Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live

7 มี.ค. สธ.แถลงยืนยันพบผู้ป่วย COVID-19 อีก 2 ราย รวมสะสม 50 ราย

$
0
0

7 มี.ค. 2563 สธ.แถลงยืนยันพบผู้ป่วย COVID-19 อีก 2 ราย เป็นกลุ่มที่เดินทางไปดูงานที่ประเทศอิตาลีหลังจากที่ก่อนหน้านี้ติดเชื้อไปแล้ว 1 คน รวมผู้ป่วยสะสมในไทย 50 ราย - โฆษก รบ.ระบุ ไม่มีเจตจำนงเปิดรับบริจาคจากประชาชน แจงเปิดบัญชีธนาคารเพื่อความสะดวกในการนำเงินเดือนของ รมต. มาดำเนินการเท่านั้น แต่ไม่ปิดกั้นประชาชนที่สนใจ

7 มี.ค. 2563 Thai PBSรายงานว่านพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพิ่ม 2 คน

โดยผู้ป่วยใหม่คนแรก เป็นชายไทยอายุ 40 ปี เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ขณะนี้รักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี ส่วนคนที่ 2 เป็นชายอายุ 40 ปี รักษาตัวที่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี ทั้ง 2 คนอยู่ในกลุ่มคนไทยที่เดินทางไปทำงานที่ประเทศอิตาลี ซึ่งมีทั้งหมด 6 คน รวมแล้วกลุ่มนี้พบป่วย 3 คน รายแรกเป็นผู้ป่วยคนที่ 45 (แถลงเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2563) ส่วนอีก 2 คนเป็นผู้ป่วยใหม่ของวันนี้ ขณะที่อีก  3 คน ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ แต่อยู่ในระบบเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรคแล้

สำหรับแรงงานผิดกฎหมายที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ พบผลตรวจเป็นบวกอย่างอ่อนก่อนหน้านี้ ผลการตรวจซ้ำทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 แห่งตรวจไม่พบเชื้อ มีผลเป็นลบ แต่ยังต้องเฝ้าดูอาการแรงงานคนดังกล่าวให้ครบ 14 วัน

ทั้งนี้ ไทยมีผู้ป่วยรักษาหายแล้ว 31 คน ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 18 คน เสียชีวิต 1 คน จำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสม 50 คนและสถานการณ์ของโรค COVID-19 ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 25 ของโลก

โฆษก รบ.ระบุ ไม่มีเจตจำนงเปิดรับบริจาคจากประชาชน

สำนักข่าวไทยรายงานว่านางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีมีประชาชนบางส่วนตั้งข้อสงสัย และไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชน เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 ว่า เจตจำนงตั้งต้นของรัฐบาลเรื่องจากการบริจาคเงิน เริ่มจากนายกรัฐมนตรีถามความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการสละเงินเดือน เพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่นที่หลายประเทศได้ทำ ซึ่งทุกคนต่างเห็นพ้อง แต่หากดำเนินการในรูปแบบกองทุน จะติดขัดข้อระเบียบปฏิบัติหลายอย่าง จึงเปิดเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล หมายเลขบัญชี 067-0138-290 ชื่อบัญชี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)  

“ไม่มีเจตนาเปิดรับบริจาคเงินจากประชาชนทั่วไป แต่มีภาคเอกชนบางส่วนสอบถามช่องทางร่วมสนับสนุน ซึ่งรัฐบาลยินดีให้ร่วมสมทบทุนผ่านช่องทางดังกล่าว รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย” นางนฤมล กล่าว

ขณะที่ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการเปิดบัญชีดังกล่าวเป็นความตั้งใจของคณะรัฐมนตรีที่จะบริจาค และพร้อมเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่สนใจ ไม่มีการบังคับเรียกขอรับบริจาค สำหรับการทำงานของศูนย์ข้อมูลโควิด19 ยังคงเดินหน้าต่อไป โดยตนจะเป็นประธานการประชุมสรุปข้อมูลในเวลา 09.00 น. ทุกวันทำการ ที่ตึกนารีสโมสร และแถลงข่าวประจำวันในเวลา 14.00 น. 

ด้าน นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจง กรณีจัดตั้งกองทุนรับบริจาคเพื่อแก้ปัญหาโรคโควิด- 19 ว่า  กองทุนนี้เป็นจุดเริ่มต้น ที่รับบริจาค เพื่อนำเงินที่ได้ไปช่วยเหลือทางการแพทย์ สาธารณสุข ทั้งบุคลากร เวชภัณฑ์ ต่างๆ รับมือกับการแพร่ระบาดโรคโควิด-19  โดยนากยรัฐมนตรี และ ครม. เตรียมบริจาคเงินเดือนในตำแหน่งเป็นทุนก่อนเท่านั้น สัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนเรื่องนี้ ยืนยันว่ากองทุนนี้เป็นคนละส่วนกับการแจกเงินคนละ 2,000 บาทให้กับประชาชน เพราะเรื่องนั้นเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงต้องการให้ประชาชนได้เข้าใจ และแยกแยะว่าเป็นคนละส่วนกัน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รพ.ศิริราช เชิญชวนบริจาคเลือด หลังพบปริมาณเลือดสำรองไม่เพียงพอจากสถานการณ์ COVID-19

$
0
0

7 มี.ค. 2563 รศ.รอ.พญ.ปาริชาติ เพิ่มพิกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เปิดเผยว่าสถานะเลือดสำรองของธนาคารเลือด โรงพยาบาลศิริราช พบว่ามีปริมาณเลือดสำรองหมู่เอ บี และโอ ไม่เพียงพอ ขณะที่หมู่ AB มีเลือดสำรองเพียงพอ ดังนั้นจึงขอเชิญชวนประชาชนบริจาคเลือดเพื่อให้มีเลือดเพียงพอที่จะรักษาผู้ป่วยสามารถบริจาคได้ที่ธนาคารเลือด โรงพยาบาลศิริราช ตึก 72 ปีชั้น 3 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-18.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เวลา 08.30 - 16.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2419-8081 ต่อ 123, 128

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคเลือดขอให้เตรียมร่างกายให้พร้อม โดยพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง น้ำหนัก 48 กิโลกรัมขึ้นไป เพื่อที่จะนำเลือดมาปั่นแยกเอาผลิตภัณฑ์ไปใช้อย่างอื่นร่วมด้วย และต้องไม่มีโรคประจำตัว ทั้งนี้สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ตามปกติ แต่ขอให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีไขมันสูง งดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งขอความร่วมมือหากท่านที่มีไข้มีน้ำมูกไอเจ็บคอ หรือมีประวัติการเดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงโปรดงดบริจาคเลือดในช่วงนี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

โพลระบุคน กทม. 36% คิดว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ระบาด COVID-19 ได้

$
0
0

บ้านสมเด็จโพลสำรวจพบคน กทม. 81% ระบุกลัวการติดเชื้อ COVID-19, 80.6% ทราบวิธีการป้องกัน และ 36% คิดว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ 

7 มี.ค. 2563 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,113 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 3 - 5 มี.ค. 2563 กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19  ถ่ายทอดผ่านการสัมผัสโดยตรงกับฝอยละออง จากลมหายใจของผู้ติดเชื้อ (ที่เกิดจากการไอและจาม) การสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน อาจอยู่รอดบนพื้นผิวเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ก็ถูกทำลายได้ด้วยสารฆ่าเชื้อทั่วไป ในปัจจุบันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิดมีการระบาดของโรคดังกล่าวไปทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 43 คนมีผู้เสียชีวิต 1 คน และรักษาหาย 31 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 5 มีนาคม 2563) วิธีการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 โดยการสวมหน้ากากอนามัย ทานอาหารที่ปรุงสุก ต้องใช้ช้อนกลาง เมื่อทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ ล้างให้สะอาด และหลีกเลี่ยงเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง 

รัฐบาลได้มีการประกาศราชกิจจานุเบกษาวันที่ 1 มี.ค.2563 เรื่องโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย กรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ของโรคติดต่ออันตราย ให้คณะกรรมการโรคติดต่อฯมีอำนาจ สั่งปิดสถานที่ต่างๆ ไว้เป็นการชั่วคราว สั่งให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคหยุดการประกอบอาชีพชั่วคราว และสั่งห้ามผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคเข้าไปในสถานที่บางแห่ง ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การตื่นตระหนกของคนไทยทำให้หน้ากากอนามัยขาดตลาด รัฐบาลได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2563 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปันส่วนหรือจำหน่ายหน้ากากอนามัย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2563 ทำให้การโก่งราคาขายหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสินค้าควบคุม มีความผิดทางอาญาโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ประชาชนที่พบเห็นการกระทำความผิด โทรแจ้งได้ที่สายด่วน กรมการค้าภายใน 1569 ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ความรู้สึกตื่นตกใจทุกครั้งที่ท่านได้ยินข่าวเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ร้อยละ 76.9 และเกิดความกลัวการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ร้อยละ 81.0 และมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวันจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ร้อยละ 57.9 และทราบวิธีการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 โดยการสวมหน้ากากอนามัย ทานอาหารที่ปรุงสุก ต้องใช้ช้อนกลาง เมื่อทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ ล้างให้สะอาด และหลีกเลี่ยงเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง ร้อยละ 80.6

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ทราบว่ามีการประกาศโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2563 ร้อยละ 68.7 และทราบว่า กรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ของโรคติดต่ออันตราย ให้คณะกรรมการโรคติดต่อฯมีอำนาจ สั่งปิดสถานที่ต่างๆ ไว้เป็นการชั่วคราว สั่งให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคหยุดการประกอบอาชีพชั่วคราว และสั่งห้ามผู้ป่วยหรือผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคเข้าไปในสถานที่บางแห่ง ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ร้อยละ 55 

อีกทั้งยังทราบว่า สำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2563 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปันส่วนหรือจำหน่ายหน้ากากอนามัย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ร้อยละ 68.7 และทราบว่า การโก่งราคาขายหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสินค้าควบคุม มีความผิดทางอาญาโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ประชาชนที่พบเห็นการกระทำความผิด โทรแจ้งได้ที่สายด่วน กรมการค้าภายใน 1569 ร้อยละ 55.9

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการประกาศโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย สามารถป้องกันการแพร่ระบาดโรคดังกล่าว ร้อยละ 42.9 และคิดว่าการประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปันส่วนหรือจำหน่ายหน้ากากอนามัย ไม่สามารถป้องกันการจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา ร้อยละ 43.8

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ร้อยละ 36 และคิดว่าปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 จะทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ร้อยละ 69

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ธนาธร'เปิด 3 ภารกิจ 'คณะอนาคตใหม่'หวังสร้างเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด

$
0
0

'ธนาธร'บรรยายพิเศษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เปิด 3 ภารกิจ คณะอนาคตใหม่ 'สู้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่น-รณรงค์ให้สังคมรักสิ่งแวดล้อม-สร้างเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัดเพื่อปกป้องประชาธิปไตย'


ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (แฟ้มภาพ)

มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2563 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวขณะบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เมื่อพรรคอนาคตใหม่เป็นอดีต:อะไรจะเกิดขึ้นกับฝ่ายค้านต่อไป” ตอนหนึ่งว่า การตัดสินของศาลบังคับให้พวกเราต้องวิวัฒนาการ พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นตัวขับเคลื่อนให้กับคนที่คิดว่า พอกันที และสำหรับคนที่รู้ว่า หากปราศจากการแทรกแซงของพลังอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของกองทัพ หรืออะไรก็ตาม ประเทศไทยคงจะดีกว่านี้

สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการต่อสู้กับเผด็จการ เพราะพวกเขารู้ดีว่า อนาคตของลูกหลานนั้น จะถูกกำหนดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตอนนี้แม้ว่าพรรคจะถูกยุบ ทำให้ตัวขับเคลื่อนนั้นพังทลาย แต่ผู้คนจะยังคงเดินหน้าต่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่เรามีร่วมกัน เราขอประกาศว่า จะไม่ยอมแพ้ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว แต่ประชาชนจะเดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจดมุ่งหมาย เราอยู่ที่นี่และเราจะไม่ยอมแพ้ มันเร็วไปที่จะร้องไห้ หรือยอมแพ้ หลายพรรคการเมืองถูกยุบก่อนที่เราจะโดน พวกเขาคิดว่า การยุบพรรค คือ การทำลายฝ่ายตรงข้ามแต่เราจะพิสูจน์ว่าพวกเขาคิดผิด และช่วงเวลานี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช่ตอนจบแบบที่พวกเขาต้องการ แต่เป็นเพียง การจบบทแรก และตอนนี้บทที่สอง กำลังเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

"ตอนนี้ผมไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง และไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนอะไรได้ แต่นั้นก็หมายความว่าผมก็ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด ผมสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น เพราะคิดแบบนี้ ผมจึงประกาศตั้ง คณะอนาคตใหม่ โดยเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มีความยืดหยุ่นสูง ไม่กำหนดตายตัว ไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราเริ่มจาก 6 หมื่นกว่าคนจากอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่จากทุกเพศทุกวัย ที่ต้องการต่อต้านเผด็จการ และสนับสนุนความเท่าเทียมและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม"อดีตหัวหน้า อนค.กล่าว

นายธนาธรกล่าวต่อว่า โดยมี 3 พันธกิจ ได้แก่ 

1.สู้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นเราเชื่อว่า ที่ผ่านมาการเมืองท้องถิ่นไทยถูกผูกขาดโดยกลุ่มครอบครัวที่ใช้เงิน และความรุนแรงในการกินรวบอำนาจของตัวเองในท้องที่ หลายครั้งพบว่าครอบครัวการเมืองเหล่านี้ให้การสนับสนุนการแทกแซงของทหาร เราเชื่อว่าด้วยนโยบายที่ดี ด้วยความตั้งใจที่แนวแน่ การยืนอยู่ตรงข้ามการซื้อเสียง และการใช้เทคโนโลยีมาช่วย เราจะสามารถเปิดศักราชใหม่ในการเมืองท้องถิ่นได้ แบบที่เราทำมาแล้วในการเมืองระดับชาติ หากเราเพิ่มการแข่งขันในการเมืองท้องถิ่นให้เข้มข้นขึ้น จะทำให้นักการเมืองท้องถิ่นต้องปรับวิธีการเล่นการเมือง มิฉะนั้นก็อาจจะแพ้

2.เพราะเราเชื่อว่า ความคิดแข็งแกร่งกว่าปืน บัตรเลือกตั้งแข็งแกร่งกว่ากระสุน เราจะรณรงค์อย่างหนักหน่วง ไม่หยุดหย่อน เพื่อสนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม และแนวคิดแบบประชาธิปไตย เราจะรณรงค์เพื่อสนับสนุนสังคมที่รักสิ่งแวดล้อม และสังคมที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นในมหาวิทยาลัย ในชุมชน ในสมาคมการค้าต่างๆ และสมาพันธ์เกษตรกรณ์ ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยไปด้วยตัวเอง ซึ่งนี่คือการต่อสู้ทางความคิด ทั้งนี้ตนเชื่อว่า หากเราชนะสมรภูมิทางคิดได้ เราจะชนะทุกสมรภูมิ เพื่อจะเขียนประวัติศาสตร์ยุคหลัง พล.อ.ประยุทธ์

3.คือสร้างเครือข่ายประชาชนทั้ง 77 จังหวัด เครือข่ายของคนที่ต้องการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย หากมีสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถสอนบทเรียนให้โลกได้ นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยที่มีอยู่ ทำให้เรารู้ว่า เสรีภาพมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่อไม่มีใครยอมจ่ายในส่วนนี้ ทุกคนจึงสูญเสียเสรีภาพ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมีเครือข่ายประชาชน เพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ นี่คือ 3 พันธกิจของเรา

“สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เราเปิดโปงหลักฐานที่ว่า กองทัพไทย มีการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อโจมตีพรรคฝ่ายค้าน และบุคคลที่ต่อต้านเผด็จการ โดยหลักแล้วเป็นโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้ข้อมูล และข่าวปลอม จากการคำนวณคร่าวๆ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ในกองทัพหลายพันนาย ทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งข่าวปลอมและวาทะที่สร้างความเกลียดชังทั่วสังคมออนไลน์ เพื่อดิสเครดิตพวกเรา และนี่ทำให้เราได้คำตอบว่า ทำไมคนไทยที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน ถึงมีความเกลียดชังกันนัก เป็นเพราะว่า ความเกลียดชังไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดจากการผลิตขึ้นมาอย่างเป็นระบบ และอย่างตั้งใจ” นายธนาธรกล่าว และว่า พวกเขาต้องการให้เราเชื่อว่าประชาธิปไตยและการแตกแยกทางคิดทางการเมืองเป็นปัญหา และประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศไทย ดังนั้น การแทรกแซงของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงมีความจำเป็นและทหาร คือ พระเอกขี่ม้าขาว นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ

เมื่อถามถึงการเคลื่อนไหวของคณะอนาคตใหม่ จากนี้มีแนวทางอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า การเคลื่อนไหวจากนี้คือการพยายามเข้าถึงคนรากหญ้า และเน้นการทำการเมืองท้องถิ่น เพราะการเมืองท้องถิ่น คือสิ่งที่ใกล้ตัวคนที่สุด ขณะที่ในสภา เป็นแค่เพียงการผ่านกฎหมาย พวกเราต้องการพิสูจน์ให้คนเห็นว่า เราสามารถมีการเมืองที่ดีจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับคนระดับรากหญ้าโดยตรง

“ผมขอยกตัวอย่าง จ.เชียงใหม่ ที่ไม่เคยมีการดีเบตระหว่างผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองเชียงใหม่มาก่อน ว่าเขาต้องการเห็นเมืองเชียงใหม่ในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ผมต้องการที่จะสร้างการเมืองที่เข้มแข็งและสร้างสรรค์ ต้องการเพิ่มการแข่งขันให้เกิดขึ้นในการเมืองระดับท้องถิ่น” นายธนาธรกล่าว และว่า แม้ว่าตนจะไม่สามารถส่งคนลงเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง แต่ตนช่วยรณรงค์หาเสียง ผู้สมัครที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกันได้

นายธนาธรยังกล่าวถึงการออกมาชุมนุมแฟลชม็อบของนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยในประเทศไทยว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องการกับเคลื่อนไหวดังกล่าว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากจุดประกายทางความคิดและสร้างบันดาลใจกันและกัน และยอมรับว่า ตนประหลาดใจที่เห็นนักศึกษาเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวในอนาคตข้างหน้า เราจะต้องนำพาทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกัน ออกมาเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เราจะต้องทำมันให้สำเร็จ และต้องไม่เสียโอกาสนี้โดยเด็ดขาด สำหรับตนรูปแบบและวิธีสามารถยืดหยุ่นได้ แต่ที่สำคัญคือ อุดมการณ์ต้องไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าการชุมนุมของนักศึกษาจะไม่บานปลายเหมือนในฮ่องกง เพราะพวกเขารู้จักการชุมนุมอย่างสันติวิธี

แต่คำถามที่สำคัญคือ อะไรจะเป็นข้อเรียกร้องร่วมกันที่ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลจะยอมรับร่วมกันได้ โดยข้อเรียกร้องทั่วไปมีอยู่ 2 ทางคือ 1.ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ 2.คือยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตนเชื่อว่าทางออกเดียวที่นักศึกษาจะพอใจ คือ ต้องยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่หรือไม่อยู่ ก็ตาม ระบอบเผด็จการก็ยังคงดำเนินต่อไป

การเลือกตั้งที่ผ่านมา ประชาชนที่ออกมาเลือกตั้ง 35 ล้านเสียง 47% เลือกพรรคที่มีจุดยืนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ 25% เลือกพรรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่อีก 27% เลือกพรรคที่ไม่แสดงจุดยืนว่าเอาหรือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ระยะห่างระหว่างคนที่เอาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นต่างกันเยอะมากแต่กลับกลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่สะท้อนผลการเลือกตั้ง ที่แท้จริงและไม่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชน

เมื่อถามว่า หากต้องเข้าเรือนจำ นายธนาธรวางแผนไว้อย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า เอาจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าคุก เพราะลูกชายคนเล็กสุดอายุแค่ 15 เดือน และยังอยากดูลูกเติบโตต่อไป แต่หากต้องเข้าจริงๆ ก็ยืนยันว่าจะไม่หนี อย่างไรก็ตามรัฐพยามใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม อย่างกรณีของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ที่ออกมาพูดเรื่อง 1MDB ส.ส.ร่วมพรรค และบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน เนื่องจากรัฐมองว่าเป็นอุปสรรคในการครองอำนาจของรัฐ

เมื่อถามถึงความรู้สึกและบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการที่มี ส.ส.แปรพักตร์ไปอยู่กับรัฐบาล นายธนาธรกล่าวว่า มีทั้งหมด 14 คนสิ่งที่ตนเรียนรู้อย่างเจ็บปวดคือ การหักหลังเป็นเรื่องธรรมดาในเกมการเมือง เนื่องจากมีเวลาหาตัวผู้สมัคร ส.ส.เพียงแค่ 3 เดือนทำให้ไม่สามารถรู้จักปูมหลังของผู้สมัครแต่ละคนได้มากกว่าข้อมูลที่ปรากฏบนใบสมัคร ซึ่งตนรู้สึกถูกหักหลังและผิดหวังเป็นอย่างมากกับ ส.ส.ที่แปรพักตร์ เพราะพรรครณรงค์อย่างเข้มข้นก่อนการเลือกตั้งว่า ไม่เอาเผด็จการอย่างเด็ดขาด

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เวที 'ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ'ชี้ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิไทยถูกท้าทาย เกิดจากการกีดกัน ตีตรา มีการรณรงค์ป้ายสี

$
0
0

ในงานแถลงข่าว 'ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ ตัดเกรดรัฐไทยอยู่หรือไป'ชี้ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิในไทยถูกท้าทายมากเกิดจากการกีดกัน การตีตรา และการมีการรณรงค์ป้ายสี เพื่อที่จะดิสเครดิตทำให้งานปกป้องสิทธิฯ ของผู้หญิงไม่มีความชอบธรรม

ในงานแถลงข่าวหัวข้อ “ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ ตัดเกรดรัฐไทยอยู่หรือไป” ในมาตรฐานโลกด้านการปกป้องสิทธิผู้หญิง เนื่องในวันครบรอบ 103 ปีวันสตรีสากล ซึ่งจัดขึ้นโดย องค์กรโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล  (PI) ภายใต้การสนับสนุนของสถานทูตแคนาดา ประจำประเทศไทย ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา นอกจากจะมีตัวแทนของผู้หญิงนักป้องสิทธิมนุษยชนจาก 15 เครือข่ายเข้าร่วมตัดเกรดรัฐบาลผ่านการเปิดตัวรายงานการให้คะแนนความก้าวหน้าของรัฐบาลไทยในการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) แล้ว ยังมีอีกหนึ่งเวทีการพูดคุยที่น่าสนใจคือเวทีการแสดงความเห็นต่อรายงานการให้คะแนนความก้าวหน้าของรัฐบาลไทยในการปฏิบัติตามข้อสังเกตโดยสรุปของคณะกรรมการ CEDAW จากผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ โดยซาราห์ เทย์เลอร์ เอกอัครราชทูตแคนาดาที่จะประจำประเทศไทย โดยนางซาราห์ เทย์เลอร์ เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย น.ส.ซินเทีย เวลิโก ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (OHCHR) นางสาวกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคอนาคตใหม่  และนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย และดำเนินรายการโดย น.ส.ปรานม สมวงศ์ จากโพคเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นนอล

โดยทูตซาราห์ ระบุว่าแคนาดาได้ให้สัตยาบรรณในปี 1981 ทำให้มีตัวกำหนดว่าในประเทศเราจะทำอะไรได้บ้าง  รวมถึงลงนามในปฏิญญาปักกิ่ง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสิทธิผู้หญิง ทั้งนี้เห็นว่าที่ผ่านมา 25  ปี เหมือนว่ามีความถดถอยในเรื่องสิทธิของผู้หญิงมากกว่าเดิม ดังนั้นเราจะต้องไม่ใช่แค่ฟังให้ได้รับแรงบันดาลใจเท่านั้น แต่ต้องยึดมั่นต่อการที่ได้ให้คำมั่นเอาไว้ เช่น การมีกฎหมายที่จะทำให้บรรลุความเท่าเทียมทางเพศ 

“ในแคนาดา กำหนดให้มีสัดส่วนของผู้หญิงในตำแหน่งต่างๆในหน่วยงานราชการ ซึ่งแคนนาดา ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมของผู้หญิงอย่างแข็งขัน และได้รับประเด็นข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการ CEDAW คล้ายกับที่ไทยได้รับ ทั้งในเรื่องของการเข้าถึงความยุติธรรม สิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ แต่ประเด็นเฉพาะของแคนาดา คือ การสังหารของผู้หญิงชนพื้นเมืองดั้งเดิม เพราะที่ผ่านมีหลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงชนพื้นเมือง โดยถูกฆ่าและหายตัวไป ซึ่งมาจากเป็นปัญหารากเหง้าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในแคนาดา โดยผู้หญิงชนพื้นเมืองที่มีโอกาสที่ถูกฆ่าหรือหายตัวไปมากกว่าผู้หญิงอื่นถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นข้อเสนอของ CEDAW ทำให้เราได้ตรวจสอบตัวเอง”เอกอัครราชทูตแคนาดาที่จะประจำประเทศไทยระบุ

ทูตซาราห์ ระบุว่า การจัดกิจกรรมให้คะแนนในวันนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าไม่มีใครมาให้คะแนน เราก็จะไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ การให้ข้อเสนอแนะจะทำให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข  สำหรับแคนาดา การให้คะแนนในวันนี้ไม่ใช่ว่าแคนาดาสั่งสอนรัฐบาลไทย เพราะมีหลายช่องทางที่เราจะพูดคุยกันได้  ทั้งนี้มองว่าจะต้องมีพื้นที่ให้ประชาสังคมได้มีส่วนร่วม  และสิ่งที่รับฟังในวันนี้จะนำไปพัฒนาคะแนนระดับโลกเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

ด้าน น.ส.ซินเทีย กล่าวว่า การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกวันในโลกนี้ ขณะเดียวกันมีผู้หญิงที่มีบทบาทแข็งขันมากขึ้น ปัญหาความไม่เท่าเทียม การเลือกปฏิบัติถูกเปิดโปงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้หญิงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่ ซึ่งเห็นว่าไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่จะสามารถอ้างว่ามีความเท่าเทียมการเพศได้อย่างแท้จริง เราจะเห็นรัฐต่างๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนมีการเลือกปฏิบัติ นักปกป้องสิทธิสตรีถูกคุกคามข่มขู่ โดยรัฐไม่จัดการกับปัญหาเหล่านี้

“เราได้ยินกลุ่มผลประโยชน์ หัวรุนแรง ที่อ้างอุดมการณ์ ทำให้มาตรฐานทางสังคม กลายเป็นภัยต่อผู้หญิง  ในประเทศไทยผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ ยังถูกท้าทายมาก เกิดจากการกีดกัน การตีตรา และการมีการรณรงค์ป้ายสี เพื่อที่จะดิสเครดิตทำให้งานของผู้หญิงไม่มีความชอบธรรม และบั่นทอนการสนับสนุนใดๆที่ผู้หญิงจะได้รับในการทำงาน โดยเฉพาะผู้หญิงในชนบท ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ดิน สิ่งแวดล้อม ซึ่งจากประสบการณ์เคยเจอผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯในเชียงใหม่ ถูกเลือกปฏิบัติอย่างมากจากการคนในชุมชน รวมถึงการขับเคลื่อนประเด็นเหมือง ถูกมองว่าเป็นตัวก่อปัญหา หรือแม้แต้การทำงานของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิในภาคใต้ที่ถูกการคุกคามทั้งฝ่ายรัฐ และไม่ใช่ฝ่ายรัฐ อย่างไรก็ตามเรามีการให้ความช่วยเหลือรัฐบาลในการจัดทำเวริ์คช็อปกับกระทรวงการต่างประเทศในการจัดทำรายงานให้กับคณะกรรมการ CEDAW รับทราบถึงความคืบหน้าหลังจากให้ข้อเสนอแนะ"ผู้แทน OHCHR ระบุ

ขณะที่ น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงภาพรวมในส่วนของกลไกภาครัฐเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนผู้หญิง ว่า ต้องยอมรับว่ากลไกการขับเคลื่อนและการให้ความสำคัญยังมีปัญหา เริ่มที่กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานนอกระบบ ที่ส่วนใหญ่จะมีแรงงานผู้หญิงจำนวนมาก ที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง จึงขอเสนอไปยังพรรคการเมืองทั้งในส่วนของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ให้มีการเสนอร่างพ.ร.บ.แรงงานเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ เพราะที่ผ่านมา แรงงานผู้หญิงนอกระบบถูกคุกคามในสถานประกอบการจำนวนมาก กุลธิดายังได้ระบุถึงการไม่มีรัฐสวัสดิการให้ผู้หญิงที่มีลูก

อีกประเด็นที่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเดินหน้าดำเนินการ คือการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม แม้การเข้าถึงนี้จะมีกองทุนโดยกระทรวงยุติธรรม แต่มักเป็นการเยียวยาในรูปของตัวเงินเพียงอย่างเดียว โดย ที่การเยียวยาทางด้านจิตใจผู้สูญเสียยังไม่มีการดำเนินการหรือถ้ามีก็น้อยมาก

"ยกตัวอย่างเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้จากการลงพื้นที่ในจังหวัดปัตตานี มีครอบครัวหนึ่งผู้หญิงที่ถือเป็นเสาหลักของครอบครัวอายุ 55 ปีทำมาหากินขายของชำ แต่แล้วสามีก็ถูกยิงเสียชีวิต แม้จะได้รับค่าเยียวยาเป็นตัวเงิน แต่ในส่วนของการเยียวยาทางด้านจิตใจ ด้านจิตวิทยายังไม่มี ซึ่งการเยียวยาด้านจิตใจถือว่ามีความสำคัญ ถือเป็นแรงผลักดันครอบครัวใช้ชีวิตเพื่อใช้ชีวิตต่อแบบไม่มีความหวาดกลัว"อดีตส.ส.อนาคตใหม่กล่าว

ส่วนประเด็นความคุกคามผ่านIOนั้น ที่ผ่านมามีการโจมตีคุกคามนักสู้ผู้หญิงมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทางฝ่ายค้านได้อภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินนั้นพบว่า การทำIO ที่ว่านี้ก็มาจาก กอ.รมน.นั่นเอง ซึ่งการโจมตีทำให้คนที่เสพข่าวเชื่อในเนื้อหาว่าการต่อสู้ของนักปกป้องสิทธิในผู้หญิงไม่มีความสำคัญ หากจะให้เกรดผลงานของรัฐบาล น่าจะอยู่ในเกรด F ด้วยซ้ำ  

ขณะที่ นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซเมื่อปี 2562 กล่าวว่า แม้ประเทศไทย จะมีอนุสัญญา CEDAW เมื่อปี 2528 แต่ดูเหมือนว่าสตรียังถูกเลือกปฏิบัติอยู่ตลอด โดยเฉพาะ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ ที่ถูกคุกคามด้วยการฟ้องร้องคดี จน CEDAW เรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวน แม้ที่ผ่านมาภาครัฐโดยรัฐมนตรี จะยืนยืนว่าจะส่งเสริมสิทธิสตรี แต่ก็ยังมีอคติ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากมาก สำหรับประเด็นที่สตรีเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะนักปกป้องสิทธิถูกฟ้องร้องนั้น ถือเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน ที่มีปัญหาตั้งแต่โครงสร้าง เช่น การสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้กระทำผิด ผู้หญิงมักถูกข่มขู่คุกคาม โดยเฉพาะสถานประกอบการ ที่ไม่มีสภาพบังคับ หรือตรากฎหมายคุ้มครองไว้ ขณะที่เรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม แม้ภาครัฐจะบอกเสมอว่า ไม่มีค่าใช้จ่าย สุดท้ายผู้ร้องก็ต้องเสียเงินในการร้องเรียนดำเนินคดี  ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร ร่างกฎหมายเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการฟ้องปิดปาก

“ทั้งนี้ในส่วนของเรื่องการเยียวยาขอบเขตของการเยียวยาก็มักอยู่ในรูปของตัวเงิน แต่ในส่วนของการฟื้นศักดิ์ศรีไม่เคยมี โดยอย่างยิ่ง ผู้หญิงใน สามจังหวัดภาคใต้ที่มีเรื่องชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณีเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่นเด็กหญิงถูกบังคับให้แต่งงาน แม้จุฬาราชมนตรีระบุว่า ต้องกำหนดอายุเด็กหญิง 17 ปีขึ้นไป แต่สุดท้ายก็ไม่มีการบังคับใช้ เนื่องจากไม่ใช่กฎหมาย รวมทั้งกรณีของชายที่มีจิตใจเป็นหญิง ในบางพื้นที่มีการเข้าไปทำร้ายร่างกายถึงในบ้านด้วย”นางอังคณากล่าว

นางอังคณา ระบุด้วยว่า อุปสรรคสำคัญที่สุด คือกระบวนการยุติธรรมของไทยเมื่อตัดสินแล้วไม่สามารถกลับคำตัดสินได้อีก ยกตัวอย่าง คดีของนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ถูกบังคับให้สูญหาย แม้จะมีการทักท้วงว่าเป็นผู้ถูกบังคับให้สูญหาย ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินได้ ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องท้าทายต่อรัฐบาลเป็นอย่างมาก ที่ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการทบทวนกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้น ให้ตรงตามเจตนารมณ์ของหลักสิทธิมนุษยชน  พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ การยอมรับอำนาจของคณะกรรมการประจำอนุสัญญาฯ ในการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียน ในกรณีที่มีการละเมิดพันธกรณีที่ปรากฏในอนุสัญญาฯ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐภาคี โดยผู้ร้องเรียนอาจเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในนามของผู้ถูกละเมิดสิทธิได้  ผลใช้บังคับกับไทยเมื่อ 2543 ปีที่แล้วตนได้ส่งเรื่องร้องเรียนให้กรรมการ CEDAW เพื่อใช้สิทธิในส่วนนี้ด้วย

นางอังคณา ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการใช้ IO ในการคุกคามผู้หญิงนักปกป้องสิทธิทางโซเชียลมีเดีย ว่า เห็นว่ากระบวนการในการรับแจ้งความของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่อำนวยความสะดวกให้กับผู้หญิงที่ถูกคุกคาม โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของปอท. ที่เป็นโจทย์ในการยื่นฟ้องนักกิจกรรมที่เห็นต่างจากรัฐ ขณะที่ผู้หญิงที่ถูกคุกคามกลับไม่มีใครปกป้อง อีกทั้งส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ IO ที่เกิดขึ้นมาจากหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นขอแนะนำให้คนที่ถูกคุกคามจาก IO ใช้สิทธิพิสูจน์ข้อเท็จจริงจากศาลเพื่อให้ศาลมีมาตรการเยียวยา

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: อีกไม่ช้า

$
0
0

หลายคำถามทำนอง "ไม่น่าเชื่อ..."
แต่ก็ต้องเชื่อ เมื่อมันมีอยู่จริง มันเกิดขึ้นจริง
เป็นของจริงที่เห็นอยู่ตำตาคาอยู่ค้างใจ
กับความเหลวแหลกเละเทะของกฎหมายกติกา
กับการไม่เห็นหัวประชาชน กดขี่ประชาชน
"ฟางเส้นสุดท้าย"เกิดขึ้นเมื่ออนาคตถูกท้าทายโดยทำให้มืดดับ
กำแพงเฉยชาและความหวาดกลัวที่เคยกักขังเยาวชนคนหนุ่มสาวได้พังทลายลง
พวกเขาเธอทั้งหลายต่างก้าวออกมา "ส่งเสียง"เรียกร้องความเป็นธรรม
ส่งเสียงแห่งสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม
เสียงที่มีประชาชนเป็นใหญ่ เสียงของประชาธิปไตย
เสียงขับไล่เผด็จการ!
นักเรียนนักศึกษาได้กลายเป็นพลังมหาศาลและจักหลอมรวมเป็นพลังประชาชน
เป็นอำนาจของประชาชนในที่สุด
เพราะทั้งหมดล้วนคือประชาชน!
ทั้งหมดล้วนเป็นอำนาจของประชาชน!
แลประชาชนทั้งผองจักโค่นล้มเผด็จการ ทวงคืนอำนาจกลับมา
อีกไม่ช้า...

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

..คืนความยุติธรรมให้ประชาชน' DRG นัดไว้อาลัย 'ตุลาการคณากร' ที่ มธ. เย็นพรุ่งนี้

$
0
0

..คืนความยุติธรรมให้ประชาชน' DRG นัดไว้อาลัย 'ตุลาการคณากร' ที่ มธ. เย็นพรุ่งนี้ ขณะที่พรรคประชาชาติ โพสต์สดุดี

7 มี.ค.2563 ความคืบหน้ากรณี คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ที่เคยก่อเหตุยิงตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัสในห้องพิจารณาคดี ที่ศาลจังหวัดยะลาเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 หลังจากออกมาร้องเรียนและกล่าวหาบุคคลในสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 9 ว่ามีพฤติกรรมแทรกแซงคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกนำส่งโรงพยาบาลเช้าวันนี้ (7 มี.ค.) เนื่องจากยิงตัวเองอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาเสียชีวิต โดยที่ก่อนก่อเหตุดังกล่าว คณากร โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ค ถึงความอยุตธรรมในกระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง โดยตนถูกศาลยุติธรรมตั้งกรรมการสอบสวน และยังถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาและเขาเชื่อว่าต้องถูกลงโทษออกจากราชการเป็นแน่ นั้น

DRG นัดไว้อาลัยที่ มธ. เย็นพรุ่งนี้

เมื่อเวลา 21.47 น. ที่ผ่านมา กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คว่า กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ร่วมกับนิสิต นักศึกษา ขอเชิญทุกท่านร่วมไว้อาลัยแด่ผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ผู้ซึ่งกระทำอัตวินิบาตกรรม เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในสังคมไทย โดยกิจกรรมจะจัดขึ้น ณ ลานประติมากรรม 6 ตุลา (ข้างคณะนิติศาสตร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จัดในวันที่ 8 มี.ค. 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป

ประชาชาติ สดุดี

ช่วงบ่ายวันนี้ พรรคประชาชาติโพสต์สดุดี คณากร

โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'จุฬาฯ รวมพล'แจงอีกรอบปมนิสิตพยายามชักธงดำครึ่งเสาเชิงสัญลักษณ์ เหตุสิ้นศรัทธาในรัฐบาล

$
0
0

กลุ่มผู้จัดกิจกรรมจุฬาฯ รวมพล แจงอีกรอบปมนิสิตพยายามชักธงดำครึ่งเสาเชิงสัญลักษณ์ เพื่อต้องการแสดงออกว่าประชาชนหมดสิ้นความศรัทธาในรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่ชอบธรรม ยันมิได้ดูหมิ่นธงชาติไทยแต่อย่างใด

8 มี.ค.2563 จากกรณีช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาเฟสบุ๊คแฟนเพจจำนวนหนึ่งนำวิดีโอคลิปเหตุการณ์ นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพยายามนำธงดำชักขึ้นสู่ยอดเสา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงมาเผยแพร่ใหม่อีกครั้งพร้อมข้อความเชิงต่อว่า และเสียบข้อมูลส่วนบุคคล จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่เพจ 'หนังสือพิมพ์ใต้สันติสุข'เขียนข้อความว่า "2 มีนาคม 2563" 

ล่าสุดวานนี้ (7 มี.ค.63) กลุ่มผู้จัดงานจุฬาฯ รวมพล เผยแพร่แถลงการณ์ชี้แจงเพิ่มเติมกรณีการพยายามชักธงดำขึ้นครึ่งเสา ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงในเพจ 'จุฬาฯ รวมพล CU Assemble'  โดยอ้างอิงถึง จากแถลงการณ์กลุ่มผู้จัดงานจุฬาฯ รวมพล เรื่อง ชี้แจงกรณีการเผยแพร่คลิปชักธงดำ ยังมีผู้ไม่พอใจและมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากกรณีการพยายามชักธงดำขึ้นครึ่งเสาอยู่เป็นจำนวนมาก

กลุ่มผู้จัดกิจกรรมจุฬาฯ รวมพล ขอชี้แจงเพิ่มเติมถึงกรณีที่เกิดขึ้น เหตุการณ์พยายามชักธงดำขึ้นครึ่งเสา เกิดขึ้นในช่วงท้ายของกิจกรรมจุฬาฯ รวมพล ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ.63 หลังจากกิจกรรมการเคารพธงชาติร่วมกันภายในงานในเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ของจุฬาฯ ได้เชิญธงชาติลงและนำธงชาติออกไปตามปกติ เหลือเพียงเสาและเชือกที่ไม่มีธงชาติ ผู้กระทำจึงได้ผูกธงดำ และชักธงดำขึ้นเสาเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และการไว้อาลัยให้แก่กระบวนการยุติธรรมของประเทศ ต้องการแสดงออกว่าประชาชนหมดสิ้นความศรัทธาในรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่ชอบธรรม
ทั้งนี้ เมื่อชักธงดำถึงครึ่งเสาแล้ว พิธีกรในงาน ณ เวลานั้น จะอธิบายสาเหตุและจุดมุ่งหมายของการแสดงออกครั้งนี้ให้กับผู้เข้าร่วมงาน ก่อนจะจุดเทียนและร้องเพลงร่วมกัน แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลับนำธงดำออกเสียก่อน ดังนั้น จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้กระทำและคณะผู้จัดงานจึงมิได้ดูหมิ่นธงชาติไทยแต่อย่างใด

การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยใช้ธงดำในการไว้อาลัย เคยปรากฏมาก่อนแล้วทั้งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย และระดับสากล อย่างไรก็ตาม หากจะมีความผิดในกรณีนี้ คณะผู้จัดกิจกรรมจุฬาฯ รวมพล ขอน้อมยอมรับผิดเรื่องการมิได้ขออนุญาตใช้เสาธงเพื่อแสดงออกทางสัญลักษณ์ และยินดีรับการพิจารณาจากมหาวิทยาลัยในความผิดดังกล่าว เพื่อแลกกับการสร้างพื้นที่เพื่อแสดงให้เห็นความอึดอัดคับข้องใจของประชาชน

"ขอยืนยันถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ครั้งนี้ ด้วยความเคารพในระบอบประชาธิปไตย"แถลงการณ์กลุ่มจุฬาฯ รวมพล ระบุตอนท้าย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คนงานสิ่งทอ-คนงานรังสิต แถลงวันสตรีสากล ชูธงแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จี้รัฐจัดสวัสดิการ-คุมราคาสินค้า  

$
0
0

คนงานสิ่งทอ-คนงานรังสิต ออกแถลการณ์วันสตรีสากล ชูคำขวัญ “หยุดละเมิดสิทธิสตรี เสรีภาพต้องเท่าเทียม” เรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จี้รัฐจัดสวัสดิการ ขึ้นค่าแรงตามที่หาเสียง พร้อมกำหนดมาตรการคุมราคาสินค้าจำเป็น

แฟ้มภาพ

8 มี.ค.2563 เนื่องในวันสตรีสากลเพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ทางชนชั้นแรงงานหญิงทั่วโลกนั้น สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์หนัง แห่งประเทศไทย และกลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตและใกล้เคียง ออกแถลงการณ์เนื่องในวันสตรีสากล ชูคำขวัญ “หยุดละเมิดสิทธิสตรี เสรีภาพต้องเท่าเทียม” พร้อมเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ พรรครัฐบาลขึ้นค่าแรงและจัดสวัสดิการตามที่เคยหาเสียงไว้ เรียกร้องเพิ่มวันลาคลอดบุตร สิทธิทำแท้งได้อย่างปลอดภัยเมื่อไม่พร้อมมีบุตร สร้างรัฐสวัสดิการ คุมราคาสินค้าที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ

รวมทั้งเรียกร้องให้หยุดล่วงละเมิดทางเพศและต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อสตรีทุกรูปแบบ รัฐบาลต้องให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ฉบับที่ 98 และ ฉบับที่ 183 ที่ว่าด้วยสิทธิการร่วมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงาน การเจรจาต่อรอง การคุ้มครองแรงงานหญิงและความเป็นแม่ ฯลฯ

โดยกลุ่มดังกล่าวยังนัดหมาย เชิญสหภาพแรงงานสมาชิกแรงงานฯและเครือข่ายเข้าร่วมกิจกรรมวันสตรีสากลในวันนี้ (8 มี.ค.63)เวลา 08.00 – 13.00 น. ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย – ทำเนียบรัฐบาล ประตู 5 และกิจกรรมสิ้นสุดที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

สำหรับแถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์เนื่องในวันสตรีสากล

ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่การต่อสู้ทางชนชั้นแรงงานหญิงทั่วโลก ได้มาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง นั้นก็คือวันที่ 8 มีนาที่เรียกกันว่าวันสตรีสากล โดยเฉพาะบทบาทของแรงงานหญิงในโรงงานทอผ้า ที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต่อสู้กับการกดขี่ขูดรีดทารุณในระบบทุนนิยม พวกชนชั้นนายทุนเห็นกำไรสำคัญกว่าชีวิตของมนุษย์ การทำงานมากกว่าวันละ 14-16 ชั่วโมงได้ค่าจ้างแรงงานเพียงน้อยนิด สภาพการทำงานในโรงงานเลวร้ายหลายคนเจ็บป่วยล้มตายไร้การเหลียวแล ทำให้แรงงานหญิงและชายทนไม่ได้กับระบบการกดขี่ขูดรีดจึงเกิดการลุกขึ้นสู้ มีการนัดหยุดงานและเดินขบวนในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 การต่อสู้ในครั้งนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากแรงงานทั่วโลก สร้างความสั่นสะเทือนต่อระบบทุนนิยมทั้งโลก และได้มีการเรียกร้องชั่วโมงการทำงานให้เหลือวันละ 8 ชั่วโมง พร้อมทั้งปรับปรุงสภาพการทำงานและสวัสดิการ และสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยในการรวมตัว

วันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 มีผู้แทนสตรีจาก 18 ประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม สมัยที่ 2 ที่จัดขึ้นที่เมืองโคเปนเฮเกน เสนอให้มีการทำงาน 8 ชั่วโมง ศึกษา 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง  ที่เรียกว่าระบบสามแปด  ค่าจ้างแรงงานระหว่างชายกับหญิงต้องเท่าเทียมกัน มีการคุ้มครองสิทธิแรงงานหญิงและเด็ก  โดยเฉพาะบุคคลสำคัญที่เป็นสตรีที่เขาชื่อ คลาร่า แซทกิน ซึ่งเป็นนักสังคมนิยมชาวเยอรมัน เขายืนหยัดต่อสู้มาตลอดว่าการโค่นล้มทุนนิยมและการสร้างสังคมใหม่คือสังคมนิยม  จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดพลังแรงงานผู้หญิง ถ้าพลังแรงงานหญิงยังถูกกดขี่ ขูดรีดอยู่ และไม่มีสิทธิใดๆ  และเธอก็ได้เผยแพร่ความคิดสังคมนิยมไปทุกหนทุกแห่งทั่วโลก

วันประวัติศาสตร์การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของการต่อสู้ของแรงงานหญิง ได้รับการยกย่องมีการจัดงานเฉลิมฉลองชัยมาถึงทุกวันนี้ และหลายปีที่ผ่านมาได้มีสตรีที่อ้างตนว่าเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ได้เขามาร่วมขบวนในการจัดงานวันสตรีสากลเบี่ยงเบนประเด็นอุดมการณ์ของนักสังคมนิยมประชาธิปไตยดังกล่าวข้างตน

จากการรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 เห็นปรากฏการณ์เด่นชัดมากขึ้นของความขัดแย้งทางชนชั้นและชั้นชนระหว่าง ระบอบเผด็จการที่ควบคุมโครงสร้างส่วนบนของสังคมกับประชาชนผู้ถูกกดขี่ขูดรีด และก็เป็นที่ประจักชัดแล้วว่าการปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการและกลายพันธ์มาเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบภายใต้กฎกติกาเผด็จการ  มีแต่เอื้อประโยชน์ให้กับชนชั้นนายทุนและเครือข่าย ปัญหาข้าวยากหมากแพง ชนชั้นที่ไร้ปัจจัยการผลิต ต้องเผชิญกับวิถีชีวิตที่แสนจะลำบากยากแค้นอย่างหนัก องค์การแรงงานหลายภาคส่วนได้ดำเนินการเรียกร้องต่อรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่า สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ก็สนับสนุนการเรียกร้อง ให้แก้ไข้ปัญหาด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองมาโดยตลอด เพื่อการบรรเทาทุกข์ในหมู่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานและคนจนทั้งในเมืองและชนบท รวมถึงปัญหา ของประชาชน รัฐบาลยังละเลยต่อปัญหาข้อเรียกร้องต่างๆของหมู่ชนชั้นผู้ใช้แรงงาน  โดยหาเหตุมากล่าวอ้างต่างๆนานา แต่บรรดาพวกชนชั้นนายทุนที่สนับสนุนระบอบเผด็จการ ลืมไปว่าสิ่งที่เป็นประดิษฐ์กรรมต่างๆในโลกนี่ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากพลังแรงงานของชนชั้นผู้ใช้แรงงานทั้งสิ้น ไม่มีเทวดาที่ไหนเป็นผู้สร้าง ดูได้จากสิ่งใกล้ตัวเรา เช่น สี่ปัจจัยการครองชีพทุกชนชั้นและชั้นชนต้องใช้ เช่น อาหารการกิน, ที่อยู่อาศัย, เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ผงซักฟอก ยาสีฟัน สบู่ ยารักษาโรคและยานพาหนะต่างๆในการเดินทางและเทคโนโลยี รวมไปถึงปราสาทราชวัง ตึกรามบ้านช่องวัดวาอาราม ใครเป็นผู้สร้างผู้ทำ ถ้าขาดพลังแรงงานของผู้ใช้แรงงานทั้งมวล ทุกอย่างจะเหมือนซากศพ และในโอกาสวันสำคัญนี้สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ขอเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลปัจจุบันดังนี้

  1. แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
  2. พรรคการเมืองที่ร่วมจัดตั้งเป็นรัฐบาลและช่วงหาเสียงเลือกตั้ง สัญญาไว้ว่าจะเพิ่มค่าจ้าง/ค่าแรงเป็นวันละ 400-425 บาท และมารดาประชารัฐ เช่น ตั้งครรภ์รับเดือนละ 3,000 บาท ค่าคลอดบุตร 10,000 บาท และค่าดูแลบุตรเดือนละ 2,000 บาท ดำเนินไปถึงไหนแล้ว
  3. รัฐบาลต้องเพิ่มวันลาคลอดบุตรจากเดิม 98 วัน เป็น 180 วัน และสามีมีสิทธิลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 180 วัน โดยได้รับค่าจ้าง
  4. สตรีมีสิทธิทำแท้งได้อย่างปลอดภัยเมื่อไม่พร้อมมีบุตร (ศาลรัฐธรรมนูญเห็นชอบแก้กฎหมายทำแท้งได้ไม่ผิด wed,2020-02-19 ประชาไท)
  5. รัฐบาลต้องกำหนดวันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันหยุดทั่วประเทศ
  6. สร้างรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพ
  7. รัฐบาลต้องควบคุมราคาสินค้าที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพของประชาชน
  8. สตรีมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับชายและหยุดล่วงละเมิดทางเพศและต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อสตรีทุกรูปแบบ
  9. รัฐบาลต้องให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ฉบับที่ 98 และ ฉบับที่ 183
  10. รัฐบาลต้องสนับสนุนการศึกษาฟรีกับเด็กเยาวชนประชาชนตลอดชีวิต
  11. หยุดการค้ามนุษย์,หยุดการค้าแรงงานข้ามชาติ,ยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของมวลมนุษยชาติ

วันสตรีสากล ชนชั้นผู้ใช้แรงงานสตรีทั้งหลายจงเจริญ

8  มีนาคม  2563

“หยุดละเมิดสิทธิสตรี เสรีภาพต้องเท่าเทียม”

สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์หนัง แห่งประเทศไทย

กลุ่มสหภาพแรงงาน ย่านรังสิตและใกล้เคียง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

หมอ รพ.หาดใหญ่ เผยโดนห้ามโพสต์หน้ากากวิกฤต - 'นวชิวิน'ชวนใส่ Mask ชูป้าย และติด '#WeAreหมอโอ๊ต'

$
0
0

หมอ รพ.หาดใหญ่ เผยโดนห้ามโพสต์หน้ากากวิกฤต ลั่นอย่ากวาดปัญหาใต้พรม ขณะที่อีกกรณีแพทยสภา ตอบปม #saveหมอโอ๊ต ยันไม่พบร้องเรียนอย่างเป็นทางการ ด้าน 'นวชิวิน'ชวนใส่ Mask ชูป้าย และติด '#WeAreหมอโอ๊ต'

หมอ รพ.หาดใหญ่ เผยโดนห้ามโพสต์หน้ากากวิกฤต ลั่นอย่ากวาดปัญหาใต้พรม

จากกรณี นพ.วรุฒม์ พิสุทธินนทกุล หน่วยศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลหาดใหญ่ ได้โพสต์ภาพหน้ากากที่เต็มไปด้วยเลือดกระเซ็นอยู่ทั่ว พร้อมระบุถึงปัญหาหน้ากากอนามัยว่า หมอใช้หน้ากากผ้าแทนไม่ได้ พร้อมกับขอบริจาคหน้ากากจากประชาชน เพื่อยับยั้งวิกฤติหน้ากากอนามัยนั้น 

7 มี.ค.2563 ข่าวสดออนไลน์รายงานความคืบหน้าว่า ล่าสุดพบว่า หมอได้โพสต์อีกครั้ง พร้อมระบุว่า "ทางสาธารณสุขจังหวัด ไม่พอใจ และให้หยุดสื่อสาร เพราะทางสาธารณสุขจังหวัด จัดการกับปัญหาโรงพยาบาลขาดแคลนหน้ากากอนามัยเพียงพอแล้ว ซึ่งตนขอใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นพื้นที่ออกมาแจ้งข่าวดังกล่าว และจะลบโพสต์นี้อีกครั้งในเวลา 17.00 น. และระบุว่า หากใครจะแคปอะไรในเฟซบุ๊กตนตอนนี้ให้รีบแคปไว้เลย"

ข่าวสดออนไลน์รายงานต่อเนื่องว่า ช่วงหัวค่ำหมอยังได้โพสต์อีกว่า "บอกว่าแมสพอ แต่ให้ใช้คนละอันต่อวัน บางวอร์ดต้องซื้อกันมาเองด้วยราคาที่โคตรแพง จะให้ใช้แมสผ้ามาทำผ่าตัด แบบนี้เรียกมีพอ? ข้อแรกเลยนะ ข้อแรกของการแก้ปัญหา ต้องยอมรับว่ามีปัญหาก่อน ไม่ใช่บอกว่าไม่มีปัญหา กวาดเข้าใต้พรม"

แพทยสภา ตอบปม #saveหมอโอ๊ต ยันไม่พบร้องเรียนอย่างเป็นทางการ

ขณะที่อีกหมอ คือ "หมอโอ๊ต"หรือ นพ.ศรุต ประวิตรกุลวัฒน์ เจ้าของช่องยูทูบ OuixZ ได้โพสต์คลิปความยาวประมาณ 2.50 นาที เป็นการวิพากษ์วิจารณ์คนไทยที่ไปทำงานในเกาหลีใต้แบบผิดกฎหมาย หรือ ผีน้อย ที่เดินทางกลับไทย หลังจากไวรัสโควิด-19 ระบาดหนัก พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการทำงานของรัฐบาลถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด พร้อมกับเรื่องหน้ากากอนามัยที่หาซื้อยาก 

นิวส์ทีวีรายงานด้วยว่า ต่อมาได้ขอให้ชาวเน็ตลบคลิปและมีแชตหลุดว่า กระทรวงฯ ไม่ปลื้ม และโดนขู่ฟ้องยึดใบประกอบโรค พร้อมกับให้ไปลาออก จนชาวเน็ตช่วยกันติดแฮชแท็ก #saveหมอโอ๊ต จนขึ้นอันดับที่ 1 พร้อมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ล่าสุดมีความคืบหน้าจาก พล.อ.ต.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า "ไม่พบว่ามีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวมาอย่างเป็นทางการต่อแพทยสภาแต่อย่างใด"

เลขาธิการแพทยสภา ได้โพสต์เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุว่า “ข้อเท็จจริงของกระบวนการพิจารณาจริยธรรมของแพทยสภา” กระบวนการพิจารณาจริยธรรมของแพทยสภา เริ่มต้นจากมีผู้ร้องเรียน ในการปฏิบัติงานของแพทย์ เข้าสู่กลไกตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 โดยใช้ข้อบังคับจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม แพทยสภา พ.ศ.2549 เป็นหลักในการดำเนินการ

'นวชิวิน'ชวนใส่ Mask ชูป้าย และติด '#WeAreหมอโอ๊ต'

ขณะที่เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา แนวร่วมนวชิวิน (New life Network) ออกแถลงการณ์ ปกป้องสิทธิพื้นฐานในการแสดงออกของบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมทั้งชวนประชาชนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการใส่ Mask ชูป้าย และติด '#WeAreหมอโอ๊ต'ไปด้วยกันทั่วประเทศ จากกรณีที่รัฐไม่มีมาตรการควบคุม Covid19 ที่ดี และย่ำยีเสรีภาพของประชาชน

โดยมีรายละเอียดแถลงการณ์ดังนี้

แถลงการณ์ โดย แนวร่วมนวชิวิน (New life Network)

ภาคประชาชน • กลุ่มนักเรียนโรงเรียนนครสวรรค์ • มออยู่ข้างราบ11แต่ไม่เอาเผด็จการ(SPU.Rise) • มหาลัยแถวๆ ตีนดอย คนน้อยแต่100% (มทร.ล้านนา) • แนวร่วมนิสิต มรภ. นว. เพื่อประชาธิปไตย • BSRUFreedom (มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา)

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563

เรื่อง การแสดงจุดยืนร่วมกันของประชาชนเพื่อปกป้องสิทธิพื้นฐานในการแสดงออกของบุคลากรทางการแพทย์

จากการที่นายแพทย์ท่านหนึ่ง ได้ทำคลิปวิดิโอที่พูดถึงสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ลงในช่อง Youtube ของตน จนคลิปวิดิโอดังกล่าวเป็นที่โด่งดังในโลก social media แต่ในวันเดียวกันนั้นเอง นายแพทย์ท่านนั้นก็ได้ลบคลิปวิดิโอดังกล่าวและออกมาพูดว่าโดนบีบบังคับให้ลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องในทุกช่องทางออก พร้อมกับโดนกดดันจากมือที่มองไม่เห็นจนต้องขอความร่วมมือให้ทุกคนที่เผยแพร่ ลบคลิปวิดิโอดังกล่าว

ซึ่งสิ่งที่นายแพทย์ท่านนี้ออกมาพูดในคลิปวิดิโอนั้น นอกจากจะมีเรื่องสถานการณ์ไวรัส COVID-19 แล้ว ยังมีการพูดถึงระบบการทำงานของรัฐบาลว่ามีการจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้ากากอนามัยและเรื่องอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดที่นายแพทย์ท่านนี้กล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น แต่แทนที่ปัญหาดังกล่าวที่นายแพทย์ได้ออกมาแนะนำจะถูกนำไปแก้ไข นายแพทย์ท่านนี้กลับโดนบีบบังคับให้ลาออกจากงานและมีความน่าวิตกกังวลว่าจะถูกพิจารณาในการถอดถอนใบประกอบวิชาชีพโรคศิลป์ เพียงเพราะมี "ผู้ใหญ่"ไม่พอใจกับการกระทำของนายแพทย์ท่านนี้ 

ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับมาตรา 34 ในรัฐธรรมนูญที่กล่าวว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน 'หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน'"

แนวร่วมนวชีวิน (New life network) ประกอบด้วย ภาคประชาชน • กลุ่มนักเรียนโรงเรียนนครสวรรค์ • มออยู่ข้างราบ11แต่ไม่เอาเผด็จการ(SPU.Rise) • มหาลัยแถวๆ ตีนดอย คนน้อยแต่100% (มทร.ล้านนา) • แนวร่วมนิสิต มรภ. นว. เพื่อประชาธิปไตย และ BSRUFreedom (มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา)  เห็นว่านายแพทย์ท่านนี้ไม่สมควรได้รับความอยุติธรรมดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้แพทยสภาทำงานด้วยความเป็นธรรมกับกรณีนี้ โดยคำนึงถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของนายแพทย์คนดังกล่าว

 รวมทั้งเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาแสดงจุดยืนในการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน และเพื่อปกป้องเสรีภาพของบุคลากรทางการแพทย์

โดยจะมีการนัดหมายกำหนดการในการจัดกิจกรรมเพื่อร่วมแสดงจุดยืนของประชาชนร่วมกัน เร็วๆ นี้

แนวร่วมนวชีวิน
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักปรัชญาชายขอบ: จงเคารพเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของคนรุ่นใหม่

$
0
0

ขณะที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในทุกภาคออกมาไล่เผด็จการ เรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การเลือกตั้ง การปฏิรูปกองทัพและสถาบันหลักอื่นๆ ให้อยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของหลักการและกติกาประชาธิปไตยผ่านกิจกรรมทางการเมืองที่เรียกว่า “แฟลชม็อบ” ผู้บริหารโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลายแห่งกลับใช้อำนาจปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกดังกล่าว

การใช้อำนาจผู้บริหารสถาบันการศึกษาห้ามใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนในการจัดกิจกรรมทางการเมือง หรือตั้งเงื่อนไขบีบกดและลดทอนเสรีภาพในการแสดงออกต่างๆ เช่น ห้ามชูป้ายบางข้อความ ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงปราศรัย และฯลฯ โดยอ้างว่าเพื่อรักษา “ความเป็นกลางทางการเมือง” หรือเพื่อจำกัดสถานะและบทบาทของสถาบันการศึกษาให้อยู่ในขอบเขตที่ “ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะไม่มีสถาบันการศึกษาใดๆ ที่เป็นกลางทางการเมืองหรือไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองได้จริง

ถ้า “การเมือง” ในระดับกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น การเดินขบวน การชุมนุม และอื่นๆ ก็เห็นได้ชัดว่าในช่วงสถานการณ์ชุมนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรดาอธิการบดีมหาวิทยาชั้นนำหลายแห่งต่างออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนการขับไล่ กระทั่งเชิญชวนประชาคมมหาวิทยาลัย ศิย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันออกมาเป่านกหวีดขับไล่ ธงสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโบกโบยบนเวทีชุมนุม กปปส. อธิการบดีบางคนขึ้นเวทีปราศรัย ไม่นับอาจารย์ นักวิชาการนกหวีดทั้งหลายที่ขึ้นเวทีปราศรัยและร่วมชุมนุมอย่างเปิดเผย ภายใต้วาทกรรม “มหาวิทยาลัยเป็นที่พึ่งทางปัญญาของสังคม” ในการนำพาประเทศพ้นวิกฤตทางการเมือง และหลังเกิดรัฐประหารบรรดาอธิการบดี และอาจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งต่างไปดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และตำแหน่งอื่นๆ ที่รัฐบาลเผด็จการทหารแต่งตั้ง แบบนี้มันคือ “เป็นกลางทางการเมือง” หรือเป็น “สลิ่มทางการเมือง” กันแน่

แต่ขณะเดียวกัน นิสิต นักศึกษา อาจารย์บางคน บางกลุ่มที่แสดงออกทางการเมืองในด้านที่เห็นใจเสื้อแดงและยืนยันวิถีทางประชาธิปไตยเป็นทางออกของปัญหา ปฏิเสธรัฐประหารและแนวทางอื่นใดที่ไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง พวกเขากลับถูกกีดกัน ถูกแบ่งแยก ต้องชัดเจนว่าพวกเขาเหล่านั้นแสดงออกในนามส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่ใช่ในนามของมหาวิทยาลัย ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับมหาวิทยาลัย อาจารย์หลายคนถูกห้ามใช้ชื่อของมหาวิทยาลัยในการแสดงความเห็นทางการเมือง หรือแม้แต่ในการอภิปรายทางวิชาการเกี่ยวกับเรื่องการเมืองบนเวทีเสวนาต่างๆ ก็มีทหาร ตำรวจมานั่งคุม กระทั่งอาจารย์บางคนถูกสอดแนมการสอน ถูกยกเลิกการสอนเพราะวิจารณ์เผด็จการเป็นต้น

ปรากฏการณ์ “สองมาตรฐาน” ในการแสดงออกทางการเมืองดังกล่าว ก็คือสภาวะ “ความเป็นการเมือง” (the political) ภายในมหาวิทยาลัยต่างๆ มันคือความเป็นการเมืองของการแบ่งฝ่าย แบ่งสี แยกมิตร แยกศัตรูชัดเจนในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา  

แต่คำถามคือ แฟลชม็อบของนักเรียน นิสิต นักศึกษายุคนี้ เกี่ยวอะไรกับความเป็นการเมืองแบบแบ่งสี ไม่เกี่ยวกันเลย เพราะการเมืองแบบบ่งสีมันเปลี่ยนไปมากแล้ว ในสภาเราได้เห็นนักการเมืองที่เคยเป็นสีหนึ่งมาร่วมงานกับพวกที่เคยเป็นสีตรงข้าม ในหมู่ประชาชนก็ปรากฏ พธม.กลับใจ กปปส.กลับใจ ในแวดวงคนดังก็มีบางคนที่เคยเป็นแนวร่วมขวางการเลือกตั้งเพื่อไม่ให้ยิ่งลักษณ์กลับมาอีก หันมาวิจารณ์การสร้างระบบสืบทอดอำนาจเผด็จการเป็นต้น นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ลุกขึ้นสู้ในนาม “ความฝันของคนรุ่นใหม่” ในปัจจุบันก็ยิ่งก้าวเลยจากการแบ่งสีมาไกลมากแล้ว 

พูดอีกด้านหนึ่ง การเมืองแบบแบ่งสีได้ก่อปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย ที่พ่วงมาด้วยการการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก กีดกันการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน มากด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความอยุติธรรมนานับประการ และปัญหาเศรษฐกิจทรุด คุณภาพการศึกษาตกต่ำ ทับถมด้วยการตกงานและอื่นๆ คนรุ่นใหม่ต่าง “สัมผัส” ปัญหาเหล่านี้จากการเรียนรู้ การเสพข้อมูลข่าวสารในโลกโซเชียล และมีประสบการณ์ตรงกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้มานานกว่าครึ่งทศวรรษแล้ว การยุบพรรคอนาคตใหม่คือ “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้พวกเขาทนไม่ได้กับ “ความอยุติธรรม” ซ้ำซากภายใต้อำนาจเผด็จการไร้ยางอาย พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีการกล่าวกันว่าที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาถูกกีดกัน ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ก็เพราะผู้บริหารสถาบันการศึกษานั้นๆ เป็น “สลิ่ม” ที่ยังมีทัศนะทางการเมืองในเชิงสนับสนุนฝ่ายสืบทอดอำนาจเผด็จการ หรือไม่พวกเขาก็กลัวจะถูกเล่นงานจากรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการ

จึงเห็นได้ชัดว่า สถาบันการศึกษาแยกออกจากการเมืองไม่ได้ เพราะการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองกับการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองมันมี “ความเป็นการเมือง” ในตัวมันเองอย่างเด่นชัด ในด้านหนึ่งเป็นการเมืองในทางสนับสนุนความกล้าหาญในการต่อสู้เผด็จการ อีกด้านหนึ่งเป็นการเมืองของความกลัวและการกดทับเสรีภาพของผู้ที่กล้าหาญลุกขึ้นสู้

ถ้ามองให้ลึก ปรากฏการณ์ดังกล่าว สะท้อนความล้มเหลวในการทำหน้าที่ทางการเมืองตอบสนองอุดมการณ์รัฐของสถาบันการศึกษา กล่าวคือ สถาบันการศึกษามีหน้าที่ทางการเมืองตอบสนองต่อรัฐในการปลูกความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ทางการเมืองแบบจารีต แต่การตื่นขึ้นสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนในอดีตจนปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า การปลูกฝังความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์จารีตผ่านระบบการศึกษาไม่สามารถ “ครอบงำ” ได้สำเร็จ และไม่สามารถสร้างเอกภาพหรือความสามัคคีในชาติได้จริง หากแต่เป็นเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดและทางการเมืองมายาวนาน 

ทั้งนี้เพราะแก่นแกนของความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์จารีตคือการสร้าง “การแบ่งแยก” และ “กีดกัน” ว่าใครคือคนไทย-ไม่ใช่คนไทย คนกลุ่มไหนจงรักภักดี-ไม่จรักภักดี อะไรคือความเป็นไทย-ความเป็นอื่น การแบ่งแยกและกีดกันดังกล่าวมักนำมาซึ่งความขัดแย้ง เพราะใครหรือคนกลุ่มไหนที่ไม่คิด ไม่เชื่อ ไม่มีค่านิยมและอุดมการณ์ทางการเมืองแบบฝ่ายจารีต ก็จะถูกกีดกัน ถูกตราหน้าว่าไม่ใช่คนไทย ไม่รักชาติ ทำลายชาติ กระทั่ง “ถูกล่าแม่มด” และถูกปราบปรามทำลายล้างในรูปแบบต่างๆ เสมอมา

ดังนั้น ข้อเรียกร้องให้รักกันสามัคคีกันภายใต้ความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์จารีตที่ไม่ได้อยู่บนรากฐานของเสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตย จึงไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่ทำให้เกิด “ภราดรภาพ” และความสามัคคีได้จริง เพราะเมื่อมีการแบ่งแยก กีดกันและวาดภาพให้คนคิดต่างเชื่อต่างกลายเป็นอื่น การมองว่าเพื่อนมนุษย์ทุกคนมีความเป็นพี่เป็นน้องกันย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ 

สำนึกแห่งภราดรภาพหรือมอง “ทุกคนมีความเป็นพี่เป็นน้องกัน” จะเกิดขึ้นได้บนพื้นฐานของการเคารพเสรีภาพและความเสมอภาคของทุกคนที่มีความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ที่แตกต่างหลากหลายเท่านั้น ซึ่งสังคมประชาธิปไตยเอื้อให้อุดมคตินี้เป็นไปได้ การปิดกั้นเสรีภาพทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ลุกขึ้นสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตย เพื่อพวกเขาเองจะมีอำนาจ มีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเอง นอกจากจะเป็นการปิดกั้นอนาคตที่ดีกว่าของพวกเขาแล้ว ยังเป็นความพยายาม “ตรึง” พวกเขาให้ติดอยู่ใน “กับดับความขัดแย้ง” ไม่รู้จบ อันเป็นกับดับที่ฝ่ายเผด็จการใช้ในการแบ่งแยกและปกครองมายาวนาน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'พรรคกล้า'เลือก 'กรณ์'เป็นหัวหน้า 'ลดาวัลลิ์'ประกาศตั้ง 'พรรคเสมอภาค'

$
0
0

เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2563 ว่าที่อาคารบางกอกทาวเวอร์ พรรคกล้าได้จัดประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรค เพื่อพิจารณาเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค รวมถึงพิจารณาคำประกาศอุดมการณ์ นโยบาย และข้อบังคับพรรค โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งกว่า 500 คนเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยก่อนเข้าประชุมมีการคัดกรองตรวจอุณหภูมิ วัดไข้ แจกหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดในขณะนี้อย่างเคร่งครัด

หลังจากนั้นได้มีการคัดเลือกผู้บริหารพรรค สรุปรายชื่อได้ 9 คนดังนี้คือ 1.นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค 2.นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค 3.นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค 4.นายภิมุข สิมะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค 5.นายพงษ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรค 6.นายณัฐนันทน์ กัลยาศิริ นายทะเบียนพรรค 7.ดร.เอราวัณ ทับพลี เหรัญญิกพรรค 8.นายเบญจรงค์ ธารณา กรรมการบริหาร และ 9.นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร กรรมการบริหาร

นอกจากนี้ยังได้มีการประกาศ 4 อุดมการณ์ทางการเมือง คือ 1. ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เข้มแข็งมั่นคง ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. ปฏิบัตินิยมคู่คุณธรรม นำไทยก้าวหน้า ทันสมัย พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนเปลงและวิกฤตการณ์ของโลก 3. ระบบเศรษฐกิจเสรีมีความรับผิดชอบต่อสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการแข่งขัน ขจัดการผูกขาด และ 4. คนไทย ครอบครัวไทย ทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

นายกรณ์กล่าวต่อที่ประชุม หลังได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกล้า ว่า ขอขอบคุณผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกล้าทุกๆ ท่านที่สละเวลามาช่วยกันสร้างพรรค ทุกคนมาด้วยความตั้งใจที่จะสร้างพรรคการเมืองที่เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนคนไทย ทุกคนมาด้วยเจตนามุ่งมั่นที่จะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “การทำให้คนไทยมีความหวังในอนาคตที่ดีขึ้น”

นายกรณ์กล่าวว่า พวกเราในพรรคกล้า หลายคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หลายท่านเดินเข้ามาโดยที่ไม่รู้จักผมหรือใครคนอื่นเป็นการส่วนตัว แต่เข้ามาเพราะเห็นว่านี่คือที่รวมตัวของคนจากทุกสาขาอาชีพ ที่อยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น เชื่อว่าหลายคนในที่นี้คงเหมือนกันคือ ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมือง แต่วันนี้เรามีทั้งนักธุรกิจ เกษตรกร ลูกจ้าง นักวิชาการ และนักการเมืองที่มีความคิดเหมือนกัน กลายเป็นเรื่องที่มั่นใจเต็มร้อยว่า ตอนนี้ไม่ทำไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งที่กังวลคือเมืองไทยวันนี้ ตอบโจทย์ผู้ทีมีแล้วเพียงไม่กี่คน แต่ไม่ให้ความหวังกับคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่มี

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวด้วยว่า ความตั้งใจแรกของการตั้งพรรคคือ ต้องการจะให้พรรคกล้าเป็น แพลตฟอร์มหรือพื้นที่ให้กับผู้มีของ และผู้ที่เชื่อในศักยภาพของประเทศไทย ตนเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าอนาคตของประเทศ ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนในประเทศนั้น ๆ บางประเทศไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเอง แต่คนของเขาทำให้ประเทศเจริญได้ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์ แต่ไทยเรามีทุกอย่าง แต่สิ่งที่ยังขาดคือ การลงมือทำ ทำด้วยความรู้ ความตั้งใจ และความบริสุทธิ์ใจ และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีความกล้า

“ผมอดขำไม่ได้ว่าทันทีที่เราประกาศตั้งพรรค ก็มีคนที่พยายามจะให้เราเป็นพวกกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่มีความขัดแย้งกันอยู่ ฝั่งขวาก็บอกว่า เราจะเข้าพวกกับฝั่งซ้าย และฝั่งซ้ายก็บอกว่าเราจะเป็นพวกกับฝั่งขวา ผมขอประกาศบนเวทีในวันนี้ว่า พรรคกล้าไม่ใช่พรรคของฝ่ายใด เราไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคในสังกัดของใครและเราจะไม่ปฏิเสธความคิดดี ๆ ของใคร ไม่ว่าเขาเคยเลือกหรือสนับสนุนพรรคใดที่ผ่านมา ขอเพียงหวังดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และมีความพร้อมที่จะทุ่มเททำงานเพื่ออนาคตที่ดีของคนไทยทุกคน” นายกรณ์ได้ย้ำอย่างหนักแน่น

“วันนี้คนไทยกำลังพบกับความท้าทายรอบด้าน สังคมแตกแยก การทำมาหากินลำบาก ระบบราชการอุ้ยอ้าย คนเก่งคนทำงานไม่มีโอกาส กฎหมายล้าสมัย เทคโนโลยีล้าหลัง ปัญหาพื้นฐานขาดการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็น เรื่องน้ำและที่ดินของเกษตรกร เรื่องการศึกษาของเยาวชน เหล่านี้คือภารกิจของเรา เราจะรวมตัวคนมีของในแต่ละด้าน และชักชวนเขามาทำงานการเมือง ประเทศต้องอาศัยมืออาชีพทำงาน พวกเราทุกคนในพรรคกล้าขอประกาศว่า “เรามาเพื่อลงมือทำ”

ด้านนายอรรถวิชช์ กล่าวอธิบายถึงสัญลักษณ์พรรคกล้ารูปมือที่หมายถึงการลงมือทำ และมีรูปทรงคล้ายหลอดไฟ ที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ด้วย พร้อมกล่าวย้ำว่านายกรณ์เป็นพี่ที่ตนเองนับถือ ซึ่งเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นผู้ที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นบวก และรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานกับนายกรณ์ ที่กล้าตัดสินใจออกจากตำแหน่ง ส.ส. ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ร่วมกันทำพรรคกล้าให้ดีที่สุด และอยากเห็นนายกรณ์เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

‘ลดาวัลลิ์’ ประกาศตั้ง ‘พรรคเสมอภาค’ วางเป้าหมายสร้างความเท่าเทียม

8 มี.ค. 2563 มติชนออนไลน์รายงานว่าที่โรงแรม เอส ดี อเวนิว ปิ่นเกล้า นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงข่าวจัดตั้งพรรคการเมืองว่าเนื่องจากวันนี้เป็นวันสตรีสากล และเป็นวันพระ ตนจึงถือฤกษ์นี้แถลงเจตนารมย์ในการตั้งพรรคของตนเพื่อขับเคลื่อนแก้ไขวิกฤติให้กับชาติบ้านเมือง ตนเข้าสู่การเมืองในนามพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดยไม่เคยซื้อเสียงเลย เป็นการเมืองที่งดงาม และสร้างสรรค์ สามารถพลิกหน้าการเมืองของพะเยา และทำคุณประโยชน์ให้กับหลายรัฐบาล นอกจากนี้ ตนยังได้ริเริ่มกองทุนพัฒนายทบาทสตรี จนก้าวมาสู่นโยบายระดับชาติในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันนี้ ตนอยากมาสานต่อโครงการระดับชาติที่ยิ่งใหญ่ เพราะหากตั้งพรรคแล้วได้เข้าๆไปมีบทบาทในรัฐบาล ตนจะทำเรื่องกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีก่อนเป็นเรื่องแรก เพื่อผลักดันให้ไปสู่ระดับนานาชาติ เพราะตนไม่เห็นรัฐบาลไหนที่มุ่งมั่น และตั้งใจทำให้สตรีได้ดั่งใจของตนเลย อย่างไรก็ตาม ตนยังห่วงความเสมอภาคในสังคมไทยที่ขาดหายไปมาก มีความเหลื่อมล้ำสูง เกษตรกรแทบไม่มีรายได้ หนี้สินล้นพ้นตัว มีการฆ่าตัวตายมากที่สุดเป็นประวัติการ ในขณะที่คนรวยมีมากจนห่างไกลกันมา ตนตั้งพรรคขึ้นมา พร้อมเสนอตัวเป็นกางดึงความเสมอภาคกลับมาให้คนไทยทุกคน ทุกคนต้องมีกินมีใช้เสมอกันทุกคน รวมไปถึงความเสมอภาคทางสังคมด้วยที่ผู้หญิงยังมีบทบาทน้อย ตนในฐานะสตรีคนหนึ่งที่ทำการเมืองมามากพอสมควรตนพร้อมที่จะนำความเสมอภาคมาสู่สตรี มาสู่เกษตรกร ตนมีแนวคิด และแนวทางในใจอยู่พอสมควร อีกหน่อยเกษตรกรไม่ต้องรอรายได้ตามฤดูกาลแล้ว แต่สามารถมีรายได้ทุกวันได้ ตนขอช้โอกาสนี้เชิญชวนทุกคนมาร่วมอุดมการณ์สร้างความเสมอภาคกับตน

นางลดาวัลลิ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตนจะยึดมั่นคือการปกครองระบอบประชาธิไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ยึดมั่นใน ชาติ ศาลนา พระมหากษัตริย์ อยากให้คนไทยมีจิตสำนึกต่อสังคมซึ่งเรายังขาด ตนอาสาเข้ามาสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า เข้ามารับผิดชอบ สร้างสังคม และพัฒนาสังคมไปด้วยกัน เราตั้งเป้าไว้ว่า พรรคของเราหาก กกต. อนุมัติแล้ว เราจะเป็นศูนย์รวมของคนดี เป็นนักการเมืองที่มีธรรมาภิบาลในใจ เป็นหนทางใหม่ว่าเรามาด้วยใจ ขับเคลื่อนโดยประชาชนทุกภาคส่วน คนที่ก้าวเข้ามาอย่าหวังผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ตนมั่นใจว่า ท่านที่ศรัทธาในการเมืองที่สร้างสรรค์ รักประเทศ ขอเชิญเข้ามาร่วมเป็นกาวสร้างความเสมอภาคด้วยกัน ท่ามกลางการโอบอุ้มของประชาชน ทั้งนี้ เป็นสิ่งที่ท้าทายมากที่ว่าจะทำพรรคพรรคหนึ่งต้องใช้เงินมหาศาล แต่ตนไม่กลัว ตนคิดว่าจะสามารถทำพรรคที่ไม่ใช้เงินเป็นตัวตั้งได้ เพราะเคยผ่านการบริหารงานกองทุนบทบาทสตรีมาแล้ว เชื่อว่าการบริหารพรรคก็ไม่เกินความสามารถของกรรมการบริหารพรรค แล้วเงินจะตามมาจากความศรัทธาเอง วันนี้ตนไม่หวั่นไหว ไม่กลัวใดๆทั้งสิ้นแล้ว ตนจะทำให้สำเร็จ และทำให้ดู หลายคนถามว่า ใครอยู่เบื้องหลัง ใครเป็นนายทุนใหญ่ ตนเรียนว่า ตนเป็นนายทุนให้ตัวเอง แล้วท่านที่เข้ามาเป็นสมาชิกของเรานั่นแหละที่จะเป็นนายทุนของเรา จึงขอเชิญทุกคนเข้ามาทำงานร่วมกัน

นางลดาวัลลิ์ กล่าวอีกว่า เราจะเคารพความเสมอภาคทั้งหญิง และชาย รวมถึงผู้มีความหลายทางเพศต้องได้รับการผลักดัน คนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะมีความสุข และได้รับสวัสดิการตามสมควร มีสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาข้างหน้าอีกมากมาย ตนอยู่นอกสภา หากจะผลักดันสิ่งที่ตนเชื่อต้องมาตั้งพรรคการเมือง ดังนั้น วันนี้ตนขอกำลังใจจากทุกท่านด้วย

เมื่อถามว่า รายชื่อผู้ร่วมก่อตั้งพรรคมีใครบ้าง นางลดาวัลลิ์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่ออย่างเป็นทางการอยู่ ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน หากได้รายชื่ออย่างเป็นทางการแล้วก็จะยื่นขอจดทะเบียนกับทาง กกต. ทั้งนี้ การก่อตั้งพรรคมีผู้ร่วมคิดหลายท่าน แต่เวลานี้เรายังมีคนไม่มาก เพราะเราตัดสินใจรวดเร็วในการตั้งพรรค ซึ่งรายชื่อ รวมถึงการดำเนินการจดทะเบียนจะมีความชัดเจนในสัปดาห์หน้า

เมื่อถามว่า มีเพื่อนที่เคยเป็น ส.ส. มาขอร่วมพรรคหรือไม่ นางลดาวัลลิ์​ กล่าวว่า เพื่อนที่เคยเป็นส.ส.มีมาก แต่คนที่เป็นส.ส.ปัจจุบันทีพูดทีเล่นทีจริง ซึ่งก็ต้องให้เกียรติเขาได้ตัดสินใจเอง ทั้งนี้ เราหวังให้พรรคใหญ่ไว้ก่อน แล้วทำได้ไม่ได้ก็ค่อยๆให้ขยับลงมาเอง

เมื่อถามว่า วางเป้าไปว่าจะอยู่กับทางไหนฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล นางลดาวัลลิ์ กล่าวว่า ตนจะอยู่กับประชาชน เพราะเมื่ออยู่ตรงกลางแล้วจะทำให้เราได้เห็นปัญหาที่แท้จริงของประชาชน ทั้งนี้ รัฐบาลต้องฟังปัญหาของประชาชน ขณะที่เราก็มีอีกช่องทางหนึ่งในการแก้ปัญหาให้ประชาชนได้คือการสะท้อนผ่านไปยังสถาผู้แทนราษฎร

เมื่อถามว่า การลาออก มีคนสงสัยมาก การทำงานของเราจะดูประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ความเป็นประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นตามหลักสากล ผ่านการเรียกร้องจากประชาชน ซึ่งตนเองก็เรียกร้อง เราต้องสร้างจิตสำนึก และความเข้าใจ โดยต้องช่วยกันทุกภาคส่วน และผู้มีอำนาจต้องมองว่าได้ทำตามเสียงเรียกร้องของคนส่วนใหญ่แล้วหรือยัง เราจะใช้ปิยวาจาทำการเมือง เราจะไม่เป็นนักการเมืองที่หยาบคาย ก้าวร้าว เราจะพยายามทำในสิ่งที่ดี และอยู่ในกรอบความดีให้มากที่สุด

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เปิดสภาให้คนหนุ่มสาว: ความจริงใจที่ซ่อนเร้น?

$
0
0

รู้สึกสงสัยต่อท่าทีของ สส. ซีกรัฐบาล (พปชร. ปชป.) ประธานรัฐสภา และ สว. ลากตั้ง ที่จะเชิญผู้นำนักศึกษาไปพูดคุยในสภา โดยหลักการเป็นเรื่องที่ดีที่จะเปิดเวทีให้คนหนุ่มสาวได้แสดงความคิดเห็นต่อปัญหาบ้านเมือง รวมถึงยื่นข้อเสนอที่พวกเขาต้องการ

แต่จากประสบการณ์ของผมพบว่าผู้นำนักศึกษามี 2 ประเภท

1.ผู้นำนักศึกษาทั้งที่เป็นทางการ เช่น นายกองค์การนิสิตนักศึกษา ประธานสภานิสิตนักศึกษา นายกสโมสรนิสิตนักศึกษา ผู้นำที่เป็นทางการส่วนใหญ่จะทำกิจการที่เป็นทางการของมหาวิทยาลัย หรือ คณะ วิทยาลัย 

2. ผู้นำนักศึกษาที่ไม่เป็นทางการ เช่น ผู้นำเครือข่าย ผู้นำกลุ่ม ภาคีเครือข่าย ที่ทำงานกับชาวบ้าน ปัญหาสาธารณะ ปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม และเคลื่อนไหวสังคมอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งผมไม่มั่นใจว่า สส. ซีกรัฐบาล(พปชร. ปชป.) ประธานรัฐสภา และ สว. ลากตั้ง จะใช้เกณฑ์อะไรในการเชิญผู้นำนิสิตนักศึกษา เกรงว่าเขาจะอาศัยกลไกปกติ คือ ทำเรื่องถึงอธิการให้ส่งตัวแทนผู้นำนิสิตนักศึกษาเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น ฯลฯ ซึ่งก็คือ นายกองค์การนิสิตนักศึกษา ประธานสภานิสินักศึกษา เป็นต้น
ในฐานะผู้นำนิสิต นักศึกษาที่เป็นทางการ

แต่ภาพรวมของการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาครั้งนี้ไม่มีความขัดเจนเรื่องแกนนำ และ ในหลายๆสถาบันการศึกษา ผู้นำนิสิตนักศึกษาที่เป็นทางการก็ ไม่ได้เข้าร่วม หรือ มีส่วนร่วมแต่อย่างใด แม้มีข้อเรียกร้องจะจากนิสิตนักศึกษาจำนวนมากที่จะเห็นบทบาทของผู้นำที่เป็นทางการ แต่พวกเขาก็มีท่าทีวางเฉยต่อการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา

บทบาทหลักของการเคลื่อนไหว กลายเป็นเป็นกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ไม่เป็นทางการ พวกเขาทำงานหนัก ประสานกันเป็นเครือข่ายในแนวราบเพื่อให้เกิดการเคลื่อไหวกดดันรัฐบาล

ประเด็น ข้อสังเกต - ข้อสงสัย คือ 

1.ถ้ารัฐบาลเลือกที่จะเชิญผู้นำนิสิตนักศึกษาที่เป็นทางการ ไปพูดคุย ข้อสังเกต คือ พวกเขาเป็นตัวแทนของนิสิตนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวในเวลานี้จริงๆเหรอ ? 

2.มีนายกองค์การนิสิตนักศึกษา ประธานสภานิสิตนักศึกษา กี่สถาบันที่ร่วมเคลื่อนไหวกับนิสิตนักศึกษาในเวลานี้ ?

3.หรือรัฐบาลกำลังวางแผนช่วงชิงพื้นที่ ลดกระแสการกดดันจากคนหนุ่มสาว โดยยืมมือผู้นำนิสิตรักษาที่เป็นทางการไปพูดคุยแลกเปลี่ยน หาข้อสรุป แล้วถือเป็นเงื่อนไขว่ามีข้อตกลงร่วม เพื่อทำให้กลุ่มนิสิตนักศึกษาที่เคลื่อนไหวอยู่หมดความชอบธรรม ?

ช่วงนี้มีแต่เรื่องผู้ใหญ่หลอกเด็ก ต้มตุ๋นเด็กจนเปื่อย กินกันจนอิ่มหมีพีมัน แล้วให้เด็กไปล้างจาน

จึงอดสงสัยท่าทีของ สส.ซีกรัฐบาล (พปชร. ปลป.) สว.ลากตั้ง รวมถึง ประธานรัฐสภา ไม่ได้ ว่าต้องการรับฟังนิสิตนักศึกษาจริงๆ หรือ แค่เล่นเกม ลดทอนความชอบธรรมการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักเศรษฐศาสตร์ประเมินมาตรการเศรษฐกิจรับมือผลกระทบ COVID-19 และเศรษฐกิจถดถอย

$
0
0

นักเศรษฐศาสตร์ประเมินมาตรการเศรษฐกิจรับมือผลกระทบ COVID-19 และเศรษฐกิจถดถอย ชี้รัฐบาลต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการควบคุมการแพร่ระบาดของไทย และการเดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างๆ มีความปลอดภัย ปัญหา COVID-19 ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตของผู้คนลดลง 

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 

8 มี.ค. 2563 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและไทยในปีนี้จะมีความไม่แน่นอนสูงมาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จะพัฒนาไปอย่างไรและมีลักษณะผลกระทบแบบปลายเปิด จากการประเมินล่าสุดยังไม่สามารถชี้ชัดว่าจะทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในระดับโลกหรือวิกฤตการณ์ในไทยหรือไม่ แต่แน่นอนมีความเสี่ยงที่จะเกิดมากขึ้นตามลำดับ จึงยังไม่ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ในขณะที่ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อปลายปีที่แล้วที่ระดับ 1.8% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยน่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทางเทคนิคค่อนข้างแน่นอน ส่วนจะถึงขึ้นเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในระดับเดียวกับวิกฤตการณ์ปี 2540 ที่เศรษฐกิจหดตัวติดลบเกือบ -3% ในปี 2540 และหดตัว -7.6 % ในปี พ.ศ. 2541 (คำนวณจีดีพีแบบปริมาณลูกโซ่) และฟื้นตัวเป็นบวกได้ในปี พ.ศ. 2542 นั้นต้องรอประเมินอีกครั้งในเดือนเมษายนซึ่งจะได้เห็นปัจจัยและตัวแปรต่างๆชัดเจนขึ้นและบอกเราได้ว่า เศรษฐกิจจะเจอวิกฤติเศรษฐกิจทั้งปีติดลบหรือไม่และต่อเนื่องกันกี่ปี ตอนนี้ที่คาดการณ์ได้คือติดลบอย่างน้อยสองไตรมาสติดต่อกัน แต่วิกฤตการณ์คราวนี้หากเกิดขึ้นจะแตกต่างจากปี 2540 คราวนี้จะเกิดจะเป็นวิกฤติของเศรษฐกิจฐานรากและคนชั้นกลางระดับล่าง เป็นวิกฤติของภาคเศรษฐกิจจริง ภาคการผลิตภาคท่องเที่ยว ไม่เหมือนวิกฤติปี 40 ที่ใจกลางของวิกฤติอยู่ที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นมากเกินไป มีการลงทุนเกินตัวจนเกิดฟองสบู่และปัญหาหนี้เสียของระบบสถาบันการเงิน 

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ ม. รังสิต กล่าวอีกว่าเศรษฐกิจไทยเวลานี้คาดว่าน่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเชิงเทคนิคแล้วในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบแน่ในไตรมาสแรก และอาจจะติดลบต่อเนื่องในไตรมาสสองติดต่อกัน โดยคาดว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกอาจหดตัวเกือบ 2% การลดลงของภาคการผลิต การใช้จ่ายอุปโภคบริโภค การลงทุน และการส่งออกสินค้าและบริการ และการนำไปสู่การลดลงของการจ้างงาน ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ไทยเคยประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิคจำนวน 4 ครั้งในปี 2540-41 (เกิดวิกฤตการณ์การเงินด้วย), ปี 2551-52, ปี 2556 และ ปี 2557 โดยในปี พ.ศ. 2540-2541 เกิดภาวะถดถอยรุนแรงสุดจนถึงขั้นเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจติดลบสี่ไตรมาสติดต่อกัน 

ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจาก COVID-19 จะช่วยบรรเทาความยากลำบากทางเศรษฐกิจของประชาชนและสถานประกอบการขนาดกลางขนาดเล็กได้บ้าง แต่การใช้วิธีแจกเงินอยู่เรื่อยๆเช่นนี้ เราต้องตระหนักว่าฐานะทางการคลังของไทยไม่ดีเท่ากับสิงคโปร์หรือฮ่องกงซึ่งรัฐบาลมีการเกินดุลงบประมาณมากโดยตลอด สองประเทศนั้นแจกเงินรับมือกับผลกระทบ COVID-19 ได้โดยไม่มีความเสี่ยงเรื่องฐานะการคลังในอนาคต ส่วนมาตรการแจกเงิน 2,000 บาทต้องมีแนวทางชัดเจนเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่เดือดร้อนทางเศรษฐกิจ โดยใช้ฐานของผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบวกกับกลุ่มอาชีพอิสระที่เป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ส่วนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลก็ต้องดึงให้มาอยู่ในฐานข้อมูลเพื่อจะได้ช่วยเหลือให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ให้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติด้วย 

มาตรการส่วนใหญ่ของรัฐบาลยังเป็นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้นเป็นหลัก บรรเทาปัญหามากกว่า เป็นมาตรการลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนทางการเงิน อาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาได้ประมาณ 0.015-0.030% ซึ่งเป็นการเพียงช่วยไม่ให้การทรุดตัวหรือติดลบเกิน 2% การแจกเงินไปที่กลุ่มผู้รายได้น้อยโดยตรงอาจมีความจำเป็นต้องทำในสถานการณ์ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวอย่างเฉียบพลันโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ภาคธุรกิจค้าปลีก แต่ให้ระวังฐานะการเงินการคลังหากใช้มาตรการแบบนี้บ่อยและประชาชนจะเสพติดประชานิยม ไม่ได้ทำให้ประชาชนเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาวแต่อย่างใด เป็นการช่วยแบบสังคมสงเคราะห์ ไม่ได้สร้างระบบหลักประกันทางสังคม ผมจึงไม่เห็นด้วยกับมาตรการลดการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของนายจ้าง หากต้องการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการควรเลือกใช้แนวทางอื่น เพราะการลดการจ่ายสมทบจะทำให้สถานะทางการเงินของระบบประกันสังคมอ่อนแอลงในระยะต่อไป 

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่ามาตรการหรือแนวทางที่สำคัญในช่วงนี้ คือ รัฐบาลต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการควบคุมการแพร่ระบาดของไทย และการเดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างๆ มีความปลอดภัย หากทำให้เกิดความมั่นใจและความเชื่อมั่นเช่นนั้น ปัญหา COVID-19 ก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตของผู้คนลดลง รัฐบาลต้องโปร่งใสและไม่ปิดบังข้อเท็จจริง สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ทำให้มาตรการกระตุ้นการบริโภค หรือ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการมีประสิทธิภาพ ทำให้เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเกิดการหนุมเวียนหลายรอบ ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจะทำหน้าที่ได้ดีเมื่อมีความเชื่อมั่น นอกจากนี้ต้องทำให้เกิด Rule of Law และประชาธิปไตยในประเทศนี้จะทำสถานการณ์ทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ภาคประชาชนออกแถลงการณ์ 'คืนความเป็นธรรม หยุดแทรกแซงผู้พิพากษา สร้างหลักประกันความเป็นอิสระของตุลาการ'

$
0
0

8 มี.ค. 2563 ภาคประชาชน 12 องค์กร ได้ออกแถลงการณ์ 'คืนความเป็นธรรม หยุดแทรกแซงผู้พิพากษา สร้างหลักประกันความเป็นอิสระของตุลาการ'ระบุว่าจากกรณีการเสียชีวิตของนายคณากร เพียรชนะ โดยนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้แถลงว่าได้รับรายงานว่า นายคณากร เพียรชนะ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ ศาลจังหวัดยะลา ได้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเข้าที่บริเวณหัวใจ เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2563 และได้เสียชีวิตลงในเวลา 10.45 น. ที่โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ องค์กรที่ลงชื่อข้างท้ายแถลงการณ์ฉบับนี้ ขอแสดงความไว้อาลัยและความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ และขอเรียกร้องให้สำนักงานศาลยุติธรรมจัดให้มีการเยียวยาและดูแลครอบครัวอันเป็นที่รักของผู้พิพากษาท่านนี้อย่างเต็มกำลังและเหมาะสมตามฐานานุรูปของท่าน

ผู้พิพากษาท่านนี้เคยพยายามฆ่าตัวตายมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยใช้อาวุธปืนยิงที่หน้าอกของตนเอง ในห้องพิจารณาของศาลจังหวัดยะลาเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 เพื่อเรียกร้องให้ยุติระบบของศาลยุติธรรมที่ให้ “ผู้บริหาร” ศาลยุติธรรมสามารถใช้อำนาจเข้าแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีของตุลาการในองค์คณะได้ แต่ในครั้งนั้นแพทย์ได้ช่วยชีวิตผู้พิพากษาไว้ได้ หลังจากนั้นผู้พิพากษาท่านนี้ได้ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนและถูกย้ายไปช่วยราชการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ แต่คำถามและข้อกังขาของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ในเรื่องการแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีขององค์คณะโดยผู้บริหารของศาลยังไม่มีคำตอบ แต่กลับมีการสอบสวนและตั้งข้อหาในคดีอาญาต่อผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ทำให้เห็นว่ากลไกการร้องเรียนเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมของระบบตุลาการบกพร่องไปอย่างมาก ไม่มีข้อมูลว่าผู้พิพากษาระดับอธิบดีภาค  ที่เป็นผู้บริหารศาลที่ถูกพาดพิงว่าแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีองค์คณะของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ถูกตั้งกรรมการสอบสวนด้วยหรือไม่ และเหตุใดจึงมีการตั้งข้อหาในคดีอาญาต่อผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ดังปรากฎเป็นข้อความหนึ่งในจดหมายลาที่เผยแพร่ในเฟสบุ๊กของผู้พิพากษาท่านนี้เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2563 ว่า “ผมถูกศาลยุติธรรมตั้งกรรมการสอบสวน และยังถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา”

ตามหลักนิติธรรม และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อที่ 14 และภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ได้รับรองความเป็นอิสระของศาลในมาตรา 188 วรรคแรก การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอํานาจของศาล ซึ่งต้องดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ และวรรคสอง ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง แต่ระเบียบว่าด้วยการรายงานคดีสำคัญในศาลชั้นต้นและศาลชั้นอุทธรณ์ต่อประธานศาลฎีกาและการรายงานคดีและการตรวจสำนวนคดีในสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค พ.ศ. 2562 กำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจตรวจสำนวนคดีหลายประเภทของผู้พิพากษา รวมถึงอำนาจในการตรวจร่างคำพิพากษาหรือคำสั่ง

เมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน 2560 กับรัฐธรรมนูญ 2540 พบว่ารัฐธรรมนูญ 2540 มีบทบัญญัติรับรองและประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาที่กำหนดรายละเอียดเพื่อคุ้มครองความเป็นอิสระของผู้พิพากษา รวมทั้ง บทบัญญัติ มาตรา 236 ที่ว่าการนั่งพิจารณาคดีของศาลต้องมีผู้พิพากษาหรือตุลาการครบองค์คณะ และผู้พิพากษาหรือตุลาการซึ่งมิได้นั่งพิจารณาคดีใด จะทำคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยคดีนั้นมิได้ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ  มาตรา 249 วรรคสอง การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาและตุลาการไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาตามลำดับชั้น มาตรา 249 วรรคสาม การจ่ายสำนวนคดีให้ผู้พิพากษาและตุลาการ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติ และมาตรา 249 วรรคสี่ การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี จะกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี เป็นต้น

แม้ว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และ 2560 ที่ถูกนำมาใช้แทนก็ยังคงไว้ซึ่งหลักการและเจตนาใน “ความเป็นอิสระของตุลาการ” รวมทั้งหลักการสี่ประการนี้จะเป็นหลักประกันไม่ให้ผู้พิพากษาที่เป็นระดับผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ใช่องค์คณะในคดีหนึ่งหรือมิได้นั่งพิจารณาในคดีใด เข้ามาแทรกแซงการทำคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยได้ ยืนยันให้ผู้พิพากษาที่ทำหน้าที่ไม่ถูกเรียกคืนสำนวนหรือการโอนสำนวนคดี ไม่ให้ผู้บริหารของศาลมีอำนาจมอบหมายคดีหนึ่งให้กับผู้พิพากษาบางรายเป็นการเฉพาะ และให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาและตุลาการไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ดังนั้นระเบียบว่าด้วยการรายงานคดีฯ ดังกล่าวข้างต้น น่าจะขัดแต่หลักความเป็นอิสระของศาลและตุลาการ การพิจารณาพิพากษาคดีขององค์คณะที่รับผิดชอบสำนวนคดี กระทำอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่การตรวจร่างคำสั่งหรือคำพิพากษาโดยผู้บริหารของศาลยุติธรรมซึ่งอาจมีผลทำให้องค์คณะที่พิจารณาพิพากษาต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งพิพากษา กระทำในลักษณะที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ จึงอาจง่ายที่จะถูกแอบแฝงโดยบุคคล หน่วยงาน หรือฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลเพื่อแทรกแซงหรือครอบงำตุลาการได้

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงที่กองทัพยึดอำนาจรัฐและจัดตั้งระบอบเผด็จการทหารขึ้นปกครองประเทศ มีเหตุการณ์ การดำเนินคดี และการพิจารณาพิพากษาคดีโดยกระบวนการยุติธรรมไทยถูกตั้งข้อสงสัยจากทั้งในประเทศและโดยนานาประเทศ ถึงความเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซง โปร่งใสและความสามารถของกระบวนการยุติธรรมไทยตลอดมา ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมลดน้อยถอยลงโดยลำดับ  ในคดีความมั่นคงและคดีที่เรียกกันในหมู่นักกฎหมายว่า “คดีนโยบาย” ก่อนที่องค์คณะจะผ่านคำพิพากษา จะต้องส่งร่างคำพิพากษาให้ผู้บริหารของศาลตรวจสอบเสียก่อนและสามารถที่จะขอหรือ “แนะนำ” ให้องค์คณะปรับเปลี่ยนคำพิพากษาได้ โดยที่ระบบของศาลยุติธรรมเป็นระบบ “แบบราชการ” (Bureaucracy)  “คำแนะนำ” ย่อมมีผลไม่แตกต่างจาก “คำสั่ง” ของผู้บังคับบัญชา  เมื่อ “คำแนะนำ” ของผู้บริหารของศาลยุติธรรม มีผลในการปรับเปลี่ยนคำพิพากษาขององค์คณะได้ ทำให้ผู้เสียหาย จำเลยและทนายความในคดีอาญาบางท่าน ได้ตั้งคำถามว่า รัฐบาล กองทัพซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร สามารถแทรกแซงฝ่ายตุลาการโดยผ่าน “ผู้บริหาร”ของศาลยุติธรรมได้หรือไม่ กรณีคำสั่งคดีการไต่สวนการตายในเหตุการณ์ตากใบ คดีความมั่นคงหลายคดี ทั้งในจังหวัดชายแดนใต้และในช่วงการครองอำนาจของรัฐบาลทหาร คสช. เป็นคำสั่งหรือคำพิพากษาที่สะกิด กระทั่งตอกย้ำความรู้สึกดังกล่าว

ดังนั้น ศาลยุติธรรม จึงควรพิจารณาทบทวนและยกเลิก ระเบียบ คำสั่ง การดำเนินการใดๆที่อาจมีผลเป็นการแทรกแซง ครอบงำ ความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีของตุลาการในองค์คณะผู้พิพากษาโดยเร็ว โดยยึดมั่นหลักการ “ความเป็นอิสระของตุลาการ” ตามหลักสิทธิมนุษยชน นิติธรรม และหลักการและเจตนารมณ์ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเคร่งครัด นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนบางสื่อ บางคน ได้โปรดเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้ตายและครอบครัว ละเว้นการใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามและเสียดสีเยาะเย้ยผู้ตาย โดยโปรดยึดมั่นในจรรยาบรรณทางวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด

การทำอัตวินิบาตกรรมของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะในวันที่ 7 มี.ค. 2563 มิใช่สิ่งที่บุคคลทุกคนพึงปรารถนาที่จะเห็น แต่ข้อเรียกร้องของผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ที่ให้ยกเลิกระบบการแทรกแซงความเป็นอิสระของตุลาการยังไม่สำเร็จ และนี่คือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ ฯพณฯ ประธานศาลฎีกาและคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) จะต้องปฏิรูประบบตุลาการโดยทันที เพื่อประกันความเป็นอิสระของตุลาการในการพิจารณาพิพากษาคดี ทั้งจากฝ่ายบริหารและจากบุคคลนอกองค์คณะ เรียกความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อศาลคืนมา และเพื่อให้ประชาชนแน่ใจว่าการละเมิดหรือละเลยหลักแห่งความยุติธรรม การปิดบังความไม่เป็นธรรมที่ยังดำรงอยู่อย่างซ่อนเร้นในสถาบันศาลยุติธรรม จะได้รับการแก้ไข เพื่อให้ศาลสามารถทำหน้าที่ตามหลักนิติธรรม เป็นสถาบันหลักของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน สามารถเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนคืนมา จนประชาชนสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากและภาคภูมิใจว่า ศาลจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนได้

ด้วยจิตคารวะ
8 มี.ค. 2563
กรุงเทพมหานคร

องค์กรที่ลงชื่อ:
1.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
2.มูลนิธิสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
3.ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 
4.มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
5.สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)
6.สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน(สสส.)
7.เครือข่ายปฏิรูปตำรวจ (Police Watch)
8.เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP)
9.กลุ่มด้วยใจ (Duayjai Group)
10.สถาบันเพื่อการปฎิรูปกระบวนการยุติธรรม(สปยธ.)
11.เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD) 
12.กลุ่มโรงน้ำชา

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

บ้านคือวิมานของเรา | หมายเหตุประเพทไทย EP.304

$
0
0

ชานันท์ ยอดหงษ์ และติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง ยกตัวอย่างโครงการที่อยู่อาศัยในต่างประเทศที่ตอบโจทย์นโยบายที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนธรรมดา โดยเฉพาะโครงการเคหะ Red Vienna ประเทศออสเตรีย และ British Council Housing ของอังกฤษ ทั้งนี้โครงการที่อยู่อาศัยมักได้ผลดีหากเป็นการดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมสวัสดิการและตอบสนองความต้องการของประชาชน ในขณะที่แนวคิดเสรีนิยมใหม่อาจทำให้การเข้าถึงที่อยู่อาศัยกลายเป็นงานลำบากแถมยังต้องสู้กับดอกเบี้ยและหนี้สินกับธนาคารเกือบตลอดอายุขัยของมนุษย์คนหนึ่ง

หมายเหตุประเพทไทยทาง YouTube

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยได้ที่
Facebook
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
YouTube เพลยลิสต์ หมายเหตุประเพทไทย
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จัดไว้อาลัย 'คณากร'ที่ 'มธ.-มช.' ผู้พิพากษาที่ยิงตัวตายประท้วงความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรม

$
0
0

นักศึกษาและประชาชนที่ 'มธ.-มช.'จัดไว้อาลัย 'คณากร'ผู้พิพากษาที่ยิงตัวตายประท้วงความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรม

8 มี.ค.2563 จากกรณี คณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ที่เคยก่อเหตุยิงตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัสในห้องพิจารณาคดี ที่ศาลจังหวัดยะลาเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 หลังจากออกมาร้องเรียนและกล่าวหาบุคคลในสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 9 ว่ามีพฤติกรรมแทรกแซงคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกนำส่งโรงพยาบาลเช้าวันนี้ (7 มี.ค.) เนื่องจากยิงตัวเองอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาเสียชีวิต โดยที่ก่อนก่อเหตุดังกล่าว คณากร โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ค ถึงความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง โดยตนถูกศาลยุติธรรมตั้งกรรมการสอบสวน และยังถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา เป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาและเขาเชื่อว่าต้องถูกลงโทษออกจากราชการเป็นแน่ นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ช่วงเย็น ที่ลานประติมากรรม 6 ตุลา (ข้างคณะนิติศาสตร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์  มีการจัดงานรำลึกถึงคณากร โดยในงานมีการปราศรัย เชิญชวนบริจาคเงินเป็นทุนการศึกษาให้บุตรของคณากร และร่วมกันร้องเพลง แสดงออกทางสัญลักษณ์ โดยมีประชาชนมาร่วมงานราวหนึ่งร้อยกว่าคน

นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคไทยรักษาชาติ มาร่วมงานรำลึกพร้อมนำภาพสเก็ตช์ของคณากรมาร่วมงาน เขากล่าวว่าการเสียชีวิตของคณากร สะท้อนถึงกระบวนการยุติธรรมที่สั่นคลอน นึกย้อนถึง สืบนาคะเสถียร ที่เสียสละชีวิตเพื่อให้คนตระหนักถึงเรื่องธรรมชาติและป่าไม้

คณากรเสียสละตนให้คนมองถึงระบบยุติธรรมว่ามีปัญหาอะไรที่ต้องได้รับการแก้ไข ตรวจสอบอย่างจริงจัง บุคลากรฝ่ายยุติธรรมเองก็ต้องลงจากหอคอยงาช้าง เพราะว่าพวกเขาก็กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ศาลก็คือมนุษย์ อย่าวางตัวเป็นเทวดาแลถต้องยอมรับการตรวจสอบ

ตัวแทนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย มหิดล ศาลายา กล่าวปราศรัยว่า คณากรไม่ได้เป็นเพียงผู้พิพากษา แต่ยังเป็นพลเมืองดี เคารพกฎหมายบ้านเมืองและเชื่อในความยุติธรรม การเสียชีวิตของเขาที่จุดให้คนตระหนักถึงปัญหาในกระบวนการยุติธรรมนั้นถือเป็นเกียรติสูงสุด แสดงให้เห็นว่าประเทศนี้ไม่เหลือความยุติธรรมเลย จะยังเหลืออะไรในประเทศนี้บ้างที่พอจะพูดได้ในทางที่ดี สิ่งที่คณากรบอกเราเมื่อวานก็คือ มันไม่มีอะไรอีกแล้ว ท่านเหมือนไฟที่ลุกโชนขึ้นวินาทีหนึ่ง ที่จุดเทียนให้คนในประเทศนี้เห็นแสงสว่างต่อไป ให้เห็นว่าเราสู้เพื่ออะไร ก็คือเพื่อให้ประชาชนไทยทุกคนที่อยุ่ใต้ระบอบอยุติธรรมเช่นนี้ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมของประเทศนี้

สหรัฐ จันทสุวรรณ ศิลปากรวังท่าพระ หนึ่งในผู้ปราศรัยกล่าวว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงอำนาจที่ไร้ความชองธรรมได้อย่างประจักษ์แจ่มแจ้ง ชัดเจน ขอแสดงความอาลัยสุดซึ้งแก่คณากร ผู้เสียสละชีวิตเพื่อคงไว้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจตุลาการ หนึ่งใน 3 อำนาจหลักที่ประชาชนเป็นเจ้าของ

สหรัฐ ชี้ว่า เราเห็นถึงความอยุติธรรม อำนาจที่กดขี่ข่มเหงประชาชน เห็นถึงการที่ผู้ใช้อำนาจผู้ไร้ซึ่งมนุษยธรรม ทำการแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ของบางคน โดยต้องแลกกับหนึ่งชีวิตที่สามารถสร้างประโยชน์ให้พี่น้องประชาชนมากมายมหาศาล อยากจะเปรียบความถูกต้องให้เป็นเสมือนทองคำ แม้ถูกไฟเผาแรงแค่ไหน ถูกตี ตะบันให้ยีย่ำสักเท่าใด ทองคำก็คือทองคำอยู่วันยังค่ำ คณากรก็จะเป็นเช่นทองคำ อำนาจที่เหยียบย่ำผู้บริสุทธิ์อย่างไร้มนุษยธรรม จะต้องแพ้อำนาจความชอบธรรมจากประชาชนในที่สุด

อารีฟีน โซ๊ะ นักกิจกรรมจากปัตตานี กล่าวว่า พื้นที่สาม จ. ชายแดนใต้อยุ่ภายใต้อำนาจกระบอกปืน ท็อบบู๊ตมา 16 ปี คณากรเองก็เคยทำงานใน จ.ยะลา หนึ่งในพื้นที่ที่เกิดเหตุการความมั่นคง

วันที่ 7 มี.ค. จะถูกจารึกไว้เหมือนที่ สมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่ไม่ต้องการให้อำนาจทหารเหนือไปกว่าอำนาจยุติธรรมปกติ ผู้หายตัวไปในวันที่ 12 มี.ค. 2547

อารีฟีน เล่าว่า ตนมาจากพื้นที่ทดลองความมั่นคง ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้มาตรการความมั่นคงกับพลเมืองตัวเอง เจอการปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออก วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด จับแพะ ตรวจดีเอ็นเอโดยจำยอม เหวี่ยงแหจับกุม ข่มขู่คุกคามและปฏิบัติการไอโอ สิ่งเหล่านี้หล่อเลี้ยงความรุนแรงมาตลอด 16 ปี

สิ่งที่คณากรพบเป็นเพียงยอดขภูเขาน้ำแข็ง เราจะขุดทำลายภูเขานี้อย่างไร เาต้องร่วมกันทำลายและสร้างอนาคตที่ดี วันนี้พื้นที่ทดลองความมั่นคงได้ขยายไปทั่วประเทศ ทหารมีอำนาจนำในทุกพื้นที่แล้ว ขอไว้อาลัยให้คุณคณากร สดุดีผู้กล้าที่เสียสละเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ถึงผู้ที่ตายแล้ว ผู้ที่ตายทั้งเป็น จากนี้เราจะต่อสู้ไปด้วยกันเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

ผู้ปราศรัยคนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า คุกไทยถูกกล่าวขานไว้ว่ามีไว้ขังคนจน เพราะความยุติธรรมอยู่สุดเอื้อมมือคนจน การขึ้นศาล จ้างทนาย ดำเนินคดีใดๆ หมายความว่าคนจนต้องหยุดงาน มีค่าใช้จ่าย ในขณะที่เจ้าสัวถูกอุ้มไว้ด้วยกฎหมายที่เหมือนอำนาจศักสิทธิ์ อารักขาไว้ในผืนป่าที่แทบไร้รอยต่อ

การรัฐประหารครั้งแล้วเล่า กระตุกไม่ให้เราลุกขึ้นยืน กลืนฝัน อนาคตและชีวิต สิ่งนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่ใช่ความยุติธรรม การปิดปาก ปิดตา หู และแม้กระทั่งความคิดของประชาชนไม่ให้เลือกเส้นทางเดินตัวเอง ไม่ให้มีผู้แทนที่รับฟังเสียงของเราคือระบอบเผด็จการ ขอให้ทุกท่านจำไว้ว่าเขาชื่อคณากร เพียรชนะ ทุกคำสบประมาทอำนาจประชาชน จะไม่ชนะเหนือประชาชนได้ กาฝากประชาธิปไตยคงใกล้สิ้นเผ่าพงษา ทุกชีวิตวีรชนจะเป็นตำนาน แม่ไม่มีอนุสาวรีย์ แต่เรื่องเล่าจะเล่ากันปากต่อปากชั่วนิรันดร์

เมื่อปราศรัยเสร็จสิ้น ผู้ชุมนุมเปิดแฟลชโทรศัพท์ ร่วมร้องเพลง 'เพื่อมวลชน'และ Do you hear the people sing? จากนั้นจึงแยกย้ายกัน

มช.จัดไว้อาลัย

ขณะที่ลานคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงเย็นที่ผ่านมา ก็มีการจัดกิจกรรมร่วมไว้อาลัยแด่ผู้พิพากษา คณากร #กับความยุติธรรมที่หายไป มีผู้เข้าร่วมจุดเทียนวางดอกไม้ไว้อาลัย

เพจ ชมรมประชาธิปไตย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำข้อความบางส่วนของ คณากร ที่โพสต์ไว้ก่อนเสียชีวิตมาเผยแพร่ต่อว่า “ในอดีตเราใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ถูกร่างขึ้นโดย สสร. ประชาชนและนักวิชาการทั้งหลายต่างยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่ประเทศเราเตยมีมา ท่านคงสงสัยว่าขณะใช้รัฐธรรมนูญดังกล่าวทำไมจึงไม่ให้มีการตรวจร่างคำพิพากษาในศาลชั้นต้น เพราะอะไร หรือ สสร. รู้ว่า การตรวจร่างคำพิพากษาในศาลชั้นต้นอาจเปิดโอกาสให้มีการแทรกแซงผลคำพิพากษาโดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค”(คณากร เพียรชนะ, 2020)

บรรยากาศงานบำเพ็ญกุศล

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก วัดสันทรายมูล อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ โดยช่วงค่ำวันนี้มีการแสดงพระธรรมเทศนาและพระอภิธรรม ผู้พิพากษา คณากร โดย ตามกำหนดการจะมีพิธีประชุมเพลิงในวันที่ 11 มี.ค.นี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'บูรณาการแรงงานสตรี'ร้องรัฐบาล 13 ข้อ เนื่องในวันสตรีสากล

$
0
0

กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี เรียกร้องรัฐบาล 13 ข้อ รับรองสิทธิฯ สากลว่าด้วยความเป็นมารดา ขจัดความรุนแรงและล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน สิทธิฯลูกจ้างทำงานบ้าน แรงงานที่รับไปทำที่บ้าน ให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 180 วันและผู้ชายลาไปดูแลภรรยาได้ 30 วันโดยได้รับค่าจ้าง 100% รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขให้ประชาชนได้รับสิทธิฯ ฯลฯ

ภาพจากเครือข่าย

8 มี.ค.2563 เนื่องในวันสตรีสากล ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงบ่าย กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี และองค์กรเครือข่าย จัดกิจกรรมรณรงค์จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทำเนียบรัฐบาล ประตู 5 เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง 13 ข้อ โดยมีตัวแทนนายกฯออกมารับข้อเรียกร้อง

เนชั่นรายงานด้วยว่า ธนพร วิจันทร์ ประธานกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี กล่าวข้อเรียกร้องทั้ง13 ข้อนี้มีบางข้อที่เคยยื่นไปตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ครั้งนี้ตั้งใจจะมายื่นอีกครั้ง

สำหรับข้อเรียกร้อง 13 ข้อประกอบด้วย 

1. รัฐต้องรองรับอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา

2. รัฐต้องกำหนดให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 180 วันโดยได้รับค่าจ้าง 100% และให้ผู้ชายลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วันโดยได้รับค่าจ้าง 100%

3. รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน

4. รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้านและอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 177 ว่าด้วยแรงงานที่รับไปทำที่บ้าน โดยได้รับการคุ้มครองอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม

5. รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขให้ประชาชนได้รับสิทธิทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยต้องมีส่วนร่วมของทุกกลุ่ม ทุกเพศสภาพ

6. รัฐต้องจัดให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนอย่างทั่วถึงมีคุณภาพ ปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดให้สอดคล้องกับวิธีการทำงาน

7. รัฐต้องมีมาตรการแก้ไขการละเมิดสิทธิแรงงานสร้างความมั่นใจในการทำงานและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม

8. รัฐต้องให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปี

9. รัฐต้องกำหนดสัดส่วนผู้หญิงและเพศสภาพในการตัดสินใจของคณะกรรมการทุกมิติทุกระดับอย่างน้อย 1 ใน 3

10. รัฐต้องกำหนดให้คนพิการเข้าถึงสิทธิการบริการที่เท่าเทียมกับคนทั่วไป

11. รัฐต้องจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้หญิงและเด็กใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในที่สาธารณะ

12. รัฐต้องเคารพสิทธิการพัฒนาของประชาชน และคุ้มครองนักต่อสู้ผู้หญิงด้านสิทธิแรงงานสิทธิชุมชนและเกี่ยวกับสิทธิฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อม

13. รัฐต้องกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันหยุดตามประเพณี

สำหรับแถลงการณ์ ของของกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี มีรายละเอียดดังนี้

คำประกาศเจตนารมณ์และข้อเรียกร้อง 8 มีนา ุ- ของกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี

น้องหญิงชายและทุกเพศสภาพอันเป็นที่รัก และเคารพยิ่งทั้งหลาย..... 

“วันสตรีสากล” ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ขบวนผู้หญิงทั่วโลกได้ร่วมรำลึกเฉลิมฉลองวันที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์นี้มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน สำหรับปี 256๓ นี้ กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรีร่วมกับองค์กรเครือข่ายหลากหลายภาคส่วน จัดกิจกรรมวันสตรีสากล เพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันมีพลังสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนงานหญิง และเพื่อขับเคลื่อนการต่อสู้ในยุคสมัยปัจจุบันไปสู่ความเสมอภาคระหว่างเพศและคุณภาพชีวิตที่ดีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 

วันสตรีสากล ก่อกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของคนงานหญิงในโรงงาน 
สิ่งทอที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากสภาพการทำงานที่เลวร้าย จึงได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้างและปรับปรุงสภาพการทำงานรวมทั้งลดเวลาทำงานให้เหลือวันละ 8 ชั่วโมง หรือระบบสามแปด การประท้วงหลายครั้งจบลงด้วยการใช้ความรุนแรงต่อคนงานหญิง

อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องได้แพร่หลายและได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก ในเวทีการประชุมสมัชชานักสังคมนิยมหญิงนานาชาติ “คลารา เซทคิน” ซึ่งเป็นผู้นำในการต่อสู้และผู้นำคนหนึ่งของสมัชชาฯ จึงได้เสนอให้ วันที่ 8 มีนาคม เป็น “วันสตรีสากล” เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ดังกล่าว และได้รับการสนับสนุนจากที่ประชุมอย่างเป็นเอกฉันท์ ซึ่งต่อมาสหประชาชาติได้มีการรับรองเป็นวันสตรีสากล 

ผู้หญิงแทบทุกประเทศทั่วโลก ต่างใช้วันสตรีสากลเป็นสัญลักษณ์ เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการต่อสู้ และแสดงความมุ่งมั่นที่จะขจัดอุปสรรคที่ยังมีอยู่  ซึ่งในประเทศไทยได้ขยายตัวเป็นพลังของขบวนหญิงชาย และทุกเพศสภาพ ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นคน  พลังกว้างขวางเพิ่มจากแรงงานในระบบอุตสาหกรรม ไปสู่คนทำงานหญิงหลากหลายสาขาอาชีพ รวมทั้งชาวไร่ ชาวนา เกษตรกร นำมาสู่การเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมของหญิงชาย สิทธิมนุษยชน และคุณภาพชีวิตของทุกคน 

วันนี้เรามารวมพลังกันเพื่อส่งเสียงความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนของพี่น้องผู้หญิงทุกภาคส่วนที่ถูกกระทำถูกละเมิดสิทธิ เพื่อย้ำเตือนถึงพลังแห่งความต้องการการเปลี่ยนแปลง เสียงของเราจะไปถึงพี่น้องของเราถึงประชาชนทุกภาคส่วนในสังคมไทย และถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมือง นั่นก็คือรัฐบาล เสียงของผู้หญิงทุกกลุ่ม ทุกภาค ทุกสาขาอาชีพ เพื่อนำเสนอคุณภาพชีวิตคนทำงานหญิงต้องยั่งยืนและมีความเสมอภาคระหว่างเพศ 

ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากร ซึ่งเป็นหญิงมากกว่าประชากรชาย การออกแบบแนวทางการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนระบอบการเมืองและการบริหารประเทศย่อมส่งผลต่อประชากรหญิงจึงสำคัญอย่างยิ่ง ผู้หญิงไม่เพียงแต่ต้องเผชิญปัญหาที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับผู้ชาย เช่น ความยากจน การไม่มีที่ดินทำกิน ปัญหาการถูกแย่งชิงฐานทรัพยากรจากนโยบายของรัฐ  การถูกลิดรอนสิทธิชุมชน การไม่มีส่วนร่วมในการจัดการและการตัดสินใจ การเข้าไม่ถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และความไม่ปลอดภัยจากความรุนแรงในสถานการณ์สามจังหวัดภาคใต้  

ขณะเดียวกันผู้หญิงยังต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะ เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงทางเพศ การค้ามนุษย์ ที่มีสาเหตุจากอคติทางเพศ และการปิดกั้นโอกาสที่เท่าเทียมบนหลักการความเสมอภาคระหว่างเพศ ทั้งยังขาดมาตรการที่ปฏิบัติได้จริงในการส่งเสริมโอกาสให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกมิติทุกระดับในทางการเมืองการบริหาร และการกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศ เราต้องการให้สังคมตระหนักว่า ยังมีปัญหาการละเมิดสิทธิอย่างรุนแรงต่อผู้ใช้แรงงานในระบบ นอกระบบ ทั้งภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ แรงงานข้ามชาติ กลุ่มผู้ป่วยจากการทำงาน กลุ่มที่ต่อสู้เพื่อสิทธิในการจัดการฐานทรัพยากร ป่าไม้ ที่ดิน เหมืองแร่ น้ำ ในขอบเขตทั่วประเทศ ผู้หญิงที่เข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม ครอบครัวที่ถูกอุ้มหายจากการต่อสู้ ผู้หญิง ผู้พิการ กลุ่มผู้หญิงชนเผ่า กลุ่มผู้หญิง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสี่ยงภัยความรุนแรง กลุ่มผู้หญิงชาวไร่ ชาวนา กลุ่มผู้หญิงคนจนเมืองคนสลัม กลุ่มผู้หญิงเยาวชน กลุ่มความหลากหลายทางเพศ รวมถึงปัญหาของเด็ก ลูกหลานครอบครัวของเรา  

การนำเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่า รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของเรา แต่เราไม่เคยท้อถอย รัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน ต้องฟังเสียงผู้หญิงและทุกเพศสภาพ  พวกเราเชื่อมั่นว่า ข้อเสนอของเราที่ต้องเน้นหลักการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ความยั่งยืนของผู้หญิงทำงาน และต้องมีความเสมอภาคระหว่างเพศ เป็นข้อเสนอที่ชัดเจน ชอบธรรม และเป็นประโยชน์ต่อทุกคน และต่อการพัฒนาประเทศ 

ปัจจุบันนี้สถานการณ์ฝุ่น P.M 2.5 สถานการณ์ของเชื้อไวรัส โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย ทุกเพศสภาพ และประชาชนทุกกลุ่มของสังคม แต่มาตรการของรัฐบาลที่ออกมาประชาชนไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกัน เช่นหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ซึ่งเป็นอุปกรณ์พื้นฐานป้องกันเบื้องต้นประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเอง ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลจัดหาอุปกรณ์ป้องกันให้กับประชาชนทุกคนได้อย่างทั่วถึง 

พี่น้องหญิงชายทุกเพศสภาพทั้งหลาย ผู้ที่เป็นแม่ เป็นเมีย เป็นลูก พี่น้องทุกคนของเรา เราจะไม่ยอมจำนนต่อการกระทำของกลุ่มที่เอาแต่ผลประโยชน์ ไม่ว่ากลุ่มทุน กลุ่มนักการเมือง ข้าราชการหรืออำนาจพิเศษใด ๆ เราจะต้องปกป้องสิทธิความชอบธรรมของตนเอง เราต้องกำหนดอนาคตของเราเอง  

เนื่องในโอกาสครบรอบวันสตรีสากล 2563 กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรีขอยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลจำนวน 13 ข้อดังนี้ 
1. รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา 
2. รัฐต้องกำหนดให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 180 วัน โดยได้รับค่าจ้าง 100% และให้ผู้ชายลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน  โดยได้รับค่าจ้าง 100% 
3. รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน 
4. รัฐต้องรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้านและ อนุสัญญา ILO ฉบับที่ 177 ว่าด้วยงานที่รับไปทำที่บ้าน เพื่อให้แรงงานนอกระบบ ได้รับการคุ้มครองอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม 
5. รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขให้ประชาชนได้รับสิทธิทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมด้วยมีส่วนร่วมทั้งชาย หญิง ทุกกลุ่มทุกเพศสภาพ 
6. รัฐต้องจัดให้มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ ปรับเปลี่ยนเวลาปิด-เปิด ให้สอดคล้องกับวิถีการทำงาน 
7. รัฐต้องมีมาตรการ การแก้ไขละเมิดสิทธิแรงงาน สร้างความมั่นใจในการทำงานและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม 
8. รัฐต้องให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปี 
9. รัฐต้องกำหนดสัดส่วนผู้หญิงและเพศสภาพในการตัดสินใจของคณะกรรมการทุกมิติ ทุกระดับ อย่างน้อย 1 ใน 3  
10. รัฐต้องกำหนดให้คนพิการเข้าถึงสิทธิการบริการที่เท่าเทียมกับคนทั่วไป 
11. รัฐต้องจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้หญิงและเด็กใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และในที่         
       สาธารณะ 
12. รัฐต้องเคารพสิทธิการพัฒนาของประชาชนและคุ้มครองนักต่อสู้ผู้หญิงด้านสิทธิแรงงาน  
      สิทธิชุมชน และเกี่ยวกับสิทธิฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อม 
13.รัฐต้องกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันหยุดตามประเพณี  

ทุกอย่างไม่ได้มาด้วยการร้องขอ แต่ต้องได้มาจากการรวมพลังต่อสู้ผลักดัน สามัคคีกัน แสดงความกล้าหาญ ในการลุกขึ้นต่อสู้ให้พวกที่กดขี่ ขูดรีดเอาเปรียบเรา ได้รับรู้ว่า เราเป็นคนมีศักดิ์ศรี เราต้องมีสิทธิเสรีภาพ และเราต้องได้รับความเป็นธรรมในทุก ๆ ด้าน  ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน 

“ผู้หญิงต้องกำหนดอนาคตตนเอง” 
ด้วยความเชื่อมั่นพลังการต่อสู้ 
8 มีนาคม 2563

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

วันสตรีสากลอังกฤษ คนงานบริการทางเพศเรียกร้องการรับรองทางกฎหมาย

$
0
0

ในวันสตรีสากล 2020 มีเรื่องราวการเคลื่อนไหวของของสหภาพคนทำงานบริการทางเพศในอังกฤษ ที่เพิ่งจะเรียกร้องเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงานเป็นผลสำเร็จ โดยที่คนงานเหล่านี้เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้การทำงานบริการทางเพศได้รับการรองรับว่าถูกกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบในอังกฤษ

ที่มา: United Voices of the World/Twitter @UVWunion

เป็นปีที่ 3 แล้วที่สายงานคนทำงานบริการทางเพศของสหภาพยูไนเต็ตวอยซ์ออฟเดอะเวิร์ลด์ (united voices of the world - UVW) ทำการประท้วงหยุดงานและเข้าร่วมขบวนของวันสตรีสากลในอังกฤษ พวกเขาเรียกร้องให้มีงานบริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมายโดยครอบคลุมทั้งหมด และให้ยอมรับสิทธิในการที่คนทำงานเหล่านี้จะสามารถลาหยุดได้โดยยังคงได้รับค่าจ้าง สิทธิในการได้รับสวัสดิการหลังเกษียณอายุ และการันตีค่าแรงขั้นต่ำ

ถึงแม้ว่าในประเทศอังกฤษและแคว้นเวลส์จะจัดว่าการซื้อและการขายบริการทางเพศเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย แต่กิจกรรมส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการเงินในเรื่องนี้ยังผิดกฎหมาย เช่น มีการห้ามเสนอขายบริการในที่สาธารณะ หรือการเสนอขายในที่สาธารณะให้กับผู้ที่สัญจรไปมา นอกจากนี้การเป็นผู้จัดการสถานบริการทางเพศยังถูกทำให้ผิดกฎหมายอยู่ ซึ่งผู้ที่เสนอขายบริการทางเพศตามถนนอาจจะถูกปรับได้ในการกระทำผิดครั้งแรกเป็นเงิน 500 ปอนด์ (20,500 บาท)

หนึ่งในอีกประเด็นที่พูดถึงคือความยากลำบากในการที่คนทำงานบริการทางเพศจะสามารถมีรายได้มากพอดำรงชีวิตได้ มีการยกตัวอย่างเรื่องราวของ จูโน แมค หญิงอายุ 30 ปีที่ทำงานบริการทางเพศมาเป็นเวลา 10 ปี บอกว่าเธอต้องทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะมีรายได้มากพอจะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เธอเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมเดินขบวนในวันสตรีสากล เธอบอกว่ากลุ่มคนทำงานบริการทางเพศต้องทำงานหนักเพื่อที่จะมีความมั่นคงในงานเพราะทั้งนายจ้างและรัฐบาลต่างก็ปฏิเสธที่จะให้ความมั่นคงทางการงานของคนบริการทางเพศ

นอกจากนี้แมคยังพูดถึงปัญหาสภาพการจ้างงานที่บีบให้คนทำงานบริการทางเพศต้องทำงานในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย นอกจากนี้การทำให้สถานที่ทำงานและผู้ใช้บริการของพวกเธอผิดกฎหมายยังกลายเป็นการกีดกันไม่ให้พวกเธอสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและกระบวนการยุติธรรมได้ในยามที่พวกเธอต้องเผชิญกับความรุนแรง นอกจากนี้ยังพูดถึงว่างานในอุตสาหกรรมทางเพศไม่ควรจะกลายเป็นสถานที่ของการกดขี่ข่มเหงถึงแม้ว่าจะมีการกดขี่แบบนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว

แมคยังกล่าวอีกว่ากรณีการปรับลดงบประมาณสวัสดิการประชาชนนั้นทำให้ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้หญิง กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ผู้อพยพ คนผิวสี และคนพิการ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประชาคมสตรีนิยมหันมาสนใจทำให้งานบริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แมคยังระบุอีกว่างานบริการทางเพศก็เหมือนกับงานอื่นๆ ที่ผู้หญิงทำแล้วถูกสังคมลดทอนคุณค่า เช่น งานทำความสะอาด งานเลี้ยงดูเด็ก หรืองานทำอาหาร

ชิรี ชัลมี ผู้จัดตั้งสหภาพฝ่ายงานบริการทางเพศของ UVW กล่าวว่าการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการหยุดงานประท้วงเริ่มส่งผลทางบวกบ้างแล้วในภาคพื้นดิน "พวกเราต้องการให้มีการยอมรับงานทุกรูปแบบที่ผู้หญิงทำ"

จากผลการสำรวจโพลในอังกฤษระบุว่าชาวอังกฤษสนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนทำงานบริการทางเพศมากเป็นประวัติการณ์ในปี 2562 โดยผลสำรวจระบุว่าชาวอังกฤษร้อยละ 49 เห็นด้วยกับการทำให้การเป็นเจ้าของโรงแรมค้าประเวณีถูกกฎหมาย และร้อยละ 44 เห็นด้วยกับการที่คนทำงานบริการทางเพศควรค้าประเวณีแบบเดินบนถนนได้อย่างถูกกฎหมาย

ก่อนหน้านี้ไม่นานในวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมาสหภาพ UVW และองค์กร Decrim Now ก็เพิ่งได้รับชัยชนะจากคำตัดสินของศาล ที่ตัดสินให้พนักงานเต้นเปลื้องผ้าในคลับบราวน์แอนด์ฮอร์นส์ให้ถูกจัดอยู่ในสถานะแรงงานและยกเลิกสถานะ "ผู้รับจ้างเหมาช่วงอิสระ"ทำให้พนักงานเหล่านี้สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานได้ เช่น การลาคลอดหรือลาเลี้ยงดูลูก การลาป่วยโดยไม่ต้องเสี่ยงถูกเลิกจ้าง ได้รับการคุ้มครองจากการถูกข่มเหงรังแกในที่ทำงาน รวมถึงสิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน

เรียบเรียงจาก

International Women’s Day: This is why sex workers are striking in London, The Independent, 09-03-2020

Strippers union United Voices of the World and Decrim Now celebrate employment tribunal win, Decrim Now, 06-03-2020

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: ท่านชวน...ท่านมีความสามารถไม่เพียงพอกับการแสดงตำแหน่งนี้?

$
0
0

กาลครั้งหนึ่งซึ่งซึมทราบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง    คารมซึ้งชวนใจให้ผันผวน

มีดโกนกรีดนกหวีดแว้งแย้งก่อกวน    นึกว่าควรเคารพพบคนจริง

เพราะเขาคือชวนหลีกภัยไม่ใช่หรือ    สมร่ำลืออื้ออึ้งซึ้งใจยิ่ง

ยามมีภัยใครเล่าจะเข้ายิง    หลีกภัยทิ้งศรัทธาประชาชน

 

ประชาชนค้นคว้าหาผู้นำ    ที่ชอบธรรม ทำทางถูกปลูกเหตุผล

อภิปรายไม่ไว้วางใจให้ผู้คน    เหมือนเล่ากลเกมไกลในการเมือง

ขอกล่าวหาว่าขย้ำทำลายโอกาส    ประชาชาติชาวชนพ้นโง่เชื่อง

เขาอยากรู้ความจริงสิ่งรองเรือง    คุณ หาเรื่องรู้ไหมให้ระอา

 

แสงส่องใส่สภาไทยไฉนหนอ    มาอ้อล้อ กับลูกหลาน ประธานกล้า

บรรทัดฐานอยู่ที่ไหนไยไม่มา    ท่านไม่สามารถแสดงตำแหน่งนี้

ท่านเล่นเป็นแต่เห็นถนัดท่านขัดสน    ชาติมัวหม่นเพราะพฤติกรรมทำบัดสี

อยากจะเชียร์ละเหี่ยใจในไมตรี    เสียดายที่นึกว่าท่านหลักการพรหม

 

การหลีกภัยใครชวนเหมือนถ้วนถี่    ดูเหมือนมีกับดักหลักการล่ม

ใครมีภัยให้เสียดายจะได้ชม    รู้รสขมของตำแหน่งแห่งชีวี

ได้-เสีย ประชาชนผองผลประโยชน์    น่าเกลียดโกรธท่านประธานพล่านวิ่งหนี

เรารอฟังฝ่ายค้านอยู่นานปี    เสียดายที่มีท่านเป็นประธานสภา

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live