญมาก"เท่านั้น

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ราชภัฏยะลา-อยุธยา-นครสวรรค์-เชียงใหม่ไล่เผด็จการ 'สวนนนท์'เสียใจต้องงดกิจกรรม

$
0
0

นักศึกษาราชภัฏหนุนประชาธิปไตยทั่วไทย ราชภัฏเชียงใหม่จัดแอโรบิก 'ไล่(ไข)มัน'ราชภัฏยะลาประกาศอยู่เคียงข้างประชาชน ด้านราชภัฏนครสวรรค์จัดกิจกรรมต่อต้านเผด็จการ แต่ประชาชนไม่กล้าเข้าร่วม เหตุ จนท. ตั้งโต๊ะให้กรอกชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน และชื่อสถานศึกษา อ้างเพื่อตรวจไวรัส covid-19  ขณะที่นักเรียนเพจ SUANNON DEBATE แถลงเสียใจหลังไม่สามารถจัดกิจกรรมที่สวนกุหลาบนนทบุรี

SUANNON DEBATE แถลงเสียใจหลังไม่สามารถจัดกิจกรรมที่สวนนนท์ได้

2 มี.ค. 63 ตามที่เพจ SUANNON DEBATE ของกลุ่มนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบนนทบุรี เปิดเผยว่าต้องยกเลิกจัดแฟลชม็อบตามกำหนด 17.00 น. วันนี้ หลังไปถอนการแจ้งชุมนุมตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ เพราะเกรงขัดต่อ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มาตรา 8 ว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะต้องไม่กีดขวางทางเข้าออกของสถานที่ทำการหน่วยงานของรัฐ และก่อนหน้านี้การขอใช้พื้นที่ภายในโรงเรียนจัดกิจกรรมก็ขัดต่อนโยบายของโรงเรียนเช่นเดียวกัน

ล่าสุดเมื่อเวลา 18.27 น. วันนี้ (2 มี.ค.) เพจ SUANNON DEBATEได้โพสต์ภาพนักเรียน 2 คนถือพวงหรีดมีข้อความ "ด้วยรักและอาลัย SUANNON DEBATE"เพื่อแสดงออกหลังไม่สามารถจัดกิจกรรมได้ พร้อมออกแถลงการณ์ชี้แจงดังนี้

"เราจัดกิจกรรม Flash Mob #เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ด้วยความเชื่อว่าเราทุกคนล้วนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยไม่มีข้อจำกัดทางเชื้อชาติ เพศ อายุ อาชีพ ฯลฯ ทุกความคิดเห็นล้วนมีคุณค่าและจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้อนาคตของพวกเราสว่างไสว

คณะผู้จัดกราบขออภัยผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกท่าน เราเสียใจที่ไม่สามารถจัดกิจกรรมนี้ให้สำเร็จได้ เราขอแสดงความจริงใจว่าพวกเราได้ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว

เราดำเนินงานโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์หรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง การที่ผู้มีอำนาจอ้างว่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ไม่มีนโยบายให้นักเรียนรวมกลุ่มกันในการแสดงออกเกี่ยวกับการเมืองในสถานศึกษา ทำให้การจัดกิจกรรมต้องถูกย้ายมาจัด ณ บริเวณด้านหน้าทางเข้าของโรงเรียน เมื่อเราแจ้งการชุมนุมตามพรบ.การชุมนุมสาธารณะ การแจ้งชุมนุมของเราก็ขัดต่อพรบ.การชุมนุมสาธารณะ มาตรา 8 ว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะต้องไม่กีดขวางทางเข้าออกสถานที่ทำการหน่วยงานของรัฐ เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องถอนการแจ้งชุมนุมและยกเลิกกิจกรรมดังกล่าว เรายืนยันว่าว่าเราเคารพกฎหมาย เราเคารพนโยบายของโรงเรียน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้ร่วมอุดมการณ์และผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถูกคุกคามจากผู้ประสงค์ร้ายและมีความพยายามที่จะขัดขวางไม่ให้กิจกรรมนี้เกิดขึ้น คณะผู้จัดจะดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลเหล่านั้น เพื่อปกป้องผู้ร่วมอุดมการณ์และผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

เราขอขอบคุณทุกคนที่ยังไม่ทอดทิ้งกัน ขอบคุณทุกคนที่คอยมอบกำลังใจให้พวกเรา ขอบคุณทุกคนที่คอยให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ขอบคุณทุกคนที่ยังเชื่อมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย

"ความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น อุดมการณ์ประชาธิปไตยจะยังคงอยู่ และสักวันหนึ่ง อำนาจเผด็จการจะต้องล่มสลาย"

#PrayForSKN"

แฟลชม็อบนักเรียนตรัง-นิสิตพิษณุโลกขอร่วมปิดฉากอำนาจนิยม, 1 มี.ค. 63

ราชภัฏเชียงใหม่แอโรบิกไล่เผด็จการ

ที่มา: Facebook Live/ชมรมประชาธิปไตย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เวลา 17.00 น. กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่จัดกิจกรรม "เคลื่อนไหวไล่เผด็จการ"ที่ลานกิจกรรมอาคาร 90 ปี แต่งชุดดำเต้นแอโรบิก 'ไล่(ไข)มัน'และกิจกรรมต่างๆ มีการใช้แฮชแท็กสื่อสารในโซเชียลมีเดียว่า #มอเวียงบัวไม่กลัวสลิ่ม #จัดจ้านย่านข่วงสิงห์ พร้อมร้องเพลง "เพื่อมวลชน"ส่งท้ายกิจกรรม (ชมคลิป)

ราชภัฏอยุธยาถาม "ใครฆ่าประชาธิปไตย"

ส่วนที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เวลา 16.00 น. ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา สนามหน้า อาคาร 2 นักศึกษาจัดชุมนุมแฟลชม็อบ "ใครฆ่าประชาธิปไตย"ใช้แฮชแท็กสื่อสารว่า #ราชภัฏอยากงัดกับสลิ่ม โดยนักศึกษาร่วมกันเขียนป้ายข้อความแสดงออกทางการเมือง และผลัดกันปราศรัยแสดงความคิดเห็นต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล นักศึกษายังร่วมกันตะโกนคำขวัญ "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาดูแลสถานการณ์

โดยก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 มี.ค. มีการจัดเสวนาวิชาการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยาโดยกลุ่ม "คณาจารย์พิทักษ์ประชาธิปไตย"เพื่อสนับสนุนสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของนักศึกษาและประชาชน สืบสานเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีพื้นเพเป็นชาวอยุธยา

จนท.จดชื่อ-เลขบัตร ปชช. คนร่วมกิจกรรมที่ มรภ.นครสวรรค์ อ้างตรวจไวรัส covid-19

ที่ จ.นครสวรรค์ แนวร่วมนิสิต มรภ.นว.เพื่อประชาธิปไตย จัดกิจกรรมต่อต้านเผด็จการ ที่ลานหน้าหอวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ กิจกรรมเริ่มเวลา 17.00 น. อย่างไรก็ตามมติชนออนไลน์รายงานว่า นักศึกษาและประชาชนจำนวนมากไม่กล้าเข้างาน เพราะเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะให้กรอกชื่อ-นามสกุล เลขที่บัตรประชาชน และชื่อสถานศึกษา อ้างว่าตรวจเชื้อไวรัส covid-19

นักศึกษา มรภ.ยะลา ประกาศอยู่เคียงข้างประชาชน ไม่เอาเผด็จการ

ที่มา: Facebook Live/The Reporter

เมื่อเวลา 17.30 น. ที่บริเวณลาดเขาควาย หน้าหอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อ.เมือง จ.ยะลา นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 200 คน ชุมนุมแสดงจุดยืนภายใต้แฮชแท็ก  #มรย_ขออยู่เคียงข้างประชาชน และ #มรย_ไม่เอาเผด็จการ มีตัวแทนนักศึกษากล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว แต่กลับมีความไม่ชอบมาพากล โดยวันนี้เขาขอแสดงจุดอื่นในฐานะคนรักประชาธิปไตยคนหนึ่ง พร้อมกันนี้เขายังกล่าวคำขวัญด้วยว่า "ประเทศไทย ประชาธิปไตยจงบังเกิด"

นักศึกษาที่ จ.ยะลา ยังร่วมกันแสดงความคิดเห็น เขียนข้อความต่างๆ ในการปราศรัยมีการวิจารณ์เนื้อหารัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีการอภิปรายเรื่องตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่ประชาชนไม่เห็นด้วย การที่รัฐบาลนำพื้นที่สีเขียวไปสร้างโรงงาน ฯลฯ พร้อมแสดงสัญลักษณ์ชู 3 นิ้วเพื่อสนับสนุนประชาธิปไตย และร้องเพลง "บทเพลงของสามัญชน" และร้องเพลงภาษามลายู "March Mahasiswa"พร้อมกันนี้เปิดไฟฉายจากมือถือเพื่อแสดงสัญลักษณ์ก่อนยุติกิจกรรรมในเวลาประมาณ 18.30 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลา ดูแลความสงบ

ในรายงานของ The Reporterเผยแพร่แถลงการณ์ที่ มูหามะฮาซัน เจ๊ะอารง ตัวแทนนักศึกษา มรภ.ยะลาได้อ่านคำแถลงการณ์มีใจความสำคัญว่า

“แถลงการณ์นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา เรื่อง นักศึกษามหาวิทยาลัยราชกัฏยะลายึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตย นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มีความเชื่อในหลักการประชาธิปไตย สิทธิเสรีกาพ และ ความเสมอภาคเป็นสำคัญ การยึดอำนาจรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

เมื่อวันที่ 22 พฤษกาคม 2557 กระทั่งมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นเวลา 5 ปี ที่ตอกย้ำชัดเจนว่า การรัฐประหาร ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ อำนาจเบ็ดเสร็จผ่านกระบอกปืน นอกจากจะไม่ช่วยให้ประเทศพัฒนาได้ในระยะยาวแล้ว ยังเป็นการฉุดรั้งประชาธิปไตยของประเทศด้วย

รัฐประหาร ไม่ช่วยให้เกิดการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ความโปร่งใส แต่เป็นการเปิดช่องทางแก่กลุ่มทุน นายทหาร เข้ามามีส่วนในการกอบโกย ผลประโยชน์มหาศาล

รัฐประหารลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน มีการจับกุมนักศึกษา ประชาชนที่เห็นต่างในหลายกรณี

รัฐประหารสืบทอดอำนาจผ่านกลไกรัฐธรรมนูญ มีบทเฉพาะกาลให้วุฒิสกาจากการเลือก ของคณะรัฐประหาร มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี

รัฐประหาร ก่อให้เกิดความบิดเบี้ยวในกระบวนการยุติธรรม เช่น กรณีนาฬิกายืมเพื่อนไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน หรือกระทั่งล่าสุดที่มีการสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่เพราะการกู้เงิน ถึงแม้วันนี้ประเทศจะมีการเลือกตั้งเสมือนว่าเข้าสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย แต่ผลพวงของการรัฐประหาร สืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ ได้รัฐบาลที่ไม่ตรงกับเจตจำนงของ ประชาชน ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ทำให้การบริหารประเทศไม่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างอารยะประเทศ ไม่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการ ทำงานตามกลไกต่างๆ ได้อย่างแท้จริง

รัฐประหารได้แต่งตั้งคนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรต่าง ๆ ขาดการตรวจสอบอย่างยุติธรรม และใช้องค์กรต่างๆ กลั่นแกล้งผู้เห็นต่างอีกด้วย

ปรากฏการณ์เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของรัฐธรรมนูญ 60 มรดกของรัฐบาลรัฐประหาร (คสช.) ที่ได้ออกแบบให้เกิดช่องว่างทางกฏหมายที่เอื้อต่อการใช้อำนาจให้เป็นไปตามป้าหมายทางการเมืองของผด็จการ คสช. นักศึกษา ประชาชน ได้ติดตามการทำงานของ คณะรัฐประหาร มาอย่างต่อเนื่อง

ถึงเวลาแล้วที่นักศึกษา ประชาชน ไม่ควรจะนิ่งเฉยต่อสภาพการที่ดำรงอยู่ ต้องลุกขึ้นมาทวงถาม รัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ ต้องร่วมกันเสนอทางออกให้ประเทศจึงขอเรียกร้องดังนี้

1. ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร) มีการรับฟังความคิดเห็น
อย่างอิสระ และให้มีการทำประชามติ ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

2. ให้นายกรัฐมนตรีลาออก เปิดทางให้รัฐสภา เลือกนายกรัฐมนตรีที่จะนำพาประเทศข้ามพ้นวิกฤติ
มีความเชื่อมั่น และมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนได้

3. ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์อิสระ ที่ได้รับการแต่งตั้งในสมัยรัฐประหารลาออก และให้มีการสรรหา
บุคคลใหม่เข้าไปแทนที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

ด้วยจิตรักประชาธิปไตย
นักศึกษามหาวิทยาลลัยราชภัฏยะลา
2 มีนาคม 2563

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'เพจหนุนประยุทธ์'เสียบประจานนิสิตจุฬาฯ เหตุพยายามชักธงดำประท้วง ด้านผู้จัดยันเป็นเหตุหลัง 6 โมงเย็นแล้ว

$
0
0

'เพจหนุนประยุทธ์' เสียบประจานนิสิตจุฬาฯ เหตุพยายามชักธงดำประท้วง ด้าน 'จุฬาฯ รวมพล'แจงเหตุเกิดวันที่ 24 ก.พ.หลัง 6 โมงเย็น และ จนท.นำธงชาติออกก่อนแล้ว  ระบุคลิปถ่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ขณะที่ 'นิสิตที่ถูกเสียบ'เผยร่วมเคารพธงชาติตอน 6 โมง ภูมิใจในประเทศที่มีประชาธิปไตย สันติภาพและเสรีภาพ

2 มี.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เฟสบุ๊คแฟนเพจจำนวนหนึ่งนำวิดีโอคลิปเหตุการณ์ นิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พยายามนำธงดำชักขึ้นสู่ยอดเสา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง มาเผยแพร่ใหม่อีกครั้งพร้อมข้อความเชิงต่อว่า และเสียบข้อมูลส่วนบุคคล ขณะที่จากการตรวจสอบเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่เพจ 'หนังสือพิมพ์ใต้สันติสุข'เขียนข้อความว่า "2 มีนาคม 2563" 

เพจ 'หนังสือพิมพ์ใต้สันติสุข'นำวิดีโอมาเผยแพร่ พร้อมเขียนข้อความว่า "2 มีนาคม 2563" 

นอกจากนี้ เพจสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่น เพจ "ขอล้าน Like สนับสนุนให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายก"นำคลิปและภาพ ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเชิญชวนให้ให้มาตรการลงทัณฑ์ทางสังคม ขณะที่เพจ "เชียร์ลุง"โพสต์ข้อความขอให้ไม่มีแผนดิน ขณะที่สื่อมวลชนเช่น ทีนิวส์ผู้จัดการออนไลน์และ Bright TVนำคลิปดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อเช่นกัน

เพจ 'ขอล้าน Like สนับสนุนให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายก'นำภาพและข้อมูลของนิสิตคนดังกล่าวไปเผยแพร่พร้อมเชิญชวนให้ลงทัณฑ์ทางสังคม (ประชาไทขอปกปิดใบหน้าและชื่อ-สกุล)

เพจ 'เชียร์ลุง'โพสต์ต่อว่า

'จุฬาฯ รวมพล'แจงเหตุเกิดวันที่ 24 ก.พ.หลัง 6 โมงเย็น และ จนท.นำธงชาติออกก่อนแล้ว

ต่อมา กลุ่มผู้จัดกิจกรรม “จุฬาฯ รวมพล” ออกแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าว ผ่านเพจ 'จุฬาฯ รวมพล CU Assemble'ชี้แจงว่า 1. การนำธงชาติลงเป็นเวลาหลังเคารพธงชาติ เมื่อเวลา 18.00 น. อันเป็นเวลาชักธงชาติลงตามปกติของประเทศไทย หลังจากเจ้าหน้าที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้นำธงชาติออกจากเชือกตามหน้าที่แล้ว นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผู้ที่อยู่ในคลิปดังกล่าวจึงได้เข้าไปผูกธงสีดำไว้กับเชือกก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาห้ามปราม ภายในการจัดกิจกรรม “จุฬาฯ รวมพล” มิได้มีความพยายามในการชักธงชาติไทยลงเพื่อแทนที่ด้วยธงสีดำแต่อย่างใด

2. การชักธงสีดำขึ้นครึ่งเสานั้น เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อไว้อาลัยให้แก่กระบวนการยุติธรรมภายในประเทศ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ธงสีดำครึ่งเสาเคยถูกหยิบยกมาใช้ในการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มาก่อนแล้วในประเทศไทย เช่น ในเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 อันเป็นการชุมนุมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากรัฐบาลเผด็จการทหาร ( อ้างอิงจากบทความ เกิดอะไรใน “14 ตุลา” ก่อนมาสู่ชัยชนะสำคัญของประชาชนลุกฮือต้าน “คณาธิปไตย” จากเว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/history/article_40175)

3. คลิปที่ถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์นั้นถูกบันทึกโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนิสิตผู้อยู่ในคลิป ขณะนี้นิสิตคนดังกล่าวได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว และจะมีการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

จุฬาฯ รวมพล ชี้แจงด้วยว่า นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผู้ที่อยู่ในคลิปดังกล่าวมิได้ประสบความสำเร็จในการชักธงดำครึ่งเสา เนื่องจากได้ถูกระงับโดยเจ้าหน้าที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“จุฬาฯ รวมพล” ในฐานะกลุ่มของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ต้องการรวมตัวกันเพื่อแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทย จึงได้ทำแถลงการณ์ฉบับนี้ขึ้นเพื่อแสดงจุดยืน ว่านิสิตคนดังกล่าวและกลุ่มผู้จัดกิจกรรมมิได้มีความต้องการให้ธงไตรรงค์อันเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติไทยที่รักยิ่งของพวกเรานั้นแปดเปื้อนแต่อย่างใด หากแต่ต้องการพื้นที่ในการแสดงออกเมื่อเสียงของเราถูกกดทับจากรัฐบาลที่ไม่เป็นธรรม และการบังคับใช้กฎหมายที่ตีความเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จนยากที่จะได้ยินแม้เสียงกระซิบ

'นิสิตที่ถูกเสียบ'เผยร่วมเคารพธงชาติตอน 6 โมง ภูมิใจในประเทศที่มีประชาธิปไตย สันติภาพและเสรีภาพ

ทั้งนี้ นิสิต คนดังกล่าว เคยออกรายการ 'ทุบประเด็น'ทาง ช่องไบรท์ทีวี ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา และล่าสุด ยุคล วิเศษสังข์ ผู้ดำเนินรายการได้นำช่วงที่นิสิตคนดังกล่าวตอบประเด็นชักธงดำมาเผยแพร่อีกครั้ง ผ่านบัญชี "EasyYukhon"โดย นิสิต คนดังกล่าว ยืนยันว่า ตนไม่ได้ชังชาติ และภูมิใจกับความเป็นคนไทย พวกตนแค่ไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้ แม้แต่กิจกรรมที่จัดไปนั้นพวกตนก็มีการเคารพธงชาติร่วมกันตอน 18.00 น. ตนเองยังบอกกับทุกคนว่า เราเคารพธงชาติเพื่อประเทศของเรา เพื่ออนาคตของพวกเรา ให้ประเทศและสังคมพัฒนาดีกว่าที่เป็น และภูมิใจในประเทศไทยที่มีประชาธิปไตย สันติภาพและเสรีภาพ

ภาพบรรยากาศกิจกรรมชุมนุมที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งนิสิตคนที่ถูกพาดพิงคือคนที่อยู่บนเวที ในฐานะแกนนำการชุมนุม โดยเวลา 18.00 น. นิสิตเหล่านี้จัดกิจกรรมเคารพธงชาติร่วมกันด้วย

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เปิดสไลด์ ส.ส.วิโรจน์ อีกครั้ง เพจไหนเป็นเป้า บัญชีไหนเป็นหมายของ IO ทหาร

$
0
0

3 มี.ค.2563 การอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ช่วงหนึ่งเป็นที่พูดกันอย่างต่อเนื่องคือช่วงที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ อภิปรายถึง ไอโอ - IO (Information Operation) หรือปฏิบัติการข่าวสาร ของกองทัพที่คุกคามประชาชน ยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน รวมทั้งคอยจัดการกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล หรือบางคนเป็นเพียงคนเห็นต่าง นักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่สื่อมวลชน แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และอดีต ผบ.ทบ. จะออกมาปฏิเสธว่า "เรื่องไอโอ ผมยังไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะการทำงานโดยปกติแล้ว ผมก็ไม่มีนโยบายให้ทำงานแบบนี้อยู่แล้ว"

อย่างไรก็ตาม พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2)  ที่ออกมาชี้แจง เนื่องจาก วิโรจน์  ระบุว่า กองทัพภาคที่ 2 จัดทำ ไอโอ โดย มทภ.2 ชี้แจงว่า เป็นของกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 6 ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับกระทรวงกลาโหมแล้ว

"เป็นลักษณะการทำงานของทหารที่เปิดเผยตัว ไม่ใช่อวตาร และก็เป็นกลุ่มทั่วไปที่มีการเล่นไลน์และ โซเชียลมีเดีย ผมยืนยันว่าไม่ใช่คำสั่งของกระทรวงกลาโหมในการตั้งปฏิบัติการ ไอโอ ในแต่ละกองทัพภาค แต่เป็นการให้ช่วยกันเพราะเราถูกกระทำ และเราก็อ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์"แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว

เนื่องด้วย วิโรจน์ ไม่สามารถนำเอกสารหรือสไลด์ขึ้นแสดงในการอภิปรายได้หมด แต่เนื่องด้วยทีมสื่อพรรคอนาคตใหม่ได้ส่งแจกมาที่สื่อมวลชนหลายสำนัก ในโอกาสนี้ประชาไทจึงขอนำเอาสไลด์ของวิโรจน์มาเผยแพร่ต่อดังนี้

 

ทั้งนี้ กระแสความไม่พอใจ ไอโอ นั้น กระจายไปวงกว้าง โดยกิจกรรมชุมนุมประท้วงของนักศึกษา หรือประชาชน ก็นำไปตั้งเป็นชื่อกิจกรรม เช่น ที่ ม.เกษตรฯ ตั้งชื่อ "ไม่เอาไอโอ (ชา)"หรือที่แยกราชประสงค์ก็มีการจัดกิจกรรมชื่อ "กวีศิลปินไล่หัวหน้าไอโอ"

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ครป. หนุนเสรีภาพชุมนุมของ นศ. จี้ รบ.ลาออกหรือยุบสภาเลือกตั้งใหม่

$
0
0

2 มี.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์สนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของนักเรียนนิสิตนักศึกษา พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษา เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ได้อำนวยความสะดวกให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ให้ใช้สิทธิเสรีภาพเหล่านั้นอย่างเต็มที่ด้วยความสงบเรียบร้อย 

ครป. เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการทำงานว่าได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่ผ่านมาได้มากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใดรัฐบาลจึงกลายเป็นคู่ความขัดแย้งกับประชาชนเสียเองในวันนี้ การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่เป็นธรรมต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจริงจังมากน้อยเพียงใด หากรัฐบาลไม่เป็นที่ไว้วางใจ ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาและไม่สามารถหาทางออกให้ประเทศได้ ก็ควรพิจารณาลาออกหรือยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

รายละเอียดของแถลงการณ์มีดังนี้

แถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ฉบับที่ 1/2563
สนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของนักเรียนนิสิตนักศึกษา

ตามที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของชาติบ้านเมือง ได้ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวและแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและความรู้สึกไม่เป็นธรรมตลอดเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ผ่านรูปแบบการจัดการชุมนุมแบบ Flash Mob มีการปราศรัย รณรงค์ผ่านสัญลักษณ์และข้อความต่างๆ ซึ่งได้ทยอยจัดกิจกรรมไปตามสถาบันการศึกษา โรงเรียน มหาวิทยาลัย และกระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็วนั้น

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองและการเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษา มาอย่างต่อเนื่อง เห็นว่าการชุมนุมทางการเมืองของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่แสดงออกมานั้น เป็นพลังบริสุทธ์ทางการเมืองที่เกิดจากผลพวงแห่งความคับข้องใจที่สั่งสมประกอบกันมานานหลายปี ซึ่งพวกเขาได้รับรู้ติดตามและเฝ้ามองมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงจุดปะทุที่พื้นที่และปากเสียงของพวกเขาขาดหายไป จึงออกมาสร้างพื้นที่การแสดงออกซึ่งสิทธิ์และเสียงที่พวกเขามีและนับเป็นเรื่องงดงามในสังคมประชาธิปไตย ที่เยาวชนคนหนุ่มสาวใส่ใจการเมืองและออกมามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

ทั้งนี้ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) มีความเห็นต่อสาธารณะและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ดังนี้

1. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอสนับสนุนการแสดงออกโดยการชุมนุม (Flash Mob) ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และเห็นว่าเป็นสิทธิเสรีภาพทางการเมืองที่แสดงออกได้โดยเสรีตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่รัฐต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิดังกล่าว และไม่รอนสิทธิ์การแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง ทั้งนี้ ขอให้สื่อมวลชนร่วมส่งเสริมสิทธิการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวอย่างเปิดกว้าง

2. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เห็นว่าพลังบริสุทธ์ของเยาวชนคนหนุ่มสาวจะเป็นอนาคตที่สำคัญและทางออกของประเทศไทย จึงขอให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมที่มี และใช้สิทธิและความรับผิดชอบต่อส่วนรวมด้วยสันติวิธีและภราดรภาพ ยึดมั่นในหลักการและเหตุผลเพื่อเป็นพื้นที่ให้ปัญญาชนร่วมกันหาทางออกให้ประเทศในด้านต่างๆ รวมถึงเรียกร้องให้สถาบันการศึกษาเป็นที่พึ่งจากความอับจนของสังคมที่ผ่านมา โดยไม่ใช้วาจาและการปราศรัยที่สุ่มเสียงหยาบคาย (hate speech) เพื่อเป็นความหวังของสังคมโดยเฉพาะคนยาก คนจน ผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ปรองดองความคิดของผู้คนที่กระจัดกระจายและแตกแยก เพื่อนำพาสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า

3. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอเรียกร้องให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษา เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ได้อำนวยความสะดวกให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ให้ใช้สิทธิเสรีภาพเหล่านั้นอย่างเต็มที่ด้วยความสงบเรียบร้อย การปิดกั้นขัดขวางจะกระทำไม่ได้ตราบใดที่การแสดงออกนั้นไม่ไปรอนสิทธิ์ของผู้อื่นและหรือทำผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบทั้งหลาย โดยการตรวจตราการพกพาอาวุธและดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันบุคคลที่สามที่ต้องการสร้างสถานการณ์ความรขัดแย้งและเงื่อนไขความรุนแรงอย่างเต็มที่

4. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการทำงานว่าได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่ผ่านมาได้มากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใดรัฐบาลจึงกลายเป็นคู่ความขัดแย้งกับประชาชนเสียเองในวันนี้ การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่เป็นธรรมต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจริงจังมากน้อยเพียงใด หากรัฐบาลไม่เป็นที่ไว้วางใจ ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาและไม่สามารถหาทางออกให้ประเทศได้ ก็ควรพิจารณาลาออกหรือยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

เชื่อมั่นในเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ
2 มีนาคม 2563

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คนไทยในสก็อตแลนด์เรียกร้องประชาธิปไตย #เจอกันเอดินฯถ้าไม่อินเผด็จการ

$
0
0

ชาวไทยในสก็อตแลนด์ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่เอดินบะระ และร่วมกันอภิปรายปัญหาที่เกิดขึ้นในชาติ "อยากบอกให้หลานๆ นักเรียนนักศึกษาที่ไทยรู้ว่า ถึงป้าจะมาอยู่ไกลบ้าน แต่ก็อยากสนับสนุนการแสดงออกของพวกเขา และรู้สึกขอบคุณพวกเขามากจริงๆ"คนไทยในสกอตแลนด์รายหนึ่งกล่าว

เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ 1 มี.ค. 63 คนไทยและนักศึกษาไทยในสก็อตแลนด์ทำกิจกรรมเรียกร้องประชาธิปไตยในเอดินบะระในนามกลุ่ม "THAI RISE in Scotland"โดยจัดกิจกรรม “We rise in THAI RISE - เจอกันเอดินฯ ถ้าไม่อินเผด็จการ” บริเวณอนุสาวรีย์อดัม สมิธ (Adam Smith) ถนน Royal Miles เมืองเอดินบะระ โดยมีชาวไทยและนักเรียนไทยในสก็อตแลนด์ร่วมงานประมาณ 30 คนท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น ลมแรงจัด ทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมต้องย้ายสถานที่จากบริเวณอนุสาวรีย์ Adam Smith ไปยังบริเวณข้างวิหาร St.Giles Cathedral ทั้งนี้ผู้ร่วมกิจกรรมใช้แฮกแท็ก  #เจอกันเอดินฯถ้าไม่อินเผด็จการ เพื่อสื่อสารกันในโซเชียลมีเดีย

โดยกลุ่ม "THAI RISE in Scotland"เปิดเผยด้วยว่าผู้ร่วมกิจกรรมได้ผลัดกันอภิปรายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชาติ ได้แก่ ความไม่เป็นประชาธิปไตยภายหลังรัฐประหาร การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอำนาจรัฐ การลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนโดยรัฐ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือ IO ของกองทัพโดยใช้เงินภาษีประชาชนเพื่อสร้างความแตกแยก เครือข่าย "ป่ารอยต่อ"ซึ่งกุมอำนาจแบ่งผลประโยชน์ระหว่างการเมือง ทหารและนายทุน การบริหารงานของรัฐบาลที่เอื้อนายทุนแต่ทอดทิ้งคนจน เป็นต้น 

“ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมันมากเกินไป ผมขออนุญาตยกประโยคที่นักการเมืองฝ่ายค้านท่านหนึ่งพูดในสภามาแทนความรู้สึกว่า สำหรับเผด็จการนั้น เรามิอาจแค่ไม่ไว้วางใจ แต่แค่ให้อภัยก็ไม่ควร” นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวในระหว่างร่วมกิจกรรม

“ผมอยู่สก็อตแลนด์มา 30 ปี รู้จักคนไทยจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับความไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย แม้เราจะอยู่ห่างจากบ้าน แต่เราก็อยากส่งเสียงให้เผด็จการรู้ว่า เราต้องการความเปลี่ยนแปลงในประเทศบ้านเกิดของเรา” ชาวไทยวัยทำงานคนหนึ่งกล่าวความในใจระหว่างการปราศรัย

“ป้าดูข่าวจากประเทศไทย เห็นนักเรียน นักศึกษาไทยออกมาชุมนุมประท้วงกันทั่วประเทศแล้วรู้สึกมีความหวังมาก จากที่เคยหมดหวังไปแล้ว อยากบอกให้หลานๆ นักเรียนนักศึกษาที่ไทยรู้ว่า ถึงป้าจะมาอยู่ไกลบ้าน แต่ก็อยากสนับสนุนการแสดงออกของพวกเขา และรู้สึกขอบคุณพวกเขามากจริงๆ” ชาวไทยวัยทำงานอีกคนพูดหนึ่งเปิดใจ

ผู้ร่วมกิจกรรมยังได้เขียนป้ายข้อความแสดงความในใจ และแสดงออกทางสัญลักษณ์ด้วยการชูแผ่นป้ายที่เขียน ชูสามนิ้ว เปิดแฟลชส่องไฟมองหาอนาคต และกล่าวคำขวัญ “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” ก่อนจะแยกย้ายกันไป โดยใช้เวลาในการทำกิจกรรมทั้งหมดราว 2 ชั่วโมง

นักเรียนไทยในสกอตแลนด์เปิดเผยว่าตลอดกิจกรรมได้รับความสนใจจากคนไทยและผู้คนที่เดินผ่านไปมาในละแวกนั้น ส่วนผู้ร่วมกิจกรรมมีทั้งนักเรียนไทยในสก็อตแลนด์จากเมืองต่าง ๆ เช่น กลาสโกว์ สเตอร์ลิง และอาเบอร์ดีน และเอดินบะระ จำนวนราว 30 คน ผู้ร่วมชุมนุมที่ได้พบกันได้พูดคุยแลกเปลี่ยนและแสดงความเห็นต่อสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง โดยกลุ่ม THAI RISE in Scotland คาดหวังว่าการรวมตัวกันในครั้งนี้จะเป็นกิจกรรมนำร่องและเป็นจุดเริ่มต้นในการรวมตัวชาวไทยในสก็อตแลนด์ผู้รักประชาธิปไตยต่อไปในอนาคต

“กิจกรรมนี้ริเริ่มขึ้นจากการที่นักเรียนไทยที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองเอดินบะระพูดคุยกันถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรคอนาคตใหม่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และการชุมนุมของนิสิตนักศึกษา แล้วรู้สึกว่าเราอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างความตระหนักแก่ประชาชนชาวไทยในต่างแดน เพื่อส่งกำลังใจแก่นิสิตศึกษาที่ไทย และส่งเสียงถึงผู้มีอำนาจว่าเราไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น” หนึ่งในผู้จัดกิจกรรมกล่าว

นอกจากกิจกรรม #เจอกันเอดินฯถ้าไม่อินเผด็จการ แล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีคนไทยในต่างประเทศนัดชุมนุมเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 29 ก.พ. โดยที่ลอนดอนมีกิจกรรม #อยู่UKแต่ไม่OK รวมตัวกันที่วิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและการศึกษาแอฟริกา หรือ SOAS โดยผู้ร่วมกิจกรรมร่วมกันเขียนป้าย​ วางพวงหรีด​ จุดเทียน​ และแสดงจุดยืน​สนับสนุนประชาธิปไตยอีกด้วย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

วอชิงตันโพสต์: บทเรียน 4 ประการ สำหรับการประท้วงยุคโซเชียลฯ

$
0
0

บทความในวอชิงตันโพสต์เมื่อพฤศจิกายน 62 โดยนักวิจัยด้านการประท้วงหลายคนระบุถึงบทบาทของโซเชียลมีเดียที่มีต่อการชุมนุมทั้งในแง่ที่เป็นคุณและเป็นโทษ รวมถึงข้อชี้แนะ 4 ประการว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้การเรียกร้องสำเร็จ ศึกษาจากบทเรียนการประท้วงร่วมสมัยจากหลายประเทศ

ผู้ชุมนุมต่อต้านร่างกฎหมายส่งตัวนักโทษข้ามแดน เมื่อ 9 มิ.ย. 2019 ที่ฮ่องกง (ที่มา: แฟ้มภาพ/HKFP/Apple Daily)

โดยบทความในวอชิงตันโพสต์ระบุถึงยุคสมัยที่มีการประท้วงอย่างสันติในหลายประเทศเพื่อเรียกร้องให้ผู้นำพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นในโบลิเวีย, ชิลี, เลบานอน, เอกวาดอร์, อาร์เจนตินา, ฮ่องกง, อิรัก หรืออังกฤษ ที่ตามมาหลังจากการประท้วงในซูดานและแอลจีเรียที่ทำให้เกิดการโค่นล้มอำนาจเผด็จการลงได้

วอชิงตันโพสต์มองว่าโซเชียลมีเดียมีส่วนในการทำให้เกิดกระแสการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก เพราะโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการจั้ดตั้งประสานงาน อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้การประท้วงคลี่คลายได้ยากขึ้น ในขณะที่การประท้วงยกระดับมากขึ้นทั่วโลก ก็มีปัญหาท้าทายในหลายเรื่องที่ทำให้การประท้วงคลี่คลายได้ยากและทำให้ประสบความสำเร็จเพียงแค่ได้ข้อตกลงระยะสั้นๆ โดยเฉพาะกับการประท้วงที่ไม่มีผู้นำและไม่มีการจัดตั้ง วอชิงตันโพสต์นำเสนอถึง 4 สาเหตุที่ทำให้เกิดอุปสรรคนี้

ประการแรก การปล่อยให้มี "ปีกที่ใช้ความรุนแรง"จะส่งกระทบต่อขบวน

แม้ว่าจะเป็นการขบวนการประท้วงส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสันติ วอชิงตันโพสต์ระบุว่า "ปีกที่ใช้ความรุนแรง"อาจจะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางขบวนการเสียเองได้

โดยถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยบางส่วนที่ระบุว่ากลุ่มที่ใช้ความรุนแรงและต่อสู้บนท้องถนนด้วยระเบิดเพลิงหรือขว้างปาหินจะเป็นกลุ่มที่สามารถเรียกร้องความสนใจและสร้างความกดดันชนชั้นนำให้ต้องทำการยุติวิกฤตได้ตราบใดที่การประท้วงเป็นไปอย่างมีการจัดตั้งที่ดี แต่ก็มีงานวิจัยอื่นๆ ที่ระบุว่าปีกหัวรุนแรงเหล่านี้จะทำให้ขบวนการมีโอกาสสำเร็จทั้งในระยะสั้นและระยะยาวน้อยกว่า ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาจะทำให้คนไม่กล้าเข้าร่วมหรือสนับสนุน อีกส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสยอมตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมได้น้อยกว่า

วอชิงตันโพสต์ระบุว่าขบวนการประท้วงส่วนใหญ่จะช่วงชิงพื้นที่ชัยชนะได้มากจากการส่งอิทธิพลทางทัศนคติและนโยบายโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง พวกเขาทำการจัดตั้งประสานงานอย่างระมัดระวังและวางแผนการต่อสู้ไปในระยะยาว ขบวนการอื่นๆ ที่สามารถชนะได้แม้ว่าจะมีพวกปีกรุนแรงอยู่พวกเขาทำได้เพราะยังทำให้มวลชนจำนวนมากยังคงเข้าร่วมขบวนได้และเบนความสนใจออกไปจากการใช้ความรุนแรง

ประการที่สอง เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียไม่ได้ให้พลังแก่ผู้ชุมนุมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังให้พลังกับฝ่ายตรงข้ามด้วย

โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่ดีในการทำให้คนได้เรียนรู้จากกันและกัน รวมถึงการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารและแรงบันดาลใจทำได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน เครื่องมือนี้ยังทำให้ผู้คนเข้าร่วมการประท้วงได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเสนอว่าอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้การประท้วงเติบโตได้ง่ายขึ้น

แต่วอชิงตันโพสต์ก็ระบุว่าโซเชียลมีเดียทำให้เกิดอุปสรรคต่อการประท้วงในระยะยาวเช่นกัน เพราะเมื่อสามารถรวมคนได้เร็วแต่ไม่มีรากฐานและปฏิบัติการปฏิสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องก็ส่งผลเสียได้ โดยที่การปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่องนั้นต้องอาศัยโอกาสในการที่จะวางแผน ฝึกฝน จัดตั้ง เตรียมตัว และคุยรายละเอียดเกี่ยวกับการวางแผน

อีกปัญหาหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลใช้เครื่องมืออินเทอร์เน็ตนการบ่อนทำลายขบวนการ เช่น การแพร่กระจายข่าวเท็จ นอกจากนี้เครื่องมือดิจิทัลยังเป็นพื้นที่ๆ เสี่ยงต่อการถูกสอดแนม แทรกซึม สูงมากรวมถึงมีความเสี่ยงอื่นๆ

ประการที่สาม ฝ่ายเผด็จการเองก็ขับเคลื่อนการประท้วงเพื่อโต้ตอบเช่นกัน

เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า ในการประท้วงต่อต้านระบอบ 7 ชุด จะมีการประท้วงเพื่อโต้ตอบจากฝ่ายรัฐบาลเอง 1 ชุด การที่ฝ่ายรัฐบาลดึงมวลชนมาลงท้องถนนเช่นนี้เป็นการแสดงออกว่าตัวเองมีความนิยมและมีพลังความเข้มแข็งทางการเมือง นอกจากนี้การประท้วงโต้ตอบยังเปิดโอกาสให้พวกเผด็จการสร้างภาพว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้กันระหว่างประชาชนกับรัฐบาล แต่เป็นชนวน "ความวุ่นวายภายในประเทศ"

พวกฝ่ายที่รัฐบาลจัดให้มาประท้วงท้าชนกับผู้ชุมนุมมักจะเป็นกลุ่มที่ท้าทายให้เกิดความรุนแรงและผลักดันให้กลุ่มผู้ประท้วงต้านรัฐบาลออกไปจากพื้นที่ท้องถนน สิ่งที่จะต่อกรกับการประท้วงโต้กลับจากฝ่ายรัฐบาลนี้ได้คือการที่ฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐบาลเองต้องคงจำนวนผู้ชุมนุมไว้ให้มากกว่าอีกฝ่าย และยังคงมีหลักการวินัยของการชุมนุมไว้ได้ในขณะที่เผชิญหน้ากับพวกเขาคือการเน้นวิธีการแบบสันติ แต่ถ้าหากขบวนการไม่ได้วางแผนจัดการกับการประท้วงโต้ตอบเอาไว้ด้วยก็เสี่ยงที่จะแพ้ให้กับการเรียกเสียงความชอบธรรมจากผู้คน

ประการที่สี่ ขบวนการที่ไม่มีผู้นำจะยากลำบากหน่อยในการเจรจาจากท้องถนน

วอชิงตันโพสต์ระบุว่าในขณะขบวนการประท้วงแบบไม่มีผู้นำนั้นมีข้อได้เปรียบในทางยุทธศาสตร์และความดึงดูดในเชิงอุดมการณ์ แต่มันก็มีข้อเสียเพราะขบวนการที่มีกลุ่มแกนนำนั้นจะช่วยรวบรวมและเสนอข้อเรียกร้อง เจรจา และสร้างดุลอำนาจภายในแนวร่วม ยิ่งถ้ามีแกนนำที่มีพลังดึงดูดผู้คนได้อย่างมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และ คานธี ก็มีโอกาสสร้างความสำเร็จมากขึ้นโดยควรทำไปพร้อมๆ กับการตรวจสอบถ่วงดุลจากแกนนำคนอื่นๆ เพื่อให้พฤติกรรมของพวกเขาเป็นไปตามสิ่งที่ขบวนการต้องการ

วอชิงตันโพสต์ยังมองว่าการประท้วงที่มีการจัดตั้งแกนนำจะต้านทานการใช้กำลังโต้ตอบเกินกว่าเหตุของรัฐบาลได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับขบวนการที่ไม่มีผู้นำ โดยการที่ยังคงแนวทางแบบไม่ใช้ความรุนแรงและเน้นการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลจนทำให้ได้รับข้อตกลงที่รอมชอมกันได้ แต่การประท้วงแบบขาดแกนนำมักจะทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเปิดโอกาสให้เกิดการรวมศูนย์กันที่กลุ่มที่ยึดกุมการนำได้มากกว่าโดยไม่สร้างการมีส่วนร่วมต่อคนหมู่มาก รวมถึงไม่เปิดโอกาสให้มีการวางแผนการกระจายอำนาจหลังจากที่ได้รับชัยชนะด้วย

เรียบเรียงจาก

This may be the largest wave of nonviolent mass movements in world history. What comes next?, Washington Post, 16 November 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'เอกชัย'ยื่นเอกสาร-แป้ง ร้อง กกต. ถอนสมาชิกภาพ ส.ส. 'ธรรมนัส'ปมยาเสพติด

$
0
0

'เอกชัย หงส์กังวาน'และอดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นคำร้องขอ กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสมาชิกภาพ ส.ส. จาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กรณีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออสเตรเลียคดียาเสพติด ชี้ ไม่พบว่าธรรมนัสปฏิเสธขนยา แถมพกแป้งมันมาให้ กกต. ล้อเรื่องคำชี้แจงในสภา

ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย

3 มี.ค. 2563 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองและสิรวิทย์ ช่วงเสน อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคไทยศรีวิไลย์ เข้ายื่นคำร้องขอให้ กกต. เพิกถอนสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการ (รมช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส.ส. เขต 1 จ.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ โดยส่งหลักฐานเป็นคำพิพากษาศาลออสเตรเลียกรณีคดียาเสพติด

เอกชัยกล่าวว่า กกต. ควรพิจารณา และมีมติเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งเพิกถอนนมาชิกภาพ ส.ส. ของธรรมนัส ด้วยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออสเตรเลีย หมายเลข 60449/94 และ 60434/94 พิพากษาจำคุกธรรมนัสฐานนำเข้าและค้ายาเสพติดเป็นเวลา 6 ปี ซึ่งโทษดังกล่าวทำให้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง ส.ส. ตามมารา 98 (10) ตามรัฐธรรมนูญ ห้ามบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ กกต.

เอกชัยยังกล่าวว่า ในเนื้อหาคำพิพากษาอุทธรณ์นั้นอยู่บนประเด็นที่ว่า ธรรมนัสได้สารภาพในศาลชั้นต้น ที่ศาลสั่งจำคุกชาวออสเตรเลีย 2 คน คนละ 2 ปีครึ่ง ส่วนคนไทย 2 คน ศาลจำคุก 6 ปี การอุทธรณ์เป็นการอุทธรณ์แค่ว่าโทษของคนไทยสูงกว่าคนออสเตรเลีย จึงขอให้ลดโทษ ในคำพิพากษาอุทธรณ์ไม่มีพูดถึงว่าธรรมนัสปฏิเสธไม่ได้นำเข้าเฮโรอีน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ ส่วนตัวก็มองว่าธรรมนัสยอมรับ

ส่วนประเด็นที่รัฐบาลเคยบอกกฎหมายออสเตรเลียไม่สามารถใช้บังคับกันได้ เอกชัยกล่าวว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีความเห็นในคดีอื่นกรณีต้องโทษจากต่างประเทศ ว่าไทยมีอธิปไตยของตัวเอง ไม่ต้องฟังคำพิพากษาของประเทศอื่น ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเพียงความเห็นทางกฎหมาย ไม่ใช่คำพิพากษา จึงอยากให้ กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเป็นศาล ไม่ใช่ที่ปรึกษาเหมือนกฤษฎีกา

นอกจากนั้น เอกชัยยังนำแป้งมันมามอบให้ กกต. อีก 1 ถุง สืบเนื่องจากข้อชี้แจงของธรรมนัสว่าที่ถูกจับกุมครั้งนั้นไม่ใช่เฮโรอีน แต่เป็นแป้ง เอกชัยยังกล่าวด้วยว่า กกต. จะเอาแป้งมันไปทำอะไรกินก็ได้

'ธรรมนัส'ชี้ฝีมือกลุ่มการเมือง พร้อมโต้ด้วย กม. หลังสื่อออสเตรเลียแฉเคยโดนคดียาเสพติดปี 36 

อนึ่ง ตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ธรรมนัสถูกครหาในประเด็นการได้รับโทษจำคุกที่ออสเตรเลียในคดียาเสพติดมาโดยตลอด เมื่อเดือน ก.ย. 2562 หนังสือพิมพ์ซิดนีย์มอร์นิงเฮรัลด์(The Sydney Morning Herald)ของออสเตรเลีย ได้ตีพิมพ์รายงานลงในเว็บไซต์ข่าวชื่อ 'From sinister to minister: politician's drug trafficking jail time revealed'ระบุว่าธรรมนัส (หรือ มนัส ในช่วงที่เกิดเหตุ) เคยถูกศาลออสเตรเลียตัดสินจำคุก 6 ปีในปี 2536 ในข้อหาร่วมกันลักลอบขนเฮโรอีนเข้าประเทศ

ที่มา: สำนักข่าวไทย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ศูนย์ทนายฯ งัดกฎหมายแจง ลงโทษ นร.-นศ. ชุมนุมโดยสงบในสถานศึกษาไม่ได้

$
0
0

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนตั้งข้อสังเกตทางกฎหมาย ยัน สถานศึกษาลงโทษนักเรียน นักศึกษาเพราะชุมนุมไม่ได้ เนื่องจากการชุมนุมโดยสงบไม่ใช่การประพฤติผิดตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ บทลงโทษไม่มีอำนาจไล่ออก ชี้ สถานศึกษาควรอำนวยให้ใช้เสรีภาพแสดงออก เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย

ที่มา:แฟ้มภาพ

3 มี.ค. 2563 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเผยแพร่ความเห็นทางกฎหมายเมื่อ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา ระบุว่า การชุมนุมเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ สถานศึกษาจะลงโทษนักเรียนและนักศึกษาเพราะเหตุชุมนุมไม่ได้ สืบเนื่องจากกระแสนักเรียน นักศึกษา เยาวชนจัดชุมนุมในสถานศึกษาหลายแห่งทั่วประเทศตั้งแต่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา

SUANNON DEBATE แถลงเสียใจหลังไม่สามารถจัดกิจกรรมที่สวนนนท์ได้

'เพจหนุนประยุทธ์'เสียบประจานนิสิตจุฬาฯ เหตุพยายามชักธงดำประท้วง ด้านผู้จัดยันเป็นเหตุหลัง 6 โมงเย็นแล้ว

แฟลชม็อบนักเรียนตรัง-นิสิตพิษณุโลกขอร่วมปิดฉากอำนาจนิยม

ศูนย์ทนายฯ ระบุว่าสถานศึกษาและโรงเรียนไม่อาจลงโทษนักเรียนและนักศึกษาจากการรวมกลุ่มหรือเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบในพื้นที่โรงเรียน สถานการศึกษา และพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 

  1. กรณีจัดการชุมนุมโดยสงบและเข้าร่วมการชุมนุมไม่ใช่การประพฤติผิดระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา ตามกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2562 ซึ่งออกตามอำนาจพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
  2. พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 64 บัญญัติให้นักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษาและตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งตามกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 และ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2562 กำหนดไว้ในข้อ 1 ว่านักเรียนและนักศึกษาต้องไม่ประพฤติตน ดังต่อไปนี้
    1. หนีเรียนหรือออกนอกสถานศึกษา โดยไม่ได้รับอนุญาตในช่วงเวลาเรียน
    2. เล่นการพนัน จัดให้มีการเล่นการพนัน หรือมั่วสุมในวงการพนัน
    3. พกพาอาวุธหรือวัตถุระเบิด
    4. ซื้อ จำหน่าย แลกเปลี่ยน เสพสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สิ่งมึนเมา บุหรี่ หรือยาเสพติด
    5. ลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ หรือบังคับขืนใจเพื่อเอาทรัพย์บุคคลอื่น
    6. ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เตรียมการหรือกระทำการใด ๆ อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรวมกลุ่มหรือมั่วสุม เพื่อกระทำการดังกล่าว
    7. แสดงพฤติกรรมทางชู้สาวอันไม่เหมาะสม กระทำการลามกอนาจาร แต่งกายล่อแหลม หรือไม่เรียบร้อยในโรงเรียนหรือสถานศึกษา หรือแต่งเครื่องแบบนักเรียนหรือนักศึกษาไม่เรียบร้อย
    8. เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี
    9. เที่ยวเตร่นอกสถานที่พัก รวมกลุ่ม หรือมั่วสุม อันเป็นการสร้างความเดือดร้อน ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น

โดยโรงเรียนหรือสถานศึกษา สามารถกำหนดระเบียบว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงนี้

ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 กำหนดโทษที่จะลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับของสถานศึกษาไว้ 4 สถาน ดังนี้

  1. ว่ากล่าวตักเตือน
  2. ทำทัณฑ์บน
  3. ตัดคะแนนความประพฤติ
  4. ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

โดยการลงโทษนักเรียน นักศึกษานั้น ห้ามลงโทษด้วยวิธีรุนแรง หรือกลั่นแกล้ง หรือด้วยความพยาบาท โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษ

ศูนย์ทนายฯ ยังระบุว่า นักเรียนและนักศึกษามีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการใช้เสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงความเห็น อันเป็นรากฐานต่อการเรียนรู้ พัฒนาสังคมประชาธิปไตย รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ในการเคารพและส่งเสริมการใช้เสรีภาพในการชุมนุมและแสดงความเห็นโดยสุจริตของนักเรียนและนักศึกษา ต้องไม่ขัดขวาง คุกคาม แทรกแซง ปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน อันอาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ

"เมื่อพิจารณาจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สถานศึกษาและโรงเรียนไม่มีอำนาจในการใช้มาตรการไล่ออก หรือลงโทษทางวินัยใดๆ กับนักเรียนหรือนักศึกษา จากเหตุการจัดการชุมนุมหรือเข้าร่วมการชุมนุมหรือแสดงความความคิดเห็นโดยสุจริต นักเรียนและนักศึกษามีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อการเรียนรู้และพัฒนาสังคมประชาธิปไตย"ความตอนหนึ่งจากข้อสังเกตของศูนย์ทนายฯ ระบุ

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีการติดตาม เฝ้าระวังและสังเกตการณ์การชุมนุมและการแสดงออกทางการเมืองในโรงเรียน เมื่อ 27 ก.พ. เช่น ในโรงเรียนสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 (สพม. 1)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ส.ส. ประชาธิปัตย์ ค้านปรับ ครม. อ้างหลายกระทรวงกำลังทำงานสู้ไวรัสโควิด

$
0
0

ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ค้านการปรับ ครม. ชี้หลายกระทรวงกำลังทำงานต้านไวรัสโควิด-19 ยัน 7 รมต. ของประชาธิปัตย์ทำงานอย่างเต็มที่ และยังไม่มีความคิดจะสลับเปลี่ยนบุคคลในเวลานี้ พร้อมแนะฝ่ายค้านอย่าสร้างปัญหาให้กับส่วนรวมจากการอภิปรายนอกสภา

3 มี.ค. 2563 ชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า กรณีนี้ถือเป็นเรื่องปกติในทางการเมือง เพราะหลังจากที่รัฐบาลถูกอภิปรายแล้ว ก็อาจจะมีการสลับสับเปลี่ยนตัวบุคคลที่จะเข้ามาเสริมการทำงานของรัฐบาลให้ดียิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ ตนมองว่า ด้วยสถานการณ์ไวรัส COVID - 19 ที่มีการระบาดร้ายแรง ส่งผลต่อประเทศชาติ ที่จำเป็นจะต้องอาศัยรัฐมนตรีหลายกระทรวงบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบนั้น จึงไม่น่ามีการปรับ ครม. ในเวลานี้ เพราะจะส่งผลเสียต่อการทำงานส่วนรวม มากกว่าผลดีของกลุ่มก้อนการเมืองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น 

“ผมยืนยันว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ 7 รัฐมนตรีของพรรคก็ทำงานให้กับประชาชนทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องต่อไป และยังไม่มีแนวคิดที่จะสลับคนในพรรค เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนที่โควตาของพรรคเองด้วย” นายชัยชนะ กล่าว 

ส่วนประเด็นการอภิปรายนอกสภาของพรรคฝ่ายค้านนั้น ชัยชนะกล่าวว่า ถึงแม้ว่า เป็นเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านสามารถจะทำได้ แต่ขอให้คิดดีๆ ก่อนว่า การนำสิ่งที่ควรจะพูดในสภา มาพูดข้างนอกให้ประชาชนรับฟังนั้น สมควรหรือไม่ เพราะการอ้างว่า เป็นการอภิปรายนอกสภานั้น ผู้พูดย่อมไม่มีเอกสิทธิ์ของ ส.ส. คุ้มครองอยู่แล้ว อีกทั้งการพูดแบบนี้คนที่ถูกพาดพิงย่อมไม่มีโอกาสชี้แจงต่อผู้พูดและส่งผลเสียต่อประชาชน เพราะได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้น ซึ่งตนกังวลมากว่า อาจจะมีปัญหาในลักษณะเดียวกันกับที่พรรคฝ่ายค้านเคยตั้งเวทีเพื่อระดมความคิดเห็นในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับปล่อยให้บางคนพูดจาในประเด็นที่ล่อแหลมสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย ดังนั้นตนขอร้องพรรคฝ่ายค้านว่า อย่าเอาวิกฤตปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาอภิปรายในสภาไม่ลงตัว เป็นโอกาสในการเดินสายสร้างความสับสนให้กับประชาชน และสร้างปัญหาให้กับส่วนรวมด้วย

กรณีนี้สืบเนื่องจากกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรี​ และรมว.กลาโหม​ ได้บอกกับบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกคนว่า จะมีการปรับ ครม. แต่จะไม่มีการแตะโควตาในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล พรรคใดดูแลกระทรวงใดอยู่ก็จะยังคงได้ดูแลอยู่เช่นเดิม  เพียงแต่ให้แต่ละพรรคไปพิจารณาเป็นการภายในเองว่าจะปรับเปลี่ยนตัวบุคคลอย่างไรหรือไม่​ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะมีการเริ่มดำเนินการเมื่อใด

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ แกนนำพรรคพลังประชารัฐในแต่ละกลุ่ม ยังคงปฏิเสธว่าไม่ได้รับสัญญาณโดยตรงจากนายกฯ แต่ต้องจับตาไปที่ 2 คน ที่พลาดร่วมเก้าอี้ ครม.ครั้งแรก คือ 1.สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ครั้งแรกพลาดเก้าอี้ หลังมีโผจะนั่ง รมว.แรงงาน และ 2.อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท ที่ครั้งแรกมีชื่อหลุดโผรัฐมนตรีเช่นกัน มาคราวนี้ทั้ง 2 คน มีชื่อถึงคิวร่วมวง ครม. ขณะที่กระทรวงพลังงานก็ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน คนปัจจุบัน ส่อถูกโยกสลับเก้าอี้กับสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม

เรียบเรียงจาก: ไทยรัฐออนไลน์ , แนวหน้าออนไลน์ 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ม.ค. 2563 ผู้ประกันตนถูกเลิกจ้าง 29,369 คน สูงสุดตั้งแต่ปี 2559

$
0
0

เดือน ม.ค. 2563 มีผู้ประกันตน ม.33 อยู่ในระบบ 11,650,226 คน ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน 161,984 คน ถูกเลิกจ้าง 29,369 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่ปี 2559


ที่มาภาพประกอบ: Nick Youngson CC BY-SA 3.0 ImageCreator

3 มี.ค. 2563 จากข้อมูลรายงาน เศรษฐกิจแรงงาน ประจำเดือน ม.ค. 2563ระบุว่าจากข้อมูล ณ เดือน ม.ค. 2563 มีลูกจ้างที่มีนายจ้างในระบบประกันสังคม (ม.33) จํานวน 11,650,226 คน พบว่ามีอัตราการเปลี่ยนแปลงขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.80 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือน ม.ค. 2562 ซึ่งมีจำนวน 11,444,485 คน) แต่พบว่ามีอัตราการเปลี่ยนแปลงหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -0.31 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (เดือน ธ.ค. 2562 ซึ่งมีจำนวน 11,686,393 คน)

สถานการณ์การว่างงาน จากข้อมูล ณ เดือน ม.ค. 2563 มีผู้ว่างงานจำนวน 161,984 คน มีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 7.80 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือน ม.ค. 2562 ซึ่งมีจำนวน 150,265 คน) แต่พบว่ามีอัตราการหดตัวอยู่ที่ร้อยละ -4.97 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (ธ.ค. 2562 ซึ่งมีจำนวน 170,455 คน) 

ด้านสถานการณ์การเลิกจ้าง อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 คิดจากจำนวนผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้าง ต่อจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 เดือนม.ค. 2563 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 29,369 คน คิดเป็นร้อยละ 0.25 พบว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือน ม.ค. 2562) ที่มีอัตราการเลิกจ้างลูกจ้างที่ร้อยละ 0.23 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (เดือน ธ.ค. 2562) ที่มีอัตราการเลิกจ้างอยู่ที่ร้อยละ 0.24

อนึ่งเมื่อสืบค้นข้อมูลย้อนหลังพบว่าตัวเลขอัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา สถิติ ณ เดือน ม.ค. 2563 ที่ 29,369 คนนี้ เป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งปี 2559 ที่เคยทำสถิติสูงสุดไว้ ณ เดือน ต.ค. 2559 มีการเลิกจ้าง 31,570 คน ตามมาด้วยเดือน ก.ย. 2559 ที่ 31,357 คน เดือน พ.ย. 2559 ที่ 30,570 และเดือน ธ.ค. 2559 ที่ 29,748 คน เท่านั้นที่สูงกว่าเดือน ม.ค. 2563 นี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

อาจารย์เกษตรศาสตร์แนะอย่าใช้หน้ากากอนามัยของ ส.ส. สิระ ไม่กันโควิด-19 แถมเสี่ยงก่อมะเร็ง

$
0
0

อาจารย์ภาควิชาเคมี เกษตรศาสตร์ เปิดผลตรวจหน้ากากอนามัยที่ ส.ส. สิระ ซื้อแจกประชาชน พบเป็นอันตรายต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นผ้าที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ โพลิเมอร์ มีกลิ่นเหม็น แตกย่อยเป็นไมโครผลาสติกได้ง่าย หากนำมาใช้เสี่ยงก่อมะเร็ง หาทิ้งลงแม่น้ำส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ

ที่มาภาพจาก: รองศาสตราจารย์ วีรชัย พุทธวงศ์

3 มี.ค. 2563 มีรายงานว่า สิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดบ้านทรงไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อแจกหน้ากากอนามัยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่เทศกิจ และประชาชนในพื้นที่ จำนวน 10,000 ชิ้น เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

สิระ กล่าวว่า ตนในฐานะที่เป็นผู้แทนของประชาชนที่ได้รับการเลือกตั้งมาและรับเงินเดือนจากเงินภาษีของประชาชน มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับโรคไวรัสโควิด-19 ที่ขณะนี้กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย และเห็นว่าขณะนี้ในส่วนของหน้ากากอนามัยซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการป้องกันการคิดเชื้อค่อนข้างหายากและมีราคาสูง จึงได้นำเงินเดือนจากการเป็น ส.ส. ของเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ไปจัดซื้อหน้ากากอนามัยเพื่อนำมาแจกจ่ายในวันนี้จำนวน 10,000 ชิ้น โดยวันนี้เป็นการแจกวันแรกและหลังจากนี้ตนจะจัดหามาเพิ่มเติมอีก เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ในพื้นที่เขตหลักสี่-จตุจักร รวมถึงจะมีการรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับโรคไวรัสโควิด-19 และวิธีการดูแลป้องกันตัวเองให้มีความปลอดภัย

สิระกล่าวด้วยว่า ได้สั่งซื้อหน้ากากอนามัยจากผู้ขายออนไลน์ โดยมีการโอนเงินให้ผู้ขายก่อนได้รับสินค้า หน้ากากอนามัยที่สั่งซื้อมามีราคาชิ้นละ 14.47 บาท ยืนยันว่าเป็นหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพ มีความหนา 3 ชั้น สามารถป้องกันฝุ่นPM2.5 และเชื้อโรค  กรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าราคาหน้ากากอนามัยที่ซื้อมาราคาสูงกว่าท้องตลาดนั้น ส่วนตัวมองว่าคุ้มค่าเพราะได้รับสินค้าเร็วและนำมาแจกจ่ายประชาชนได้ทันที ซึ่งตนซื้อในราคาที่ผู้ค้าจำหน่ายอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าว PPTV ได้นำตัวอย่างหน้ากากอนามัยที่ สิระได้แจกให้กับประชาชนมาให้ รองศาสตราจารย์ วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพ

ที่มาภาพจาก: รองศาสตราจารย์ วีรชัย พุทธวงศ์

รองศาสตราจารย์ วีรชัย ได้โพสต์ผลการตรวจสอบคุณภาพของหน้าการอนามัยผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า จากการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค FT-IR-ATR พบว่าหน้ากากอนามัยที่นำมาแจกนั้นเป็น ผ้าสปันบอนด์ ที่เกิดจากเส้นใยสังเคราะห์ ของโพลิเมอร์ ที่เป็น “ Polypropylene ( PP ) ” ลักษณะทางกายภาพมีกลิ่นเหม็นพลาสติก มีขนาดบางมากๆ เส้นใยสีฟ้าเป็นการย้อมสีเพื่อให้ดูรู้สึกดี แต่ทั้ง 3 ชั้นบางมากและเป็นพอลิเมอร์ชนิดเดียวกัน ที่สำคัญมีกลิ่นฉุน แตกยุ่ยได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เรียกว่าไมโครพลาสติก หากสูดดมเข้าไปในร่างกาย มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง หากนำไปล้างน้ำและไหลลงไปในระบบนิเวศ เช่นแม่น้ำลำคลอง สัตว์น้ำ สัตว์ทะเลจะได้รับไมโครพลาสติกพวกนี้กลับเข้ามาสู่ระบบและมนุษย์ก็ไปกินสัตว์น้ำเหล่านี้ก็จะเข้ามาสู่ร่างกายได้เช่นกัน ในระยะยาวพลาสติกเหล่านี้ย่อยสลายได้ยากมาก และเป็นกลุ่มเสี่ยงชื่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ที่มาจาก : โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ 1 , 2

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สภาอาร์เจนตินาจ่อถกทำแท้งถูกกฎหมาย 10 มี.ค. นี้ หลังโดนโหวตคว่ำในปี 61

$
0
0

ถึงแม้ภูมิภาคละตินอเมริกาจะมีเพียง 3 ประเทศที่ไม่ได้ห้ามการทำแท้ง สืบเนื่องจากแรงกดดันทางศาสนา แต่อาร์เจนตินาอาจจะกลายประเทศใหญ่ประเทศแรกในภูมิภาคที่ให้การทำแท้งถูกกฎหมาย หลังประธานาธิบดี อัลแบร์โต เฟอร์นันเดซ ประกาศว่าจะเสนอร่างกฎหมายให้สภาพิจารณาในวันที่ 10 มี.ค. นี้

ภาพการชุมนุมของกลุ่มสนับสนุนการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย ป้ายผ้าใหญ่เขียนว่า จะไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียวต้องตายจากการทำแท้งแบบลับๆ อีกแล้ว (ที่มา: iwhc.org)

3 มี.ค. 2563 อาร์เจนตินาเตรียมเป็นประเทศแรกในละตินอเมริกาที่ทำให้การทำแท้งถูกกฎหมาย หลังจากที่ประธานาธิบดี อัลแบร์โต เฟอร์นันเดซ ประกาศเมื่อ1 มี.ค. ที่ผ่านมาว่าจะส่งร่างบัญญัติว่าด้วยการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายให้กับสภาภายใน 10 วันถัดจากนี้

เฟอร์นันเดซ กล่าวในการแถลงประจำปีครั้งแรกต่อสภาว่าหน้าที่ของรัฐคือการคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไปโดยเฉพาะผู้หญิง ในสังคมยุคสมัยศตวรรษที่ 21 นั้นควรจะเป็นสังคมที่เคารพทางเลือกของปัจเจกบุคคลที่เป็นสมาชิกของสังคมในการที่พวกเขาจะตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อตัวร่างกายตัวเอง

ประเทศส่วนใหญ่ในละตินอเมริกายังไม่ทำให้การทำแท้งยังเป็นเรื่องถูกกฎหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ๆ มีอิทธิพลของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกสูง 21 ประเทศ แม้มีคิวบา กายอานาและอุรุกวัยที่ให้ทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็เป็นประเทศขนาดเล็กที่มีประชากร 11.2 ล้าน 3.4 ล้าน และ 0.78 ล้านคนเท่านั้น

หากสภาอาร์เจนตินาผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว จะทำให้อาร์เจนตินาเป็นประเทศใหญ่ในละตินอเมริกาประเทศแรก ด้วยขนาดประชากร 45 ล้านคน ที่มีกฎหมายรองรับการทำแท้งถูกกฎหมายอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอบัญญัติแบบเดียวกันมาก่อนในช่วงสมัยประธานาธิบดี เมาริซิโอ มาครี แต่ก็ถูกโหวตคัดค้านไปในเดือน ส.ค. 2561 กลุ่มรณรงค์มองว่าเป็นเพราะประธานาธิบดีไม่ได้สนับสนุนกฎหมายนี้มากพอแรงต้านจากอิทธิพลศาสนาอย่างหนัก แต่ในครั้งล่าสุดนี้ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายเองและมีพรรครัฐบาลคอยให้การสนับสนุนอยู่

ส.ว. อาร์เจนตินาโหวตคว่ำทำแท้งถูก กม. แต่การรณรงค์กลับเขย่าอเมริกาใต้กว่าเดิม

กลุ่มนักกิจกรรมด้านสิทธิสตรีในอาร์เจนตินาที่รณรงค์เรื่องทำแท้งถูกกฎหมายมาเป็นเวลานานแสดงความยินดีกับคำประกาศของเฟอร์นันเดซ อนา คอร์เรีย นักเขียนและนักรณรงค์เรื่องการทำแท้งถูกกฎหมาย กล่าวว่าพวกเขายินดีมาก วันที่มีการประกาศเรื่องนี้ก็ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ คอร์เรียหวังว่าสภาจะทำหน้าที่ของต่อไปในเรื่องนี้ การทำให้การทำแท้งถูกกฎหมายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

ประเทศอาร์เจนตินามีการสั่งห้ามการทำแท้งมาตั้งแต่ปี 2464 โดยจะอนุญาตให้ทำแท้งเฉพาะในกรณีการถูกข่มขืนและการตั้งครรภ์จะส่งร้ายต่อสุขภาพแบบถึงแก่ชีวิตเท่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในแถบละตินอเมริกาแล้ว ประเทศโดมินิกัน เอลซัลวาดอร์ เฮติ ฮอนดูรัสและนิคารากัวต่างก็สั่งห้ามการทำแท้งโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ

เฟอร์นันเดซกล่าวว่า การทำให้การทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เป็นการทำร้ายผู้หญิงจำนวนมากโดยเฉพาะผู้หญิงที่ยากจนทำให้ผู้หญิงเหล่านี้ต้องทำแท้งในแบบที่ไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดความเสี่ยงทางสุขภาพและบางครั้งก็เสี่ยงต่อชีวิต

มาเรียลา เบลสกี ประธานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนลประจำอาร์เจนตินาแสดงความยินดีต่อคำประกาศนี้เช่นกัน เธอบอกว่า มันเป็นเรื่องเห็นได้ชัดที่ประธานาธิบดีผู้นี้รับฟังเสียงความต้องการของผู้ที่มีโอกาสตั้งครรภ์รวมถึงแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นว่าอาร์เจนตินาพร้อมสำหรับกฎหมายนี้

เรียบเรียงจาก

Argentina set to become first major Latin American country to legalise abortion, The Guardian, Mar. 1, 2020

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live