Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live

'บอร์ดราชภักดิ์'ขอเทศบาลเมืองหัวหิน หนุนงบบำรุงรักษาภูมิทัศน์ 1.2 แสนต่อเดือน

$
0
0

15 มิ.ย.2559 โพสต์ทูเดย์รายงานว่า จิรวัฒน์ พราหมณี รองปลัดเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารอุทยานราชภักดิ์ ที่ค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้ขอให้ทางเทศบาลเมืองหัวหินทำการสนับสนุนงบประมาณในการบำรุงรักษาภูมิทัศน์ภายในอุทยานราชภักดิ์จำนวน 1.2 แสนบาท/เดือน ซึ่งตัวเองไม่มีอำนาจตัดสินใจ จึงได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ เพื่อแจ้งให้ นพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีฯ พิจารณาต่อไป 

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้ร่วมกันพิจารณาเวลาเปิด-ปิด ให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจากเดิมวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-18.00 น. เป็นเวลา 07.00-18.00 น. และในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดเวลา 08.30-20.00 น. เปลี่ยนแปลงเป็นเวลา 07.00-20.00 น. 

สำหรับกิจกรรมที่จะจัดขึ้นภายในอุทยานได้กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมขึ้นทุกเดือน อาทิ ในวันที่ 22 ก.ค. ได้จัดกิจกรรมการตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พิธีถวายราชสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) ในวันที่ 18 ส.ค. 2411 พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินชลมารคและสถลมารค ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง 

 ป.ป.ช. แจง คืบหน้าสอบ เหลือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ว่า ขณะนี้อยู่ในชั้นแสวงหาข้อเท็จจริง ทางเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.กำลังดูว่ามีประเด็นอะไรยังหลงเหลืออยู่ที่สังคมให้ข้อมูลเรา คิดว่าไม่น่าจะใช้เวลายาวนาน เพราะเกือบเสร็จสิ้นแล้ว เหลือการตรวจสอบเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ถ้ายังมีรายละเอียดอะไรที่สังคมยังคลางแคลง และยังอยู่ในอำนาจป.ป.ช. เราสามารถดำเนินการไต่สวน แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รสนา ร้องไทยพีบีเอส สอบพิธีกร เหตุตกเป็นผู้เสียหายจากความไม่เป็นกลางในการจัดรายการ

$
0
0

รสนา เขียนจม.เปิดผนึกถึงประธานกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส ร้องเรียนกรณีตกเป็นผู้เสียหายจากความไม่เป็นกลางในการจัดรายการ พร้อมยืนยันว่ามิได้เป็นผู้แทรกแซงการทำงานของไทยพีบีเอส พร้อมกับเรียกร้องให้สอบสวนพิธีกร

 

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานความคืบหน้าจากกรณีที่รายการ "เถียงให้รู้เรื่อง"ตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ได้คุ้มเสียจริงหรือ? " ออกอากาศเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2559 โดยมีผู้นำเสนอข้อมูลและความเห็น 2 คน คือ มนูญ ศิริวรรณ และ รสนา โตสิตระกูล และมีนักวิชาการร่วมรายการในฐานะผู้ให้ความเห็น 2 คน คือ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านแรงงานและ ผศ.ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินรายการโดย อภิรักษ์ หาญพิชิตวาณิช แต่ในการออกอากาศได้มีการตัดความเห็นของนักวิชาการทั้ง 2 คนออกภายหลังจาก น.ส.รสนาร้องเรียนว่ารูปแบบรายการไม่สมดุล คือนักวิชาการทั้งสองคนมีความคิดในกลุ่มความเห็นเดียวกัน จึงเกิดความไม่เป็นธรรมที่มีผู้อภิปรายไปในกลุ่มความเห็นเดียวกันถึง 3 คน

ต่อมาไทยพีบีเอสได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงการผลิตรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง"ตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?"โดยยืนยันว่าการตัดต่อรายการใหม่ให้เหลือเพียงผู้นำเสนอหลัก 2 คน คือ น.ส.รสนาและนายมนูญนั้นเพื่อความสมดุลของข้อมูล ยืนยันไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก  

วันที่ 9 มิ.ย.2559 ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ได้ส่งหนังสือถึงประธานกรรมการไทยพีบีเอส ให้มีการสอบสวนการตัดทอนเนื้อหาของรายการดังกล่าว พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่ามีการแทรกแซงจากวิทยากรหลักคนหนึ่งในรายการ ซึ่งไทยพีบีเอสได้มีหนังสือตอบกลับ ดร.พรายพลว่าได้ให้อนุกรรมการดำเนินการแล้ว 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 59 รสนา เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงาน ได้ส่งหนังสือถึง รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ประธานกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) เรื่องชี้แจงข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เข้าร่วมรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง"ตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ได้คุ้มเสียจริงหรือ?" ข้อความในจดหมายเปิดผนึกของ น.ส.รสนา ซึ่งมีการเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก "รสนา โตสิตระกูล"มีเนื้อหาดังนี้

 

 
เรื่อง ชี้แจงข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เข้าร่วมรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง" 
 
เรียน ประธานกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส)
 
อ้างถึง หนังสือ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ถึงประธานกรรมการไทยพีบีเอส ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2559
 
สืบเนื่องจากรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง"ตอน "สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ได้คุ้มเสียจริงหรือ?"ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้ออกอากาศเมื่อคืนวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2559 ได้ตัดความเห็นของนักวิชาการที่เป็นผู้ร่วมวิจารณ์เพิ่มเติม (commentator) ออกนั้น ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมวิจารณ์เพิ่มเติมในรายการที่อ้างว่าเป็นนักวิชาการอิสระนั้น ได้ร้องเรียนมาทางคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส โดยกล่าวหาข้าพเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยากรหลักว่า ได้ใช้อำนาจสั่งให้ทางสถานีแก้ไขตัดต่อเทปสำหรับออกอากาศ โดยตัดความเห็นของผู้ร่วมวิจารณ์เพิ่มเติมออกไปในทำนองว่าเพื่อทำให้ความเห็นของข้าพเจ้ามีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้น และได้กล่าวหาว่าข้าพเจ้าเดินทางไปที่สถานีเพื่อกำกับการตัดต่อด้วยนั้น ข้าพเจ้าขอชี้แจงเรื่องราวเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบาย ไทยพีบีเอส ดังนี้
 
ข้าพเจ้าได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ของไทยพีบีเอส ขอให้มาร่วมในรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง"ตอนดังกล่าวในบ่ายวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2559 โดยให้มาอัดรายการในคืนวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2559 เวลา 20.00 น. และเมื่อถามว่าออกอากาศเมื่อไร ก็ได้รับคำตอบว่าออกอากาศวันเดียวกัน เวลา 22.30 น. ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังติดพันการประชุม จึงไม่ได้ฉุกคิดถามถึงชื่อผู้ร่วมรายการในฐานะผู้วิจารณ์ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้แจ้งเพิ่มเติมเช่นกัน ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ารูปแบบรายการดังกล่าว จะเชิญผู้วิจารณ์เพิ่มเติมที่มีความเป็นกลางและอิสระอย่างแท้จริง ตามปรัชญาของทางสถานี
ในคืนการอัดรายการดังกล่าวนั้น ข้าพเจ้าได้มาถึงสถานีเวลา 20.00 น. ตามเวลาที่นัดหมาย แต่ ดร.พรายพล มาสายไปจากเวลานัดหมายชั่วโมงครึ่ง ข้าพเจ้าได้พูดว่า คงต้องออกรายการสดแล้วกระมัง จึงเพิ่งได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ตอบกลับในขณะนั้นว่าเทปรายการจะนำไปออกในวันรุ่งขึ้น คือวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2559 ในระหว่างที่รอ ดร.พรายพล พิธีกรกลับไม่ได้มาพบข้าพเจ้าเพื่อหารือล่วงหน้าเรื่องประเด็นที่จะพูด หรือตกลงกันว่าใครจะได้พูดก่อนหลัง ซึ่งผิดวิสัยของพิธีกรมืออาชีพ
 
ข้าพเจ้าได้พบกับพิธีกรเมื่อเข้าสู่ห้องอัดรายการ ล่วงหน้าก่อนอัดรายการเพียง 5 นาทีเท่านั้น
 
เมื่อข้าพเจ้าเข้ามาในห้องอัดรายการแล้ว พิธีกรได้สอบถามเจ้าหน้าที่ในรายการว่า ได้เตรียมภาพประกอบการอภิปรายของนายมนูญ ศิริวรรณ แล้วใช่ไหม เจ้าหน้าที่พยักหน้าตอบรับว่า เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงเพิ่งรู้ว่า เขามีการเตรียมการล่วงหน้า กับนายมนูญ ศิริวรรณ เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นพิธีกรจึงหันกลับมาพูดกับข้าพเจ้าว่า คุณรสนา จะมีภาพประกอบอภิปรายไหม แสดงว่ามีการเตรียมการเพื่อออกอากาศของผู้อภิปรายที่ไม่เท่าเทียมกันตั้งแต่ก่อนอัดรายการนี้
 
เมื่อเริ่มต้นรายการ พิธีกรแนะนำว่าข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของ "เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.)"โดยไม่ถามความเห็นชอบจากข้าพเจ้าก่อน ว่ายินยอมให้แนะนำในฐานะผู้พูดอิสระ หรือตัวแทนกลุ่ม ข้าพเจ้าถูกแนะนำว่ามาเป็นตัวแทนในฐานะ คปพ. ฝ่ายหนึ่ง และ มีนายมนูญ ศิริวรรณ เป็นตัวแทนกลุ่มความคิดของ "กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน (ERS)"อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีแนวคิดที่แตกต่างกันคนละขั้ว
กรณีสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงกันในวันนั้นหมายถึงแหล่งปิโตรเลียม 2แหล่งใหญ่ของประเทศคือเอราวัณและบงกชที่กำลังจะหมดอายุสัมปทานลง และตามกฎหมายไม่สามารถให้สัมปทานเอกชนได้อีกนั้น กลุ่มคปพ.เสนอให้รัฐบาลแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 โดยเพิ่มระบบแบ่งปันผลผลิต และจ้างผลิต เพื่อจัดการกับแหล่งสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุสัมปทาน ซึ่งระบบใหม่ที่ คปพ. เสนอต้องมีกลไกของการใช้อำนาจมหาชนโดยองค์กรที่เรียกว่าบรรษัทพลังงานแห่งชาติ มาทำหน้าที่ถือกรรมสิทธิ์และบริหารทรัพย์สินที่ได้กลับคืนมาเมื่ออายุสัมปทานหมดลง รวมถึงปิโตรเลียมที่จะผลิตขึ้นได้หรือได้มาในอนาคต
 
ส่วนกลุ่ม ERS นั้นไม่ต้องการให้มีการจัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ จึงเท่ากับไม่มีองค์กรของรัฐเข้ามาทำหน้าที่ถือกรรมสิทธิ์และบริหารปิโตรเลียม การอ้างว่ามีการแก้ไขกฎหมายปิโตรเลียมโดยมีระบบแบ่งปันผลผลิตเพิ่มขึ้นมาจึงไม่สามารถจะดำเนินการได้ตามมาตรฐานสากล เพราะต้องฝากเอกชนเป็นผู้ขายปิโตรเลียมแทนรัฐ ส่วนระบบจ้างผลิต ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีองค์กรของรัฐมาบริหารปิโตรเลียม จึงเป็นการใช้วาทกรรมแอบอ้างระบบแบ่งปันผลผลิต หรือจ้างผลิต เพื่อมาอำพรางระบบสัมปทานเดิมโดยยังคงพึ่งพาการบริหารและขายปิโตรเลียมทั้งหมดโดยเอกชน
 
ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ได้อ้างตนเองว่าเป็นนักวิชาการอิสระในแวดวงเศรษฐศาสตร์และมีประสบการณ์พลังงานนั้นไม่เป็นความจริง เพราะฐานะของท่านไม่เป็นอิสระเนื่องจากท่านมีชื่อเป็นสมาชิกกลุ่ม ERS ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับผู้พูดหลักคือนายมนูญ ศิริวรรณ และมีประวัติเป็นกรรมการในบริษัทด้านพลังงานอย่างชัดเจน ในอดีต ดร.พรายพล เคยเป็นกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือปตท. ส่วนแนวคิดของ ดร.ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ที่เคยให้สัมภาษณ์เป็นที่ปรากฏชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของคปพ. อีกทั้งภาควิชาที่ดร.ฐิติศักดิ์ เป็นหัวหน้าภาคก็ยังเกี่ยวพันกับการรับทุนวิจัยจากบริษัทเชฟรอนมาก่อน
 
ส่วนนายมนูญ ศิริวรรณ ปัจจุบันเป็นกรรมการ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัทเชฟรอน ถือหุ้นใหญ่ นี่ย่อมแสดงให้เห็นประจักษ์ชัดว่า ผู้เข้าร่วมรายการทั้ง 3 คน ยืนอยู่ข้างเดียวกัน มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ทำให้มีคำถามว่าทั้ง 3 ท่านมีความเกี่ยวพันกับผู้รับสัมปทานเดิมในแหล่งเอราวัณและบงกชที่กำลังจะหมดอายุสัมปทานลงด้วย จริงหรือไม่ สภาพการจัดรายการในวันดังกล่าว มีลักษณะ 3 รุม 1 ในเรื่องแนวความคิดการจัดการกับแหล่งสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุ จึงไม่มีความเป็นกลาง ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรายการนี้ที่ต้องการเสนอข้อมูลทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันเพื่อให้ผู้ชมได้รับรู้ข้อมูลจากทั้ง 2 ฝ่าย และไม่เป็นไปตามอุดมการณ์ของสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส แต่ประการใด
 
ดังนั้นการถกเถียงระหว่าง ERS กับ คปพ. หากเลือก ดร.พรายพล ซึ่งเป็น ERS มาเป็นผู้ร่วมวิจารณ์เพิ่มเติม ก็ควรเปลี่ยนตัวนักวิชาการจากดร.ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์มาเป็นนักวิชาการในฝ่ายของ คปพ. แทน จึงจะมีความเป็นธรรม เป็นกลาง และทัดเทียมกัน
 
ข้าพเจ้าได้ต่อว่าพิธีกรหลังเสร็จรายการ พิธีกรอ้างว่าไม่ใช่เป็นผู้เชิญแขกมาร่วมรายการ และวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ และร้องเรียนว่าหากจะให้การถกเถียงในฐานะตัวแทนกลุ่มความคิดที่เห็นต่างกัน ก็ควรจะมีความเป็นธรรมในการเลือกนักวิชาการที่มาวิจารณ์เพิ่มเติมให้สมดุลและเป็นธรรมกว่านี้
 
ข้าพเจ้าเสนอให้อัดรายการใหม่โดยเชิญนายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล มาแทน ดร.ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ เพราะยังมีเวลาอัดเทปใหม่เหลือเฟือแต่ทราบว่านายมนูญ ศิริวรรณ ไม่ยินยอม ทางสถานีจึงเยียวยาข้อร้องเรียนของข้าพเจ้าด้วยการตัดผู้วิจารณ์เพิ่มเติมออกไป ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่เห็นว่าควรอัดรายการใหม่ จึงจะเป็นแนวทางที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่ายมากที่สุด
 
เมื่อทางสถานีตัดสินใจตัดผู้วิจารณ์ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้เชิญข้าพเจ้าไปดู ในฐานะผู้เสียหายจากการดำเนินการของสถานี มิใช่เกิดจากการแทรกแซงสื่อของข้าพเจ้า แต่เป็นความพยายามในการเยียวยาแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากความไม่เป็นธรรมในการดำเนินการหลังจากที่ข้าพเจ้าร้องเรียนในกรณีดังกล่าว
 
คณะกรรมการนโยบายสามารถเรียกเจ้าหน้าที่ที่ทำเทปรายการมาสอบถามข้อเท็จจริงนี้ได้ การกล่าวหาข้าพเจ้าว่าอยู่เบื้องหลังการตัดผู้วิจารณ์ทั้งสองออกจึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น
 
กลุ่ม ERS มีสมาชิกที่ประกอบด้วยข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงาน ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทน้ำมัน นักธุรกิจที่ใกล้ชิดรัฐบาล อีกทั้งนักวิชาการที่รับทุนบริษัทพลังงานต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในสายความคิดสนับสนุนให้รัฐบาลใช้ระบบสัมปทานปิโตรเลียมกับ 2 แปลงสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุนี้ต่อไป
 
เป็นที่น่าสังเกตว่าการที่ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ทราบว่าข้าพเจ้าเดินทางไปที่สถานี แสดงว่าในสถานีของไทยพีบีเอสมีพนักงานที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับกลุ่ม ERS และผู้บริหารของบริษัทน้ำมัน จึงมีข้อน่าเคลือบแคลงสงสัยว่ารายการนี้เป็นรายการแฝงเพื่อประชาสัมพันธ์ความคิดของ ERS หรือไม่?
 
กล่าวโดยสรุปคือ
1) ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เสียหายจากความไม่เป็นกลางในการจัดรายการ มิได้เป็นผู้แทรกแซงการทำงานของไทยพีบีเอส และเจ้าหน้าที่ผลิตรายการ “เถียงกันให้รู้เรื่อง” แต่ประการใด
2) ข้าพเจ้าขอให้สอบสวนพิธีกรรายการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องถึงสาเหตุของการทำรายการในลักษณะที่ขาดความสมดุลในการนำเสนอข้อมูลด้านพลังงานดังกล่าว จนเกิดกระแสเอียงข้างไปด้านเดียวดังที่เกิดกับสื่อหนังสือพิมพ์หลายฉบับและสื่อทีวีบางช่องที่ออกมาเล่นงานความคิดของคปพ.ด้วยแนวคิดหลักชุดเดียวกัน จนเกิดคำถามว่ามีกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือหรือไม่?
3) ข้าพเจ้ายังเชื่อในความเป็นอิสระและความเป็นกลางของไทยพีบีเอส ปัญหาการเอียงข้างดังกล่าวน่าจะเกิดในระดับผู้ปฏิบัติการ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือโดยสาเหตุอื่น เมื่อมีการสอบสวนแล้ว ได้ผลประการใด ขอให้แจ้งให้สาธารณะได้รับรู้ในโอกาสต่อไป
4) ข้าพเจ้ายินดีไปให้ปากคำเพิ่มเติมและตอบข้อซักถามต่าง ๆ จากคณะทำงานสอบสวนในกรณีดังกล่าว
 
ขอแสดงความนับถือ
 
(นางสาวรสนา โตสิตระกูล)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐเวชกรรมไทย (1)

$
0
0

 


"...ดังนั้นการที่ระบุว่าการแพทย์เป็นกิจการที่ต้องค่อยทำต่อยไปจึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะประชาชนและพลเมืองและเด็กทารกกำลังจะตายโดยไม่ได้รับการสงเคราะห์อย่างใดเลย แต่รัฐควรที่จะต้องมีความกระตือรือร้นดำเนินการด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้สำเร็จโดยเร็ว และเสนอว่าวิธีที่ควรใช้คือการสร้างรัฐเวชกรรม..."

การสาธารณสุขและสาธารณูปการ พ.ศ. 2477

"...การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดีและสังคมที่มั่นคงเพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น โดยปกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ดี พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรเศรษฐกิจ และสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นผู้แต่งสร้างมิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ..."

พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ตุลาคม พ.ศ. 2522

"...สิ่งที่ตามมาจากโลกาภิวัฒน์ มีของดีและของเสียเหมือนกันโดยทั่วไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอากาศและออกซิเจนให้เราหายใจนั้นต้องมีของเสียติดมาอย่างแน่นอน มีเชื้อโรค ถ้าเราไม่มีภูมิต้านทานดีก็จะป่วย ถ้ามีความต้านทานดีก็ไม่ป่วยเหมือนกับระบบโลกาภิวัฒน์ ที่ติดตามมานั้นคือการเคลื่อนไหว การเคลื่อนย้ายเงินทุน คน และ สินค้า สิ่งที่ตามมานั้นคือ เชื้อโรคเหมือนโรคซาร์สที่เกิดขึ้น..."

ทักษิณ ชินวัตร 18 กันยายน พ.ศ. 2546


หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อิทธิพลของประเทศอเมริกาได้ขยายเข้าสู่ประเทศต่างๆและประเทศอื่นทั่วโลกในฐานะตัวแทนโลกเสรี โดยแข่งขันกลับกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโซเวียตรัสเซีย โลกเข้าสู่สงครามเย็น เพื่อโฆษณาให้เห็นถึงข้อดีของโลกเสรี อเมริกาได้ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเอย่างเข้มข้นพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสวัสดิภาพของประชาชน รวมถึงในด้านการแพทย์ด้วยเช่นกัน ทิศทางของนโยบายสุขภาพโลกได้เข้าสู่รูปแบบ ชีวการแพทย์ ที่ตีกรอบการแพทย์ให้เป็นแค่ความสัมพันธ์ระดับปัจเจกโดยแยกออกจากสิงแวดล้อมและสังคม การรักษาจึงเป็นเรื่องระหว่างแพทย์และคนไข้ การเจ็บป่วยจึงเป็นเรื่องระหว่างเชื้อโรคกับร่างกาย สาเหตุของโรคและการเกิดโรค คุณูปการของชีวการแพทย์ส่งผลให้เทคโนโลยีการแพทย์เพื่อยืดอายุขัยของประชากรเป็นไปอย่างรวดเร็ว โลกเข้าสู่ยุคอันรุ่งเรื่องของยาปฏิชีวนะ การผลิตยาปฏิชีวนะเป็นอุตสาหกรรมจำนวนมากๆเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกให้ประเทศด้อยพัฒนาส่งผลให้โรคติดต่อที่เคยคร่าชีวิตคนจำนวนมากนั้นถูกควบคุมและค่อยๆหายไปทีละโรค

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการแพทย์ก็ค่อยๆเข้าสู่ขีดจำกัด ในช่วงทศวรรษ 70 อายุขัยเฉลี่ยไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษา ค่ารักษาที่พ่งขึ้นสูงก็กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่คนยากจนในการเข้าถึงยาและหมอดีๆ ช่องว่างด้านสุขภาพกลับมากขึ้นๆ บรรดานักคิดต่างๆจึงตั้งคำถามถึงปัญหาของรูปแบบชีวการแพทย์ที่วางฐานบนเสรีนิยมปัจเจก โดยชุดความคิดที่มีอิทธิพลมากคือ ชุดความคิดเรื่อง bio-powerที่ผลิตโดย มิเชล ฟุโกต์  สำหรับเขาแล้ว ความรู้คืออำนาจ การแพทย์แยกออกไม่ได้จากสังคมตั้งแต่ประวัติศาสตร์ในอดีตและไม่ได้เป็นเรื่องของปัจเจก เขายกตัวอย่างกระบวนการสร้างการแพทย์สังคมในยุโรปช่วงศตวรรษที่18 ที่ปรัสเซียเยอรมันสร้างรัฐเวชกรรมขึ้นมาเพื่อสะสมความรู้ด้านการแพทย์เข้าสู่รัฐบาลส่วนกลาง และสร้างรัฐตำรวจการแพทย์ขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติสารสนเทศเรื่องสุขภาพ เพื่อสร้างมาตรฐานการรักษาให้เป็นรูปแบบหนึ่งเดียว เพื่อตรวจตราและแทรกแซงสุขภาพและร่างกายของประชาชน ในนามเพื่อความมั่นคงของชาติและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ส่วนทางด้านฝรั่งเศสก็ได้ใช้อำนาจความรู้ในการเข้าควบคุมพื้นที่สาธารณะและพื้นที่เอกชน เข้าควบคุมทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมต่างๆในเขตเมือง เพื่อแบ่งแยกและปกครองเขตต่างๆระหว่างเขตคนรวยและคนจน ส่วนอังกฤษรัฐเลือกวิธีการให้ประกันสุขภาพแก่ผู้ยากจนเพื่อแลกกับการที่ประชาชนจะต้องถูกขึ้นทะเบียนและกำกับดูแลสุขภาพโดยรัฐ การรักษาให้พวกยากจนจรจัดไม่ป่วยย่อมส่งผลดีต่อการควบคุมการแพร่เชื้อโรคสู่กลุ่มชนชั้นกลางด้วยเช่นกัน
—
สิ่งที่สำคัญในรัฐเวชกรรมคือการวิวัฒนาการขององค์ความรู้ด้านการแพทย์ในฐานะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สนับสนุนกลไกของรัฐได้อย่างไร ประสบการณ์ในอดีตที่ต่างกันในการสร้างองค์ความรู้ย่อมส่งผลให้รัฐเวชกรรมของยุโรปแตกต่างกับรัฐเวชกรรมของไทย ความรู้การแพทย์สมัยใหม่ในยุโรปเป็นผลผลิตของสังคมที่ผ่านการรู้แจ้งเพื่อตอบโต้อำนาจความรู้การแพทย์แบบเก่าที่ถูกผูกขาดโดยพระและเจ้า ความรู้การแพทย์แบบเก่าในยุโรปในสมัยยุคกลางแยกออกไม่ได้จากการศึกษาเทวนิยม อิทธิพลศาสนจักรครอบงำและสร้างการแพทย์คริสเตียนที่ส่งผลต่อความเชื่อด้านโรคร้ายและมีบทบาทสำคัญในชีวิตและการรักษาของประชาชน การเจ็บป่วยจึงมีความสัมพันธ์กับอำนาจของปิศาจ ในขณะเดียวกันโรคภัยก็คืออุปสรรคที่พระเจ้าประทานมาเพื่อเป็นบททดสอบของมนุษย์ ดังนั้นชาวคริสเตียนที่ดีจึงต้องชำระล้างสิ่งชั่วร้าย (โรคภัยไข้เจ็บ) อย่างสุดความสามารถเพื่อให้ร่างกายบริสุทธิ์ในการพบพระเจ้า ความคิดดังกล่าวส่งผลให้ชาวคริสเตียนแสวงหาการรักษาอย่างสุดความสามารถเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออก ก่อนที่จะได้พบพระเจ้าในดินแดนนิรันดร์หลังความตาย  การรักษาจึงมีความหลากหลายเนื่องจากการแพทย์หลายแขนงมาผสมกัน ไม่ส่าจะเป็นการใช้ยาสมุนไพร ใช้สารเคมีเล่นแร่แปรธาตุ ใช้น้ำมนต์ สวดมนต์ภาวนา การผ่าตัด การกักกันเขต เป็นต้น  เพื่อรักษาสุขภาพทั้งทางกายและจิตวิญญาณ
—
นอกจากนี้ศาสนจักรและโบสถ์ยังมีบทบาทในการผลิตแพทย์ การควบคุมจริยธรรมการแพทย์ และการให้บริการการรักษาแก่พลเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่กลุ่มคนยากจนและพวกจรจัด โดยภายใต้ความเชื่อเรื่องการกุศล คณะแพทย์ศาสตร์ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ในมหาวิทยาลัยที่ความคิดด้านเทวนิยมครอบงำ หมอส่วนใหญ่เองก็เป็นนักบวชและต้องมีวัฏปฏิบัตรรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งร่างกายและวิญญาณเพื่อรักษาคนไข้  วัดและโบสถ์จึงมักมีการสร้างสิ่งก่อสร้างถาวรคือ โรงพยาบาลซึ่งภาษาฝรั่งเศสใช้คำว่า Hôtel de dieu หรือที่พำนักของพระเจ้า อย่างไรก็ตามโรงพยาบาลในยุคกลางก็มิได้เป็นโรงพยาบาลแบบปัจจุบัน แต่เป็นทั้งสถานที่กักกันของพวกจรจัด และผู้ป่วยอาการหนัก เพื่อสวดมนต์พระเจ้ารอคอยความตาย
—
ในโลกชีวิตและสุขภาพได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อเกิดการระบาดของกาฬโรคในศตวรรษที่ 14 ที่คร่าชีวิตประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของยุโรป ส่งผลให้สังคมกลับมาตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของการรักษาด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติและพระเจ้า และพัฒนาความรู้การแพทย์สายอื่นๆขึ้นมาที่วางอยู่บนรากฐานเหตุผลนิยมและมนุษยนิยมขึ้นมาต่อสู้และท้าทายขั้วอำนาจเก่า นอกจากนี้ลัทธิพาณิชยนิยมในศตวรรษที่ 16 และตามมาด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมส่งผลให้สุขภาพของประชากรมีความแนบแน่นกับการจำเริญทางเศรษฐกิจและอำนาจการเมืองของรัฐ นโยบายสาธารณะที่ออกมาจึงเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับสุขภาพและร่างกายของพลเมืองมากขึ้นตามลำดับ เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน คือ การแบ่งงานกันทำ ส่งผลเกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่สถานที่ทำงานเช่น ในฟาร์มเกษตร ไม่เคยแยกออกจากที่พักอาศัย แต่หลังจากมีโรงงานแล้วแรงงานต้องถูกต้อนเข้าไปทำงานสถานที่แยกออกขาดจากกันกับสถานที่พักอาศัยและส่งผลให้พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูสมาชิกอื่นๆในครอบครัว เพื่อทดแทนสิ่งดังกล่าวสังคมจึงเริ่มมีการสร้างสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษามากขึ้น เช่น สถานเลี้ยงเด็ก บ้านพักคนชรา ส่วนในประเทศฝรั่งเศส ผลของสงครามระหว่างประเทศในยุโรป ทำให้เกิดคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก บทบาทของพระมหากษัตริย์และชนชั้นสูงในด้านดูแลสุขภาพประชากรจึงมีมากขึ้น และเริ่มมีการสร้างนโยบายสาธารณะที่มีความมั่นคงถาวรแทนการกุศลมากขึ้นๆตามลำดับ เช่น การสร้าง Hôtel des invalides เพื่อรักษาทหารที่บาดเจ็บจากสงคราม
—
จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้ง คือ การปฏิวัติฝรั่งเศสซึ่งเป็นบ่อเกิดสำคัญของสิทธิมนุษยชนครั้งแรกในโลก ปัจเจกบุคคลมีสิทธิเหนือร่างกายและชีวิตของตนและเป็นสิทธิพื้นฐานพลเมือง ส่วนรัฐเข้ามาแทนที่และลดบทบาทอิทธิพลของพระกับเจ้าต่อเรื่องสุขภาพและชีวิตประชาชน รัฐต้องมีหน้าที่ในการดูแลคุณภาพชีวิตของพลเมืองตามข้อบังคับรัฐธรรมนูญที่มั่นคงถาวร และเป็นข้อผูกมัดทางกฎหมาย เพื่อเสริมสร้างรัฐตามอุดมคติ "เสรีภาพ เสมอภาพ และภราดรภาพ "นโยบายสุขภาพมิใช่เป็นเรื่องข้อผูกมัดทางศีลธรรมและวางอยู่บนรากฐานการกุศลที่ไม่มีความมั่นคงถาวรและต้องอาศัยความเมตตาจากผู้ให้เฉกเช่นระบบการกุศลอีกต่อไป อย่างไรก็ตามด้วยความไร้เสถียรภาพทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ฝรั่งเศสได้เปลี่ยนระบอบการปกครองถึง 7 ครั้งและมีสงครามกลางเมือง ส่งผลให้ปณิธานดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ และส่งผลให้ทิศทางนโยบายสุขภาพและการสร้างระบบสุขภาพของฝรั่งเศสนั้นไม่นิ่งและมีความผันผวนสูง และต้องรอจนกว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สังคมจึงมีฉันทามติในทิศทางเดียวกันและออกกแบบระบบรัฐสวัสดิการแบบฝรั่งเศส
— 
—
—

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยังไม่คืบ 'สมานฉันท์แรงงาน'ทวงถามความคืบหน้า 6 ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล วันแรงงานปี 59

$
0
0

ที่มาภาพ Nok Voice Labour

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา จิระพัฒน์ คงสุข โพสต์วิดีโอคลิป พร้อมรายงานว่า วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และ มานพ เกื้อรัตน์ รองเลขาธิการ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พร้อมองค์กรเครือข่ายต่างๆ ยื่นหนังสือติดตามความคืบหน้าข้อเรียกร้องวันกรรมกรสากลปี 59 ต่อผู้แทนรัฐบาล ที่ ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของรัฐบาล ตึก กพ. ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ

ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม วิไลวรรณ เพิ่มเติม ซึ่ง วิไลวรรณ กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ทางตัวแทนรัฐบาลแจ้งว่าได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อนำข้อเรียกร้องทั้ง 6 ข้อ มาพิจารณา โดยจะมีการเชิญตัวแทนของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เข้าร่วม ซึ่ง วิไลวรรณ กล่าวว่า ก็เป็นเหมือนปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ วิไลวรรณ เปิดเผยด้วยว่า ทางคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย จะหารือเพื่อหาแนวทางเคลื่อนไหวเรียกร้องตาม 6 ข้อที่เคยเสนอต่อรัฐบาลไป โดยเฉพาะข้อเรียกร้องเฉพาะหน้าอย่างการขอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ต้องเร่งขับเคลื่อน 

สำหรับข้อเรียกร้องในวันแรงงานแห่งชาติ ของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย นั้น เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา วิไลวรรณ เคยกล่าวว่า ข้อเรียกร้องเดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาล เพราะมองว่าที่ผ่านมาร่างกฎหมายต่างๆ ของผู้ใช้แรงงานถูกมองข้ามจนไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของสภา จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวและประกาศเจตนารมณ์เพื่อเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลจำนวน 6 ข้อ คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกัน และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการวมตัวและเจรจาต่อรอง เรียกร้องให้ยกเลิกการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบและผลักดันให้มีกฎหมายว่าด้วยการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ที่ได้ยื่นต่อรัฐบาล เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา เรียกร้องการกำหนดค่าจ้างที่เป็นธรรม โดยกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ 360 บาทเท่ากันทั้งประเทศ เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา และวางมาตรการอย่างเข้มข้นต่อการละเมิดสิทธิแรงงานปฏิรูปประกันสังคมให้เป็นองค์กรอิสระ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และ ให้จัดตั้งธนาคารแรงงาน ให้เป็นของผู้ใช้แรงงาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมด้านเศรษฐกิจและสังคม สำหรับข้อเรียกร้องที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือให้รัฐบาลรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และฉบับที่ 98 เนื่องจากจะเป็นส่วนช่วยให้คนงานเข้าถึงสิทธิและสามารถป้องกันไม่ให้คนงานถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม และการกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมและปรับโครงสร้างค่าจ้างทุกปี โดยคำนึงถึงค่าครองชีพ ทักษะฝีมือ ให้อยู่วันละ 360 บาท

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปม 'ชงเรื่องล้มประชามติ'กมลพรรณ ยันไม่ต้องการล้ม แต่ให้มันแฟร์ ไม่ปิดปากปชช.

$
0
0

ปมกระแสวิจารณ์ 'ชงเรื่องล้มประชามติ'หลังกมลพรรณ และคปป.  ยื่นศาลปกครอง ฟ้อง ประยุทธ์-ครม.-กรธ.-สนช.-กกต. เหตุ พ.ร.บ.ประชามติขัด รธน. เจ้าตัวยันไม่ต้องการล้ม แต่ให้มันแฟร์ ไม่ปิดปากปชช. ระบุถ้ารธน.ผ่านน่ากลัวมาก เหน็บทักษิณ ถ้าผ่านก็ได้ประโยชน์จาก รธน.นี้เหมือนกัน  เผยเตรียมร้อง ป.ป.ช.ต่อ

15 มิ.ย.2559 จากการณีเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลปกครองกลาง กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี พร้อมพวกรวม 17 คน เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ (คปป.) ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-5 กรณีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ร่างรัฐธรรมนูญปี 2559 เพื่อลงประชามติ โดยมีรัฐธรรมนูญมาตรา 178 ที่ไทยสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงร่างมาตรา 54 ที่ขัดต่อกติกาสากลระหว่างประเทศ ประกอบกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และ 5 ได้ผ่าน พ.ร.บ.ว่าด้วยการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 มีหลายมาตราอาจขัดต่อประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ขัดต่อรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 1, 4, 5 และ 35(1) รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดและผู้เกี่ยวข้องสุ่มเสี่ยง ต่อการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 128 และ 129 ในเรื่องการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและสูญเสียความมั่นคงของรัฐ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ยันไม่ให้ล้ม แต่ต้องการให้มันแฟร์

ภายหลังมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ากลุ่มดังกล่าวต้องการชงเรื่องเพื่อล้มประชามตินั้น ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้สอบถาม กมลพรรณ เพิ่มเติม โดย กมลพรรณ กล่าวว่า ถ้าเราลงสนามแข่งขัน แล้วมันไม่แฟร์ เราเลื่อนไปไม่กี่วันไม่กี่เดือน แต่ทำเพื่อให้ผล ประโยชน์ของประชาชนกลับมา มันคุ้มกว่าเยอะ แต่ นปช. ต้องคิดใหม่ ต้องคิดเพื่อรากหญ้า ไม่ใช่คิดถึงนักการเมือง ฝ่ายเราก็สู้เพื่อประชาชน ถ้าจะแก้กันจริงจังร่างนี้แก้ภายใน 15 วันก็พอแล้ว มันต้องทำให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ไม่เช่นนั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้มันจะไม่ใช่ยาบำรุงแต่จะเป็นคือยาพิษ 

เมื่อถามย้ำว่า ถ้า คสช. ไม่แก้ พ.ร.บ.ประชามติ จะไปลงประชามติไหม กมลพรรณ กล่าวว่า เราคงไปแต่จะไป vote no แต่กว่าจะถึงขั้นนั้น เราก็คงต้องพยายามชูให้แก้ให้ถึงที่สุด เราไม่ได้ให้ล้มประชามติ เราให้คุณแก้ไขก่อนประชามติ ไม่เช่นนั้นเราก็บอกไปแล้วว่ายกเลิกปประชามติ
 

เหน็บทักษิณ ถ้าผ่านก็ได้ประโยชน์จาก รธน.นี้เหมือนกัน 

นอกจากนี้ กมลพรรณ ยังกล่าวว่า นปช. มีผลประโยชน์แอบแฝง ทำไมไม่ออกมาตี เคยมีคนบอกตนว่า เอาจริงๆ แล้ว พอคิดเรื่องสัมปทาน เรื่องการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนต่างๆ คนที่ได้ประโยชน์สุดท้ายก็คือทักษิณ นปช. ก็แสดงละครให้รากหญ้าดูเฉยๆ ทักษิณก็มีสัมปทาน เขาก็ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญเหมือนกัน แต่ที่ออกมาตีกันคือเล่นละครกันให้ประชาชนเกลียดกันเอง  แต่กลุ่มเราเคลื่อนหมดทุกรัฐบาล รัฐบาลอภิสิทธิ์ตนก็เคยค้าน
 
ส่วนที่ต้องใส่เสื้อเหลืองนั้น กมลพรรณ กล่าวว่า เราเพราะเราจงรักภักดี เดือนนี้เป็นเดือนมงคล เราอยากจะเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี หมอเป็นศิษย์จำลอง แต่ไม่ได้เล่นเกมอำนาจ เราค้านในสิ่งที่ไม่ชอบธรรมทั้งหลาย
 

ชี้ กม.ประชามติปิดปากปชช. ระบุถ้ารธน.ผ่านน่ากลัวมาก

"ถึงคนที่ต้องการลงประชามติ ถ้ามันไม่ผ่านเขาจะเอาอะไรมาให้เราเราก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะทำแล้วผ่าน อันนี้จะอันตรายมาก มันมีแต่เสียกับเสีย ยิ่งตอนนี้เรามี พ.ร.บ. ที่ปิดปปากประชาชน ประชาชนเขาจะไม่กล้าออกมาวิจารณ์เลย ฝ่ายรัฐกับกลุ่มทุนพูดได้ฝ่ายเดียว สุดท้ายมันก็ร่วมกันถวายสมบัติให้ต่างชาติ มันสุ่มเสี่ยง เราไม่มั่นใจว่ามันจะผ่านไหม ถ้าผ่านมันจะน่ากลัวมาก ยิ่งรากหญ้าชาวบ้าน คนพวกนี้เขาไม่อ่านร่างด้วยซ้ำ"กมลพรรณ กล่าว

หวั่นเสียดินแดนง่าย เอื้อต่างชาติใช้ทรัพยากรธรรมชาติ

สำหรับข้อกังวลต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กมลพรรณ กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญที่เขียน ทางรัฐก็บอกว่าจะปราบโกง แต่ตนเชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้อ่านว่าแต่ละมาตรามันเขียนว่ายังไงบ้าง ตนไปอ่านเกือบทุกมาตรา มาตรา 178 เขาเขียนว่า พระมหากษัตริย์คงไว้ซึ่งอำนาจในการเปลี่ยนแปลงดินแดน หนังสือสัญญาที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ดินแดน หรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ถ้ารัฐสภาไม่พิจารณาภายใน 60 วัน ให้ถือว่ารับรองเลย แบบนี้แปลว่าเราเสียดินแดนทันที เราจะเสียดินแดนง่ายมาก ในวรรค 2 เป็นการเอื้อให้ ต่างชาติจะเข้ามาลงทุน Mega Project ต่างๆ รวมถึงการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นี่คือการหมกเม็ด เขาบอกว่าจะปราบโกง แต่จริงๆ มันคือการเขียนให้การโกงถูกกฎหมาย ยังมีเรื่องสัมปทนา รธน. ฉบับนี้เขียนไว้หลวมๆ ว่าการบริหาารทรัพยากรธรรมชาติ เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมันไม่รัดกุม มันแย่กว่าเยอะเมื่อเทียบกับ รธน. 50 กับ 40 และสิทธิหายไป มันหมกเม็ดเยอะ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็ไม่มีการกำหนดว่ารัฐต้องถือหุ้นอย่างน้อย 51%

ทำไมไม่เขียนให้เรียนฟรีถึง ม.6 

กมลพรรณ กล่าวต่อว่า ในเรื่องมาตรา 54 ให้รัฐจัดการศึกษาฟรี 12 ปีถึง ม.3 ซึ่งในมุมมองของตน โรงเรียนบางแห่งทุกวันนี้ยังเก็บค่าเทอมอยู่เลย ถึงรัฐบาลจะบอกว่าเรียนฟรีแต่มันมีรัฐธรรมนูญรับรอง ต่อไปในอนาคตถ้าไม่เรียนฟรีจะเกิดอะไรขึ้น ค่าครูค่าหนังสือ ค่าอาคาร ทั้งหมดจะเก็บเพิ่มขึ้น เพดานเท่าไหร่ก้ไม่มีจำกัด มันเหมือนการเอามหาลัยออกนอกระบบ ถึงจะบอกจะมีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา แต่ต้องอย่าลืมว่ามันมีนักเรียนนักศึกษาฆ่าตัวตายเยอะแยะเพราะไม่สามารถหาเงินมาใช้กองทุนได้ ทำไมเขาไม่บัญญัติว่าเรียนฟรีถึง ม.6 เพราะเขากลัวผู้ปกครองที่รู้กฎหมายไปฟ้องเขาตอนเก็บค่าเล่าเรียน เขาบอกว่ารัฐงบไม่พอ ต้องสนับสนุนเด็กอนุบาล แต่การสนับสนุนเด็กอนุบาลมันก็ใช้งบประมาณเยอะเหมือนกัน 
 
กมลพรรณ กล่าวว่า อีกอันที่ตนเป็นห่วง การจัดการศึกษาให้เด็กอนุบาลเพื่อลดความเหลือมล้ำ ระบบปัจจุบันมันเพิ่มศักยภาพเด็กได้หรือยัง หรือแค่ท่องๆ จำๆ โรงเรียนวดวิชาก็รวย เกิดธุรกิจการศึกษา การเอาเด็กอนุบาลเข้ามาท่องตั้งแต่เด็ก มันเป็นการทำร้ายเด็กมากกว่าผลดี เราไม่เชื่อว่าคณะกรรมการร่างจะมีศักยภาพในการพัฒนาเด็กอ่อน มันมีผลประโยชน์ เหมือนการเอาโรงเรียน ม.ปลายออกนอกระบบ และเขียนกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้อง
 

คสช. ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ

สำหรับข้อกล่าวหาว่า คสช. ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ นั้น กมลพรรณ กล่าวว่า ตั้งแต่การตรากฎหมายแล้ว การตรารัฐธรรมนูญ มันขัดกับกติกาสากล และ ขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว คณะกรรมการร่างต้องร่างโดยยึดหลักที่ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ แต่มาตรา 178 นี่มันคือการยกประเทศให้ใครก็ได้ มาตรา 4 ของงรัฐธรรมนูญชั่วคราว 
 
ประเด็นปัญหา พ.ร.บ.ประชามติ นั้น กมลพรรม อธิบาว่า มี 2 ประเด็นที่สำคัญ 1. กกต. มีหน้าที่ในการทำประชาติอย่างโปร่งใสและทุจริต การที่เราทำเครื่องหมายอะไรไม่ได้ในบัตรเลือกตั้ง แสดงตัวไม่ได้ว่าเราเลือกให้ใคร เราไม่มีพยานได้เลยว่าเราลงคะแนนให้ใคร กากบาทใครก็กาได้ กาเหมือนกัน ทำบัตรผีได้ มันเป็นอุปสรรคของการเลือกตั้ง มีการสลับหีบเลือกตั้ง เผาบัตร เผาหีบ หีบทิ้งข้างทาง คนมันโกงตั้งแต่การเลือกตั้งแล้ว มีการโยกย้ายพวกพ้องของตัวเองเต็มไปหมด แต่ กกต. ทำประชามติที่ไม่โปร่งใส และสุจริต เขาจะสามารถที่จะโกงผลได้ เราเห็นด้วยที่เสื้อแดงจะทำศูนย์ปราบโกง ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้ง อะไรที่ประชาชนเสียหายเขาก็ควรมีสิทธิ์ที่จะสู้ นี่ไม่ใช่เรื่องของสีเสื้อ ธรรมนูญฉบับนี้มันกีดกันขั้วอำนาจออกไป และกีดกันผลประโยชน์ของประชาชน และจะมีพวกใดพวกหนึ่งได้ประโยชน์ แต่เราไม่รู้ว่าทหารรู้ไหม แต่ทำอย่างงี้เท่ากับใครเลือกตั้งมา ก็ถวายพานทรัพยสินของประเทศให้เขาเลย ทั้งโรงเรียน ม.ปลาย ครูอาจารย์ เกิดระบบเครือญาติในระบบการศึกษา ค่าเทอมค่าเล่าเรียนก็ไม่มีกำหมายกำหนด กำหนดเองหมด การบริหารการลงทุน
 
2. การบังคับใช้ที่ไม่เสมอภาค ถ้าเรายึดตามหลักนิติธรรม กฎหมายต้องบังคับใช้โดยเสมอกันไม่ว่าจะรวยหรือจน ไม่มีเลือกปฏิบัติ กกต. ไม่ให้ฝ่ายที่เห็นแย้ง วิพากษ์วิจารณ์ร่างอย่างเปิดเผยเป็นการสมรู้ร่วมคิดในการปล้นชาติ ถ้าคุณไม่มีเจตนาแบบนั้น คุณจะปิดปากประชาชนอะไร มาตรา 178 น่าจะเข้ากับมาตรา 118 129 
 

จ่อร้อง ป.ป.ช.ต่อ

กมลพรรณ เปิดเผยว่า ตนจะไป ป.ป.ช. ถ้าศาลปกครองเขาไม่เข้าใจว่าตนทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นว่าตนไม่ใช่ผู้เสียหาย หรือไม่มีสิทธิฟ้อง ตนก็จะไปฟ้อง ป.ป.ช. มันเป็นขั้นตอนกระบวนการซึ่งตนสามารถทำได้ แต่ตนไม่ได้คาดหวัง ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ตนยื่นไว้เป็นหลักฐาน 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 9-15 มิ.ย. 2559

$
0
0
 
ก.แรงงานเผยอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือสูงสุดวันละ 550 บาทมีผล 10 ส.ค.นี้
 
นายธีรพล ขุนเมือง ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำและให้ความสำคัญในการยกระดับทักษะฝีมือให้แรงงานไทยให้มีมาตรฐาน เพื่อให้มีค่าจ้างที่สูงขึ้นและเป็นตามการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานที่คณะกรรมการค่าจ้าง กระทรวงแรงงานกำหนด โดยเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2559 กระทรวงแรงงานได้นำเสนอมติคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแล้วซึ่ง เพิ่มขึ้นอีก 20 สาขาอาชีพใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม จากเดิมที่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างไว้แล้ว 35 สาขาอาชีพ โดยใช้มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นเกณฑ์วัดค่าทักษะฝีมือ ความรู้ ความสามารถ และขณะนี้กระทรวงแรงงาน ได้ออกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 14 มีนาคม 2559 และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 นี้เป็นต้นไป
 
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานมีแผนการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกในระยะต่อไป เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนทำงานตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นและก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเป็นกำลังแรงงานที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศในยุคไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป
 
นายธีรพลฯ กล่าวต่อว่า สำหรับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมืออีก 20 สาขาอาชีพ นั้น ค่าจ้างต่อวันต้องเป็นเงินไม่น้อยกว่า ดังนี้ สาขาอาชีพพนักงานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่าง ระดับ 1 วันละ 360 บาท และระดับ 2 วันละ 430 บาท สาขาอาชีพพนักงานประกอบมอเตอร์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า ระดับ 1 วันละ 370 บาท และระดับ 2 วันละ 445 บาท สาขาอาชีพช่างเทคนิคบำรุงรักษาเครื่องจักรกลสำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ 1 วันละ 410 บาท และระดับ 2 วันละ 490 บาท สาขาอาชีพช่างเทคนิคระบบรักษาความปลอดภัย ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างกลึงสำหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างเชื่อมมิก-แม็กสำหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างเทคนิคบำรุงรักษาเครื่องจักรกลสำหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างเทคนิคเครื่องกลึงอัตโนมัติสำหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างเทคนิคพ่นสีตัวถังสำหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างเทคนิคพ่นซีลเลอร์ตัวถังสำหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท
 
สาขาอาชีพพนักงานประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ (ขั้นสุดท้าย) ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างเทคนิคเชื่อมสปอตตัวถังสำหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ระดับ 1 วันละ 400 บาท และระดับ 2 วันละ 480 บาท สาขาอาชีพช่างเจียระไนพลอย ระดับ 1 วันละ 420 บาท และระดับ 2 วันละ 550 บาท สาขาอาชีพช่างหล่อเครื่องประดับ ระดับ 1 วันละ 420 บาท และระดับ 2 วันละ 550 บาท สาขาอาชีพช่างตกแต่งเครื่องประดับ ระดับ 1 วันละ 420 บาท และระดับ 2 วันละ 550 บาท สาขาอาชีพช่างฝังอัญมณีบนเครื่องประดับ ระดับ 1 วันละ 420 บาท และระดับ 2 วันละ 550 บาท สาขาอาชีพนักบริหารการขนส่งสินค้าทางถนน ระดับ 1 วันละ 415 บาท และระดับ 2 วันละ 500 บาท สาขาอาชีพผู้ควบคุมรถยกสินค้าขนาดไม่เกิน 10 ตัน ระดับ 1 วันละ 360 บาท และระดับ 2 วันละ 430 บาท สาขาอาชีพผู้ควบคุมสินค้าคงคลัง ระดับ 1 วันละ 350 บาท และระดับ 2 วันละ 420 บาท และสาขาอาชีพผู้ปฏิบัติการคลังสินค้า ระดับ 1 วันละ 340 บาท และระดับ 2 วันละ 410 บาท
 
 
ธนาคารไทยพาณิชย์ปลด จนท.สินเชื่อรถยนต์กว่าครึ่งร้อย สหภาพแรงงานชี้ “บอสใหญ่” เซ็นเอง
 
(9 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากอดีตพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเคยปฏิบัติงานในสาขาพื้นที่ภาคใต้จำนวนหนึ่งว่า ขณะนี้มีอดีตพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ของธนาคารจำนวนมากกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะถูกผู้บริหารเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าตามกฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ยังหลีกเลี่ยงที่จะจ่ายเงินโบนัสจากการปฏิบัติงานช่วงกลางปีจำนวนอย่างน้อย 1 เดือน ที่ทุกคนจะต้องได้รับอีกด้วย
 
“พวกเราเพิ่งถูกแบงก์เลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยแจ้งให้รู้ตัวช่วงประมาณวันที่ 25 พ.ค. แต่กลับให้มีผลเลิกจ้างในวันที่ 31 พ.ค.ในทันที พวกเราไม่มีใครตั้งตัวติด ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างนี้ด้วย กระทบไปถึงครอบครัวทุกคนแน่นอน เราไม่คิดว่าสถาบันการเงินที่เป็นที่เชื่อถือของประชาชนใช้วิธีการลดต้นทุนกันแบบนี้ หลังจากนี้ ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ลูกเมียที่ต้องรับผิดชอบจะอยู่กันได้อย่างไร บางครอบครัวพอกล้ำกลืนเอาตัวรอดไปได้ แต่หลายครอบครัวหน้ามืดตามัวไปตามๆ กัน”
 
อดีตพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาในภาคใต้ กล่าวด้วยว่า เท่าที่ทราบเวลานี้แบงก์เลิกจ้างพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ทั่วประเทศไปแล้วกว่า 50 ตำแหน่ง ในส่วนของภาคใต้มีนับสิบตำแหน่ง เท่าที่ทราบตอนนี้ใน จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สงขลา ถูกเลิกจ้างเท่ากัน 5 ตำแหน่ง ส่วนที่ จ.สุราษฎร์ธานี 2 ตำแหน่ง โดยสิ่งที่ผู้บริหารแบงก์ทำ คือ ใช้วิธีเสนอแกมบังคับว่าจะเขียนจดหมายลาออกเอง หรือจะให้ใช้มาตรการเลิกจ้าง ซึ่งหากเลือกอย่างหลังอาจจะทำให้เสียประวัติได้
 
“หลายคนยินยอมทำหนังสือลาออกให้ แล้วมีการเซ็นชื่อรับเงินชดเชยไปบางส่วนแล้วด้วย แต่ก็มีอดีตพนักงานแบงก์ที่ถูกเลิกจ้างจำนวนมากยังไม่ยอมเซ็นให้ ซึ่งก็แทบไม่มีผลอะไร เพราะผู้บริหารใช้วิธีแจ้งให้ไปรับเงินชดเชย อีกทั้งพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปทำหน้าที่อะไรได้อีกแล้ว ที่น่าเจ็บใจคือ ทำไมต้องรีบเลิกจ้างพวกเรา ทั้งที่หากได้ปฏิบัติงานถึงสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ ในวันที่ 25 มิ.ย.พนักงานจะได้รับโบนัสกลางปีอีกอย่างน้อยคนละ 1 เดือน ทำไมต้องใช้วิธีการแบบนี้ด้วย”
 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังจากที่ฝ่ายบริหารแจ้งเรื่องการเลิกจ้างพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ในวันที่ 25 พ.ค.นั้น ถัดมาเพียง 2 วัน คือ ในวันที่ 27 พ.ค. นายไวทิต ศิริสุวรรณ ประธานสหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ทำหนังสือที่ สร.ธทพ.7/2559 ส่งถึง นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อแจ้งเรื่องขอให้ยกเลิกนโยบายเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ พร้อมกันนั้น ยังได้ส่งคู่ฉบับแจ้งไปยัง นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ และ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ด้วย โดยมีเนื้อหาสำคัญดังนี้
 
ด้วยสหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ภาคใต้ และภาคเหนือที่มีผลกระทบกรณีผู้บริหารสายงานสินเชื่อรถยนต์เลิกจ้างไม่เป็นธรรม มีการบังคับลงลายมือชื่อให้ทำหนังสือลาออกโดยพนักงานไม่ยินยอม และยังมีพนักงานอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ลงลายมือชื่อ แต่ถูกผู้บริหารหน่วยงานแจ้งให้พนักงานกลุ่มนี้ไม่ต้องมาปฏิบัติงาน อีกทั้งยังแจ้งให้มีผลสิ้นสุดการเป็นพนักงานภายในวันที่ 1 มิ.ย.2559
 
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมทั้งเงินชดเชยในกรณีเลิกจ้างก็ไม่ได้ระบุให้พนักงานรับทราบ ขัดต่อกฎหมาย พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 และ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 สหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ ขอให้ท่านยกเลิกนโยบายดังกล่าวทันทีเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของธนาคาร
 
อีกทั้งสหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับทราบว่า ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นผู้ลงนามให้มีการเลิกจ้างกลุ่มพนักงานสินเชื่อรถยนต์โดยตรง ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดผลกระทบ และฟ้องร้องท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ และธนาคารต่อศาล ในกรณีที่ธนาคารยืนยันการเลิกจ้างดังกล่าว
 
สหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ จึงขอเรียนมายังท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้โปรดยกเลิกนโยบายดังกล่าวเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา ทั้งต่อชื่อเสียงของท่าน และธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งสหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ยึดถือ และยึดมั่นในเรื่องแรงงานสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า ท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่จะพิจารณา และยกเลิกนโยบายดังกล่าวในทันที
 
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่งในเจ้าหน้าที่การตลาดสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาในภาคใต้ที่ถูกเลิกจ้าง และกำลังเดือดร้อนหนักให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ถูกแบงก์เลิกจ้างอย่างไมเป็นธรรมในครั้งนี้จำนวนหนึ่งกำลังปรึกษาหารือกันว่า จะเดินหน้าไปขอพึ่ง หรือไปร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานไหนได้บ้าง และเป็นไปได้ที่อาจจะมีการรวมตัวกันเพื่อฟ้องร้องต่อศาลแรงงาน กรณีถูกแบงก์เลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งหลายคนเห็นร่วมกันว่า ถ้ามีช่องทางไหนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ก็จะทำ
 
 
"ลูกจ้าง บ.ไทเกอร์ฯ"ยื่นขอชดเชย 26 ราย
 
นายชัยวัฒน์ ทิพย์ลมัย สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(สสค.) จังหวัดกาญจนบุรี บอกว่า กรณีบริษัทไทเกอร์ เทมเพิล จำกัด ซึ่งจัดการแสดงสัตว์อยู่ภายในวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรีได้แจ้งเลิกจ้างลูกจ้างที่มีอยู่ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.นั้น สสค.จังหวัดกาญจนบุรีได้ประสานงานกับประกันสังคมจังหวัดกาญจนบุรีพบว่าบริษัทฯมีลูกจ้าง 72 คน และไม่มีค่าจ้างค้างจ่ายทั้งนี้ จากการที่สสค.เข้าไปช่วยเหลือลูกจ้างได้มีลูกจ้างลาออกเอง และไม่เขียนคำร้องเพื่อขอใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 46 คนและมีลูกจ้าง 26 คน ที่เขียนคำร้องเพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานทั้งกรณีขอค่าบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินชดเชยตามอายุงาน โดยสสค.จะเรียกนายจ้างมาชี้แจงข้อมูลและตรวจสอบรายละเอียดการจ้างงานของลูกจ้างแต่ละคนทั้ง 26 คนโดยเร็วที่สุด และจะออกหนัง สือคำสั่งให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานภายใน 30 วัน
 
 
กรมการจัดหางานเตือนแรงงานไทยในสิงคโปร์ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ หลัง 22.30 น.
 
กรมการจัดหางานแจ้งเตือนแรงงานไทยที่ทำงานในสิงคโปร์ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในที่สาธารณะ สวนสาธารณะและพื้นที่ส่วนกลางของพื้นที่อาศัยของรัฐ หลังเวลา 22.30 - 07.00 น. หากฝ่าฝืนมีโทษปรับประมาณ 2,500 บาท หากกระทำผิดซ้ำอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 3 เดือน หากกระทำผิดในเขตควบคุมสุรา จะต้องโทษสูงกว่าโทษพื้นฐานมากกว่า 10 เท่า
 
นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน แจ้งว่า ขณะนี้ประเทศสิงคโปร์ออกกฎหมายเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในที่สาธารณะ สวนสาธารณะและพื้นที่ส่วนกลางของพื้นที่อาศัยของรัฐ หลังเวลา 22.30 - 07.00 น. โดยเฉพาะในย่านลิตเติ้ลอินเดีย และเกย์ลัง ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสุรา ทั้งนี้ อนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้เฉพาะในบริเวณสถานที่ เช่น ผับ/ดิสโก้ หรือร้านอาหารเท่านั้น หรือหากซื้อจากร้านค้า/ร้านอาหารในตึกโกลเด้นมายคอมเพล็กต้องซื้อจากร้านที่มีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายจาก NEA/PLRD และอนุญาตให้ดื่มได้ภายในร้านเท่านั้น หากฝ่าฝืนมีโทษปรับประมาณ 2,500 บาท หากกระทำผิดซ้ำอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 3 เดือน หากกระทำผิดในเขตควบคุมสุรา จะต้องโทษสูงกว่าโทษพื้นฐานมากกว่าถึง 10 เท่า ส่วนร้านค้าที่ขายแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาห้ามขาย มีโทษปรับไม่เกิน 250,000 บาท ทั้งนี้ ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่แรงงานไทยเดินทางไปทำงานมากที่สุด เป็นลำดับที่ 4 รองจาก ไต้หวัน สาธารณรัฐเกาหลี และ ญี่ปุ่น โดยในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา มีคนหางานที่เดินทางไปทำงานประเทศสิงคโปร์ จำนวน 41,302 คน จำแนกเป็น ปี 2559 (มกราคม-พฤษภาคม) จำนวน 3,254 คน ปี2558 จำนวน 7,265 คน ปี2557 จำนวน 8,191 คน ปี 2556 จำนวน 10,728 คน และปี2555 จำนวน 11,864 คน โดยส่วนใหญ่เป็นการแจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง ตำแหน่งช่างเชื่อม ช่างไฟฟ้า ในอุตสาหกรรมวางท่อก๊าซและน้ำมัน
 
กรมการจัดหางานจึงขอประชาสัมพันธ์ให้แรงงานไทยทั้งที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์และกำลังจะเดินทางไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ ควรปฏิบัติตามกฎหมายประเทศสิงคโปร์อย่างเคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยง การกระทำผิดกฎหมายเนื่องจากสิงคโปร์มีการกำหนดบทลงโทษรุนแรงและเข้มงวด นอกจากนี้ ยังต้องเรียนรู้สภาพสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ ค่าครองชีพ และวัฒนธรรมของประเทศสิงคโปร์ด้วย
 
 
สำนักงานประกันสังคมเตรียมเปิดเวทีรับฟังความเห็น แก้ไขกฎหมายขยายอายุเกษียณ-เพิ่มเงินสมทบ
 
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. นายโกวิท สัจจวิเศษ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการศึกษาแนวทางการขยายอายุเกษียณ และเพิ่มเงินสมทบเพื่อสร้างความมั่นคงให้กองทุนประกันสังคม ว่า ขณะนี้คณะทำงานของ สปส.ได้มีข้อสรุปว่า ควรให้มีการปรับการกำหนดอายุเกษียณและการเพิ่มอัตราเงินสมทบให้เป็นไปอย่างยืดหยุ่น โดยเสนอให้แก้ไข พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ประกันสังคม พ.ศ 2558 ที่ปัจจุบันกำหนดอายุเกษียณของผู้ประกันตนไว้ที่ 55 ปี และกำหนดอัตราเงินสมทบของฝ่ายลูกจ้าง นายจ้างฝ่ายละ ร้อยละ 5 และฝ่ายรัฐร้อยละ 2.5 ให้เปลี่ยนเป็นไม่กำหนดตัวเลขอายุเกษียณและอัตราเงินสมทบที่แน่นอน โดยให้ออกเป็นกฎกระทรวงกำหนดภายหลัง เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน  .ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) ที่เสนอให้ขยายอายุเกษียณและเพิ่มอัตราเงินสมทบกรณีชราภาพให้มากกว่าปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3 ทั้งนี้ เบื้องต้นมีแนวคิดจะขยายอายุเกษียณเป็นแบบขั้นบันได
 
เลขาธิการฯ. สปส. เชื่อว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้จะช่วยให้การกำหนดอายุเกษียณเป็นไปอย่างยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะเดิมมีการกำหนดไว้ในกฎหมายอย่างตายตัว แต่ทั้งนี้การที่จะกำหนดอายุเกษียณและเพิ่มอัตราเงินสมทบจะต้องมีการหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน
 
นายโกวิท กล่าวอีกว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ สปส.จะจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น เพื่อระดมความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและสรุปข้อมูล เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในการจัดทำร่างแก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. ... เพื่อเสนอต่อ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อพิจารณาต่อไป
 
 
กนร.เคาะปรับขั้นตอนขอใบอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าว
 
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่กระทรวงแรงงาน นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าร่วม ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ กกจ. เสนอขอปรับเปลี่ยนขั้นตอนการออกใบอนุญาตทำงาน โดยให้แรงงานนำเอกสารยืนยันการนัดหมายตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลมายื่นต่อเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงาน จากนั้นเมื่อได้ผลการตรวจสุขภาพเรียบร้อยแล้วให้นำมายื่นต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กำหนด จากเดิมที่ต้องรอให้ผลออกเรียบร้อยแล้วจึงจะนำมายื่นดำเนินการ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
 
นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดเงื่อนไขการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเปลี่ยนไปทำงานกับนายจ้างรายใหม่ โดยตั้งเป้าจะศึกษาและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ติดตามของแรงงานต่างด้าวและบุตรของแรงงานต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย และคณะอนุกรรมการพิจารณาการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ) ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานภาคประมง และคณะอนุกรรมการยกร่างกฎหมายรองรับการรับอนุสัญญาไอแอลโอฉบับดังกล่าว นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้ตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน โดยเบื้องต้นจะนำร่องที่ จังหวัดตาก สระแก้ว และหนองคาย ภายใต้การดูแลของกระทรวงแรงงาน เพื่อสร้างความเข้าใจกับนายจ้างและชี้แจงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายให้แรงงานต่างด้าวรับทราบ ป้องกันปัญหาแรงงานบังคับที่อาจนำไปสู่กระบวนการการค้ามนุษย์ได้ และมีมติให้ตั้งศูนย์ร่วมบริการช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว โดยจะประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน เอ็นจีโอและหน่วยงานต่างๆ เบื้องต้นจะตั้งขึ้นในจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก คือ จังหวัดสมุทรสาคร ระนอง และชลบุรี จุดประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รับร้องทุกข์ เป็นศูนย์กลางให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาขอความช่วยเหลือ
 
นายอารักษ์กล่าวด้วยว่า พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำแนวปฏิบัติ ในการตรวจบัตรสีชมพูและใบอนุญาตทำงาน ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการป้องกันและตรวจสอบการปลอมแปลงบัตรสีชมพู แม้ที่ผ่านมาจะยังไม่พบปัญหาดังกล่าว รวมทั้งยังให้ศึกษาแนวทางการปรับปรุงบัตรสีชมพูและใบอนุญาตทำงานใหม่ เพื่อให้มีรูปแบบที่ทันสมัย ตรวจสอบได้ง่าย โดยคาดว่าภายใน 2 เดือนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
ทั้งนี้ สำหรับยอดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรสีชมพู ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา และกลุ่มที่ถือเอกสารประจำตัวบุคคลซึ่งไม่ใช่หนังสือเดินทางที่ประเทศต้นทางออกให้ ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 3 ล้านคน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 29 กรกฎาคม ว่า ยอดการจดทะเบียนระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 9 มิถุนายนที่ผ่านมา มีนายจ้างจำนวน 144,967 คน นำต่างด้าวมาจดทะเบียน จำนวน 494,030 คน เป็นแรงงานจำนวน 482,898 คน เป็นผู้ติดตาม จำนวน 11,132 คน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นสัญชาติพม่า จำนวน 277,262 คน สัญชาติลาว จำนวน 31,312 คน สัญชาติกัมพูชา จำนวน 185,456 คน
 
 
ผู้ว่าฯ โคราชบุกช่วยต่างด้าวถูกนายจ้าง รง.ไก่กดขี่หักเงินเกิน กม.กำหนด-ที่พักอาศัยห่วย
 
(13 มิ.ย.) ที่โรงงานผลิตไก่แช่แข็งส่งออก บริษัท บีบีเอ็ม อินเตอร์ฟู้ด จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 253 ม.3 ต.ขามทะเลสอ อ.ขามทะเลสอ จ.นครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด แรงงานจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานต่างด้าวและติดตามความคืบหน้าในการปฏิบัติตามข้อตกลงของนายจ้าง
 
จากกรณีเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมาแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่ากว่า 30 คนเข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรม และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครราชสีมาว่า บริษัท บีบีเอ็ม อินเตอร์ฟู้ด จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 253 ม.3 ต.ขามทะเลสอ อ.ขามทะเลสอ จ.นครราชสีมา ผลิตไก่แช่แข็งส่งออก ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทำให้แรงงานต่างด้าวได้รับความเดือดร้อน จากการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานของนายจ้าง
 
หลังลงพื้นที่ตรวจสอบ นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าบริษัทดังกล่าวไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จริง ไม่ว่าจะเป็นการหักค่าแรงที่ไม่เป็นธรรม จึงได้เข้าช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวตามสิทธิที่แรงงานต่างด้าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับทางบริษัทก็ยินยอมที่จะคืนเงินในส่วนที่หักเงินจากลูกจ้างเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดให้ครบทุกคนภายในระยะเวลา 15 วัน และปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ
 
ส่วนเรื่องร้อนเรียนเรื่องความเป็นอยู่ที่พักของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ถูกสุขลักษณะนั้น จากการลงไปตรวจสอบพบเป็นบ้านพักสวัสดิการที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ แต่เมื่อมีแรงงานอยู่กันเป็นจำนวนมากจึงทำให้เกิดความไม่สะอาด จึงได้สั่งการให้สาธารณสุขอำเภอขามทะเลสอเข้าไปดูแลและออกข้อแนะนำให้ทางบริษัทไปดำเนินการแก้ไข สำหรับบริษัท บีบีเอ็ม อินเตอร์ฟู้ด จำกัด มีแรงงานทั้งสิ้น 239 คน เป็นแรงงานต่างด้าวกว่า 200 คน
 
 
กระทรวงพาณิชย์ พร้อมขยายร้านหนูณิชย์ฯ เข้าโรงงาน มั่นใจข้าวปิ่นโตร้านสะดวกซื้อ ไม่กระทบร้านข้าวแกง
 
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับประชาชน กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ในสัปดาห์หน้า จะหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้ง สภาแรงงาน เพื่อสรุป และดำเนินการนำเอาร้านหนูณิชย์ ไปจำหน่ายข้าวแกงราคาถูกไม่เกินจานละ 35 บาท ภายในบริเวณโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และยังคงมั่นใจว่า ร้านข้าวแกงต่างๆ รวมทั้งโครงการหนูณิชย์ จะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ได้มีการโปรโมชั่นในการทำข้าวปิ่นโตเพราะส่วนใหญ่ยังคงต้องการบริโภคข้าวแกงที่มีความสดใหม่ และหลากหลาย ในราคาไม่แพง ขณะที่ ข้าวปิ่นโตดังกล่าวน่าจะเป็นทางเลือก สำหรับผู้บริโภคที่มีรายได้สูง และทำงานในเมืองมากกว่า
 
และสำหรับร้านหนูณิชย์พาชิม ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงพาณิชย์ ที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะนี้ เปิดแล้วมากกว่า 11,000 ร้านทั่วประเทศ และยังมีแนวโน้มขยายได้อย่างต่อเนื่อง
 
 
"ซูจี"เดินทางเยือนประเทศไทย ใน 23-25 มิ.ย นัดหารือบันทึกความร่วมมือด้านแรงงาน
 
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา จะเดินทางเยือนประเทศไทย ในวันที่ 23-25 มิ.ย.59 ซึ่งจะมีการหารือถึงบันทึกความร่วมมือด้านแรงงาน โดยที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอเรื่องบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู ว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาพร้อมอนุมัติให้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนาม ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็มให้พล.อ.ศิริชัย เป็นผู้ลงนามในเอกสารทั้งสองฉบับ
 
พล.ต.วีรชนกล่าวอีกว่า หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่ครม.ได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอครม.ทราบภายหลังตามหลักเกณฑ์ของมติครม.เมื่อวันที่ 30มิ.ย.58 เรื่องการจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศในการลงนามครั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจริงจังและความจริงใจของไทย ในการร่วมกันแก้ปัญหาแรงงานปัญหาการค้ามนุษย์และการแก้ไขปัญหาสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ อย่างมีความโปร่งใสและธรรมาภิบาล
 
 
แรงงานเปิดขึ้นทะเบียนคนว่างงานผ่านเน็ต
 
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน แถลงข่าวความคืบหน้าการเปิดขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ว่า ขณะนี้ กกจ.เปิดให้บริการขึ้นทะเบียนว่างงานกรณีผู้ประกันตนถูกเลิกจ้างหรือลาออก ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมาทาง http://empui.doe.go.th/auth/index เพื่อความสะดวกรวดเร็วและลดขั้นตอน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาใช้บริการที่สำนักงาน โดยใช้เพียงเลขบัตรประจำตัวประชาชนในการเข้าสู่ระบบซึ่งตรวจสอบข้อมูลจากกรมการปกครองเพื่อยืนยันตัวบุคคล อีกทั้ง ยังสามารถออกหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน สำหรับใช้เป็นหลักฐานยืนยันในการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตในการขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคม พ.ศ.2533 ได้อีกด้วย
 
นายอารักษ์กล่าวอีกว่า จากข้อมูลพบว่ามีผู้ประกันตนเดินทางมาขึ้นทะเบียนที่สำนักงานเฉลี่ยวันละประมาณ 3,000 คนทั่วประเทศ หากคิดจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางคนละ 100 บาท จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึงวันละกว่า 300,000 บาท หากคิดเป็นเดือนจะประหยัดได้เดือนละกว่า 9 ล้านบาท สำหรับจำนวนผู้ประกันตนที่เข้ามาใช้บริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ตระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม-15 มิถุนายน ที่ผ่านมามีจำนวน 6,695 ราย เป็นชาย 2,639 ราย เป็นหญิง 4,056 ราย
 
 
กลุ่มบุคคลไร้สัญชาติวอนกระทรวงแรงงานขยายการอนุญาตขอบเขตการประกอบอาชีพให้เพิ่มมากขึ้น
 
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่กระทรวงแรงงาน นายสันติพงษ์ มูลฟอง ประธานคณะกรรมการมูลนิธิเครือข่ายสถานะบุคคล นำคณะบุคคลไร้สัญชาติที่ประสบปัญหาในเรื่องการทำงาน ตัวแทนจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ จำนวนกว่า 30 คน มายื่นหนังสือถึง นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) เพื่อขอความช่วยเหลือ จากกรณีการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดงานหรือการประกอบอาชีพ ของคนไร้สัญชาติ เพื่อให้ได้สิทธิทำงานอย่างถูกต้อง ตามมาตรา 13 ของ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ) การทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ที่ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุญาตให้คนไม่ใช่สัญชาติไทยประกอบอาชีพได้ตามที่กำหนด 27อาชีพเท่านั้น
 
นายสันติพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีกลุ่มบุคคลไร้สัญชาติจำนวนกว่าแสนคนในจังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่อื่นอีก 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ที่อยู่ในระบบการศึกษาประมาณ 79,000 คน ซึ่งเมื่อต้องออกนอกพื้นที่จะต้องขออนุญาตออกจากพื้นที่เพื่อศึกษาตามหลักสูตร
 
สำหรับบุคคลไร้สัญชาตินี้มีจำนวนมากที่จบการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี ในสาขาต่างๆ เช่น วิศวกร พยาบาล นิติศาสตร์ ครู แต่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เพราะไม่มีสัญชาติไทย และไม่สามารถออกนอกพื้นที่ได้ แม้ปัจจุบันจะผ่อนผันให้ออกนอกอำเภอได้ แต่ไม่ให้ออกนอกเขตจังหวัดก็ตาม จึงอยากขอให้มีการผ่อนผันให้สามารถเดินทางไปได้ทั่วประเทศ เพราะเนื่องจากเกรงว่า ถ้ามีกี่ปิดกันโอกาสของเยาวชนไร้สัญชาติที่มีคุณภาพ ต่อไปในอนาคตคนรุ่นกลุ่มนี้จะไม่เข้ามาสู่ระบบการศึกษา หรืออาจหันไปประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมายได้
 
ขณะที่นาย ยอด ปอง อายุ 27 ปี บุคคลพื้นที่สูงชาติพันธุ์ปะหล่อง ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นผู้ที่ถือบัตรบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน เล่าให้ฟังว่า ตนจบการศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนนาฏยสังคีต มหาวิทยาลัยบูรพา และได้รับใบประกอบวิชาชีพครูเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบันเป็นครูสอนอยู่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี แต่อีก 5 เดือน ใบอนุญาตออกนอกพื้นที่จะครบกำหนด จึงจะทำให้ตนไม่สามารถประกอบอาชีพได้อีก จึงอยากขอร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ เปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีสถานะประกอบอาชีพได้เพิ่มมากขึ้น
 
ด้าน นายอารักษ์ กล่าวยืนยันว่า จะให้ความช่วยเหลือบุคคลกลุ่มนี้ให้มีโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยเบื้องต้นจะนำข้อเรียกร้องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ และอาจจะต้องเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ซึ่งคาดว่าภายใน 3 เดือน จะมีความชัดเจน ก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในลำดับต่อไป
 
บุคคลกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ หากสามารถช่วยเหลือนำเข้าสู่ระบบการทำงานได้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานของประเทศได้ “อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พม่าเลื่อนฉาย "สิ้นแสงฉาน" -หลังกองเซ็นเซอร์ขอตรวจสอบ

$
0
0

ภาพยนตร์ "Twilight Over Burma” หรือสิ้นแสงฉาน ไม่ทันฉายในพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชนนานาชาติ โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยกองเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ ทั้งนี้กรรมการรายหนึ่งเกรงว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำลายภาพลักษณ์ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างชาติพันธุ์ในพม่า โดยจะทราบมติการพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 16 มิ.ย. นี้

ภาพจากตัวอย่างภาพยนต์ "Twilight Over Burma" (ที่มา Dor-flim.com)

ภาพยนตร์ "Twilight Over Burma” หรือสิ้นแสงฉาน จะถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์พม่า ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชนนานาชาติ (Human Rights Human Dignity International Film Festival) หรือ HDIF ประจำปี 2016 ทำให้ในวันพิธีเปิดเมื่อวันอังคารที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา ไม่มีการฉายภาพยนตร์ดังกล่าว

ทั้งนี้ในเพจของ เทศกาลภาพยนตร์ HDIF แจ้งว่าพวกเราในนามเพจเทศกาลภาพยนตร์สิทธิมนุษยชนนานาชาติขออภัยที่ไม่สามารถฉายภาพยนตร์ "สิ้นแสงชาติ"ในพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตร์ประจำปี 2016 อย่างที่เราประกาศและระบุในกำหนดการ

สำหรับโครงสร้างคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์พม่า ประกอบด้วยกรรมการ 15 คน เป็นข้าราชการจากกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศาสนาและวัฒนธรรม รวมทั้งมีตัวแทนบางส่วนจากสมาคมผู้ผลิตภาพยนตร์ และสมาคมผู้ผลิตดนตรี

ตามรายงานของบีบีซีไทยสำนักข่าวอิระวดีสัมภาษณ์คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์รายหนึ่งว่าคณะกรรมการจะประกาศมติจากการพิจารณาภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งในวันพรุ่งนี้ คือวันพฤหัสบดีที่ 16 มิ.ย. อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาห้ามฉายซึ่งเป็นมติครั้งแรกนั้นเหตุผลที่สำคัญในการทบทวนภาพยนตร์ดังกล่าวคือ เนื้อหาของภาพยนตร์นั้นทำลายภาพลักษณ์ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างชาติพันธุ์ในพม่า

มอน มอน เมียะ ผู้สื่อข่าวอาวุโสและผู้อำนวยการเทศกาลภาพยนตร์เพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ขึ้นกล่าวเปิดงานแสดงความผิดหวังต่อการตัดสินของคณะกรรมการว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าแม้ประเทศจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้ว แต่อิทธิพลของระบอบทหารก็ยังคงมีอยู่สูง เหมือนเป็นเหล้าใหม่ในขวดเก่า และกล่าวด้วยว่ามติเช่นนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า “ทหารและศาสนายังคงเป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถแตะต้องได้”

ด้านอิกอร์ พาเวล เซเดก ผู้ก่อตั้งเทศกาลภาพยนตร์ดังกล่าวโพสต์ข้อความในเฟซบุกว่าเขาคิดหนักหลังจากถูกห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะเขาห่วงใยต่อสถานการณ์ด้านสันติภาพและการสร้างความสมานฉันท์ในพม่า แต่ก็สงสัยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ “เป็นอันตราย” จริงหรือ โดยได้คำตอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพม่านั้นหลายเรื่องเป็นเรื่องเจ็บปวดอย่างยิ่งและยากจะเผชิญหน้าและยอมรับ แต่เขาก็เชื่อว่าการยอมรับความจริงเท่านั้นจึงจะทำให้เกิดการปรองดองและเยียวยาจิตวิญญาณของคนในประเทศนี้

“มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่กองทัพและประเทศเมียนมาจะปรองดองและเยียวยาจิตวิญญาณที่เจ็บปวดและชุมชนที่บาดเจ็บ นั่นก็คือการปล่อยให้ความเจ็บปวดได้ถูกบอกเล่า ถูกรับฟัง และให้ความเคารพต่อความเจ็บปวดอันสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้คนจำนวนมาก การปิดกั้นการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ไมได้ช่วยสร้างความปรองดอง”

สำหรับภาพยนตร์ "สิ้นแสงฉาน"กำกับโดย ซาบีน เดอฟลิงเงอร์ ผู้กำกับหญิงชาวออสเตรีย นำแสดงโดย ทวีฤทธิ์ จุลทรัพย์ รับบทเป็นเจ้าจ่าแสง และ มาเรีย เอริค นักแสดงสาวชาวเยอรมัน และหลายฉากถ่ายทำในประเทศไทย เป็นภาพยนตร์สร้างจากหนังสือ Twilight Over Burma: My Life as a Shan Princess ชิวตรักระหว่างเจ้าจ่าแสง เจ้าฟ้าเมืองสีป้อ รัฐฉาน กับ อิงเง เซอร์เจน หญิงชาวออสเตรีย ที่พบรักกันระหว่างเจ้าจ่าแสงไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาและไม่ยอมเปิดเผยสถานะเจ้าฟ้าของตน จนกระทั่งพาอิงเง เซอร์เจน กลับมายังพม่า โดยอิงเง เซอร์เจน มีอีกชื่อหนึ่งว่า เจ้าหญิงสุจันติ ต่อมาหลังพม่าได้รับเอกราช เจ้าจ่าแสง มีตำแหน่งอยู่ในสภาสูงของพม่า ต่อมาหลังนายพลเนวินยึดอำนาจในปี 2505 เจ้าจ่าแสงเป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าฟ้าที่ถูกจับและหายสาบสูญ

ต่อมาหลังครอบครัวของอิงเง เซอร์เจน การอพยพออกจากรัฐฉานไปอยู่ต่างประเทศ หลายปีต่อมา ในปี 2537 อิงเง เซอร์เจน ได้เขียนเผยแพร่หนังสือชื่อ “Twilight Over Burma” และอีกหนึ่งปีต่อมาได้ก่อตั้งองค์กรเบอร์มาร์ไลฟ์ไลน์ จัดหางบประมาณและให้การช่วยเหลือผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย – พม่า

ในปี 2551 อิงเง เซอร์เจน ได้ก่อตั้งกองทุนรางวัลภาวะผู้นำเจ้าสุจันติ (Sao Thusandi Leadership Award) โดยมุ่งเน้นมอบรางวัลให้แก่เยาวชนจากรัฐฉาน  ที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานด้านประชาธิปไตย สันติภาพ การสร้างสรรค์สังคม และสิทธิมนุษยชน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อ่าน! แถลงการณ์ทรงพลังของหญิงสาว คดีข่มขืนในสแตนฟอร์ด

$
0
0

คำแถลงของหญิงสาวในคดีข่มขืนภายในมหาวิทยาลัยชื่อดังในสหรัฐอเมริกา ความยาวกว่า 7,000 คำ ได้กลายเป็นเอกสารทรงพลังที่ส่งต่อเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นให้เวลาอ่านคำแถลงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ล่าสุด ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว

คืนหนึ่งในเดือนมกราคม 2558 ในงานปาร์ตี้หอชายของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บร็อก เทอร์เนอร์ นักศึกษาและนักกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย ข่มขืนหญิงสาวคนหนึ่งหลังถังขยะ เหตุการณ์ถูกขัดจังหวะโดยนักเรียนปริญญาเอกชาวสวีเดนที่ขี่จักรยานผ่านมา

เรื่องนี้ใช้เวลาสู้คดี 1 ปีในศาล บร็อก เทอร์เนอร์ สู้คดีว่าเขาไม่ได้ข่มขืน มันเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในอาการเมา สิ่งที่เขาทำอาจจะผิด แต่มันเป็นความประมาทที่เกิดจากอาการเมา นอกจากนี้ ตามกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้เขาหลุดจากข้อหา "ข่มขืน"เพราะบร็อกไม่ได้ใช้อวัยวะเพศของตัวเองสอดใส่เข้าไปในตัวหญิงสาว แต่ใช้นิ้วและสิ่งอื่นๆ ทำให้ข้อหาเหลือเพียง "การล่วงละเมิดทางเพศ"

"ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีคนบอกฉันอย่างนั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า แต่เพราะฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นในทางเทคนิคจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันไม่ได้ปรารถนาที่จะมีเพศสัมพันธ์ และนั่นช่างบิดเบือนความรู้สึกและทำร้ายจิตใจจนฉันแทบเป็นบ้า"ส่วนหนึ่งของคำแถลงของหญิงสาว

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2559 คณะลูกขุนทั้ง 12 คนมีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ว่า บร็อก เทอร์เนอร์ มีความผิด ผู้พิพากษาตัดสินให้จำคุก 6 เดือน และหากประพฤติตัวดี อาจได้รับการลดโทษเหลือเพียง 3 เดือน

ด้วยอัตราโทษที่เบา ทัศนคติของผู้พิพากษาที่เห็นว่า บร็อก เทอร์เนอร์ ไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อใคร ความเห็นของพ่อของบร็อกที่เห็นว่านี่เป็นราคาที่จ่ายแพงเกินไปจากการกระทำแค่ 20 นาที และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอกสารคำแถลงของหญิงสาว สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุกความรู้สึกของคนและจุดกระแสให้คนสนใจคดี

คำแถลงของหญิงสาว ความยาวกว่า 7,000 คำ ได้รับการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ buzzfeedมันกลายเป็นเอกสารทรงพลังที่ส่งต่อเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นให้เวลาอ่านคำแถลงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ล่าสุด ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยตามรายละเอียดดังนี้

 


หมายเหตุ:คำแปลชุดนี้ ได้รับความร่วมมือจากทีมอาสาสมัครเร่งด่วนจำนวน 14 คน ที่ช่วยกันแปลจนงานสำเร็จลงได้ ขอบคุณทีมแปล ได้แก่

กัปตัน จึงธีรพานิช * ขวัญระวี วังอุดม * คีตนาฏ วรรณบวร * จีรนุช เปรมชัยพร * ดวงรมณ ภาพย์ตันติ * นวพร ศุภวิทย์กุล * นันทนีย์ เจษฎาชัยยุทธ์ * ปราชญ์ ปัญจคุณาธร * พันธ์ทิพย์ สุประดิษฐ์ * พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ * สวรรยา พากเพียร * อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา * อารยา สุวรรณคำ *

และบรรณาธิการต้นฉบับแปล คือ ขวัญระวี วังอุดม และ สุลักษณ์ หลำอุบล และขอขอบคุณผู้ให้คำแนะนำเบื้องหลังอีกหลายๆ ท่าน

 

 

*************

กราบเรียนท่านผู้พิพากษา

หากท่านเห็นควร ดิฉันขออนุญาตอ่านข้อแถลงนี้แก่จำเลยเป็นสำคัญ

คุณไม่ได้รู้จักฉัน, แต่คุณได้ล่วงล้ำเข้ามาอยู่ในตัวฉัน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้เราจึงต้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่

คืนวันเสาร์ที่ 17 มกราคม 2558 เป็นอีกคืนที่เงียบสงบ พวกเราอยู่บ้าน พ่อของฉันทำอาหารเย็น ส่วนฉันและน้องสาวซึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นั่งกันอยู่ที่โต๊ะ ปรกติฉันทำงานเต็มเวลา และตอนนั้นก็ใกล้เวลาเข้านอนของฉันแล้ว ฉันตั้งใจว่าจะอยู่บ้านดูหนังและอ่านหนังสือตามลำพังไม่ออกไปไหน ส่วนน้องสาวของฉันวางแผนจะไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ของเธอ แต่ด้วยความที่คืนนั้นเป็นคืนเดียวที่ฉันจะได้มีเวลาอยู่กับน้องสาว และฉันเองก็ไม่มีอะไรที่ดีกว่าทำ เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไปปาร์ตี้กับน้องสาวเสียเลยล่ะ มีงานปาร์ตี้โง่ๆ อยู่ห่างจากบ้านไปแค่ 10 นาที ฉันจะไปเต้นแบบหลุดโลกให้น้องสาวอายมุดโต๊ะไปเลย ระหว่างทางฉันยังพูดติดตลกกับน้องสาวว่า นักศึกษาชายปริญญาตรีพวกนั้นคงยังใส่เหล็กดัดฟันกันอยู่เป็นแน่ น้องสาวแซวกลับว่า ฉันแต่งตัวไปงานปาร์ตี้หอชายใส่เสื้อคลุมสีครีมยังกับเป็นบรรณารักษ์ ฉันยังเรียกตัวเองว่า “บิ๊กมาม่า” เพราะฉันรู้ว่าฉันต้องอายุมากที่สุดในงาน ฉันยังทำหน้าตาทะเล้น ปล่อยตัวตามสบาย และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนลืมนึกไปว่าความสามารถในการดื่มของตัวเองลดลงไปมากตั้งแต่เรียนจบ

พอจำความได้อีกที ฉันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ตรงทางเดิน ที่หลังมือและข้อศอกของฉันมีคราบเลือดและผ้าปิดแผลติดอยู่ ฉันคิดว่าฉันคงหกล้มเลยถูกพาตัวมาอยู่ที่ออฟฟิศของฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย ฉันนิ่งสงบมาก ในใจได้แต่สงสัยว่าน้องสาวของฉันอยู่ไหน สักพักเจ้าหน้าที่แจ้งให้ฉันทราบว่าฉันถูกทำร้าย ฉันยังคงสงบนิ่งแถมยังยืนยันกับเจ้าหน้าที่กลับไปว่าเขาคงพูดผิดคนแล้ว ฉันไม่รู้จักใครในงานปาร์ตี้นั้น จนเมื่อฉันได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำ ฉันปลดกางเกงที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ฉันใส่ ตั้งใจจะถอดกางเกงชั้นในแต่กลับหามันไม่เจอ

ฉันยังจำความรู้สึกตอนที่มือสัมผัสผิวหนังแต่กลับคลำไม่เจอสิ่งที่ฉันต้องการหาได้ ฉันก้มลงมองจึงรู้ว่าไม่มีจริงๆ ผ้าบางๆ ที่คั่นระหว่างอวัยวะเพศของฉันและสิ่งอื่นหายไป ความรู้สึกภายในตอนนั้นมันนิ่งอึ้ง กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังไม่สามารถหาคำมาบรรยายความรู้สึกในขณะนั้นได้ เพื่อช่วยให้ตัวเองกลับมาหายใจได้เป็นปรกติ ฉันได้แต่คิดว่าตำรวจอาจจะใช้กรรไกรตัดกางเกงชั้นในออกเพื่อเอาไปใช้เป็นหลักฐาน

จากนั้นฉันรู้สึกว่ามีก้านสนทิ่มที่หลังคอของฉัน ฉันค่อยๆ หยิบมันออกจากเส้นผม ฉันคิดว่า ก้านเหล่านี้คงร่วงจากต้นตกมาใส่หัวฉัน สมองของฉันพยายามพูดไม่ให้ใจเสีย
เพราะลึกๆ แล้วข้างในของฉันกำลังร้องว่า ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันด้วย

ฉันย้ายห้องตรวจจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งในสภาพที่มีผ้าห่มพันรอบตัว และก้านสนยังคงทิ่มฉันอยู่ ไม่ว่าฉันเข้าไปนั่งในห้องไหน จะต้องมีก้านสนหล่นลงมาด้วยทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ให้ฉันเซ็นเอกสารที่มีคำว่า “เหยื่อข่มขืน” ฉันจึงคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ เสื้อผ้าของฉันถูกริบไว้ ฉันยืนตัวเปล่าขณะที่พยาบาลใช้ไม้บรรทัดวัดรอยถลอกและถ่ายรูปแผลบนตัวฉัน เราสามคนช่วยกันหวีเอาก้านสนออกจากเส้นผมของฉัน มือหกมือช่วยกันโกยก้านสนใส่ในถุงกระดาษ และเพื่อช่วยให้ฉันสงบลง พวกเขาบอกว่ามันเป็นแค่ดอกไม้ใบไม้เท่านั้น พวกเขาสอดผ้าก๊อซเข้าไปในอวัยวะเพศ และที่รูก้นของฉันหลายครั้ง ฉันถูกฉีดยาหลายเข็ม ถูกป้อนยา มีกล้องมาถ่ายที่หว่างขา มืเครื่องมือปากเป็ดสอดเข้ามาในตัว และมีของเหลวสีฟ้าๆ เย็นๆ มาป้ายที่อวัยวะเพศเพื่อตรวจหารอยถลอก

หลังตรวจเสร็จเป็นเวลากว่า 2-3 ชั่วโมง พวกเขาอนุญาตให้ฉันอาบน้ำได้ ฉันยืนสำรวจร่างกายตัวเองใต้น้ำที่ไหลผ่านออกมาจากฝักบัว ฉันตัดสินใจว่า ฉันไม่ต้องการร่างกายนี้อีกต่อไป ฉันรู้สึกหวาดผวา ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรเข้าไปในตัวฉันบ้าง หากร่างกายฉันถูกแปดเปื้อน ใครล่ะเป็นคนทำ ฉันอยากถอดร่างกายของฉันออกเหมือนถอดเสื้อแจ็คเก็ต และทิ้งมันไว้ที่โรงพยาบาลพร้อมกับทุกสิ่งอย่าง

เช้าวันนั้นที่โรงพยาบาล พวกเขาบอกฉันแค่ว่าฉันถูกพบอยู่หลังที่ทิ้งขยะ มีความเป็นไปได้ที่ฉันถูกสอดใส่โดยคนแปลกหน้า และฉันควรกลับมาตรวจหาเชื้อเอชไอวีอีกครั้งเนื่องจากผลตรวจมักไม่ปรากฏในทันที แต่ตอนนี้ฉันควรกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปรกติ คุณลองจินตนาการดูสิว่า คุณต้องกลับสู่โลกใบเดิมด้วยข้อมูลเพียงแค่นั้น พวกเขากอดฉันแน่น ฉันเดินออกจากโรงพยาบาลไปยังที่จอดรถ สวมเพียงเสื้อยืดกับกางเกงขายาวที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ พวกเขาอนุญาตให้ฉันเก็บไว้เพียงสร้อยคอและรองเท้า

น้องสาวเป็นคนมารับฉัน ใบหน้าของเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ทั้งยังบิดเบี้ยว สัมผัสได้ถึงความปวดร้าว ตามสัญชาตญาณ ทันทีที่ฉันเห็นหน้าน้องสาว ฉันอยากทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ฉันยิ้มและบอกให้เธอมองมาที่ฉัน ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันไม่เป็นอะไร ทุกอย่างโอเค ฉันอยู่นี่ ผมฉันสระสะอาด เขาเอาแชมพูที่กลิ่นประหลาดที่สุดมาให้ฉันใช้ ไม่เป็นไรแล้วนะ ใจเย็นๆ แล้วมองมาที่ฉัน ดูกางเกงขายาวกับเสื้อยืดที่ฉันใส่สิ ฉันดูเหมือนครูสอนพละยังไงยังงั้นเลย ไปเถอะ เรากลับบ้านกัน ไปหาอะไรกินกัน น้องสาวของฉันไม่รู้หรอกว่าผิวหนังใต้ชุดที่ฉันสวมใส่อยู่นั้นมีรอยข่วนและผ้าปิดแผลติดอยู่ ฉันรู้สึกปวดระบมที่อวัยวะเพศ อวัยวะเพศของฉันกลายเป็นสีคล้ำแปลกๆ เพราะถูกแยงหลายครั้ง กางเกงในของฉันหายไป และฉันรู้สึกว่างเปล่าเกินกว่าที่จะพูดอะไรต่อ พูดต่อว่าฉันรู้สึกกลัว ว่ารู้สึกชีวิตพังทลาย ในวันนั้น หลายชั่วโมงระหว่างขับรถกลับบ้าน ท่ามกลางความเงียบงัน น้องสาวกอดฉันไว้

แฟนของฉันไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แต่วันนั้นเขาโทรหาฉันและบอกว่า “เมื่อคืนผมเป็นห่วงคุณมาก คุณทำให้ผมกลัว คุณกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยไหม?” ฉันกลัวมากเพราะทำให้ฉันรู้ว่าฉันโทรหาเขาคืนนั้นตอนที่ฉันกำลังจะหมดสติ ฉันฝากข้อความเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่องในมือถือเขา เราได้คุยกันทางมือถือด้วย แต่ฉันพูดเสียงอ้อแอ้มากจนทำให้เขากลัวแทน ทำให้เขาต้องย้ำซ้ำๆ ว่าให้ฉันไปตามหาน้องสาว แล้วเขาก็ถามฉันอีกว่า เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น? ถามว่าฉันถึงบ้านโดยปลอดภัยไหม? ฉันตอบกลับไปว่า ปลอดภัยดี ก่อนวางสายแล้วร้องไห้

ตอนนั้นฉันยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้แฟน หรือพ่อแม่ของฉันฟัง ว่าจริงๆ แล้วฉันอาจถูกข่มขืนหลังกองขยะ และฉันไม่รู้ว่าใครข่มขืนฉัน หรือเกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไร ถ้าหากฉันเล่าให้พวกเขาฟัง ฉันคงต้องเห็นความหวาดกลัวที่แสดงออกมาบนใบหน้าของพวกเขา และความหวาดกลัวบนหน้าของฉันจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสิบเท่า ดังนั้นฉันจึงแสร้งว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง

ฉันพยายามผลักมันออกไปจากความคิด แต่มันช่างหนักหนาเหลือเกิน ฉันไม่คุยกับใคร ฉันไม่กินอะไร ฉันนอนไม่หลับ ฉันไม่สุงสิงกับใครเลย หลังเลิกงานฉันจะขับรถไปที่ที่ลับตาผู้คน เพื่อกรีดร้อง ฉันไม่คุยกับใคร ฉันไม่กิน ไม่นอน ไม่ข้องเกี่ยวกับใคร และปลีกตัวออกห่างจากบุคคลที่ฉันรักมากที่สุด ผ่านไปมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ฉันไม่ได้รับการติดต่อจากใครเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เครื่องหมายเดียวที่พิสูจน์ว่า นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝันร้ายก็คือเสื้อยืดจากโรงพยาบาลในลิ้นชักของฉัน

 

ขณะอ่านข่าวจากโต๊ะทำงาน ฉันถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้พร้อมๆ กับคนทั้งโลก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงมีก้านสนติดอยู่ที่ผม มันไม่ได้หล่นลงมาจากต้น 

 

วันหนึ่งขณะอยู่ที่ที่ทำงาน ฉันเปิดอ่านข่าวจากมือถือ ฉันเห็นบทความหนึ่ง ในบทความนั้นเอง เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าตัวเองถูกพบหมดสติ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง มีสร้อยเส้นยาวพันอยู่รอบคอ เสื้อชั้นในถูกถอดออกนอกเดรส ชุดถูกดึงขึ้นเหนือหัวไหล่และเอว ฉันเปลือยตั้งแต่ช่วงก้นลงไปจนถึงรองเท้าบูต ขาถ่างออก ถูกสอดใส่โดยสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง โดยใครที่ฉันก็นึกไม่ออก จากบทความนั้นฉันถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ขณะอ่านข่าวจากโต๊ะทำงาน ฉันถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้พร้อมๆ กับคนทั้งโลก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงมีก้านสนติดอยู่ที่ผม มันไม่ได้หล่นลงมาจากต้น เขาถอดกางเกงในของฉันออก สอดนิ้วของเขาเข้าไปในตัวฉัน ฉันไม่ได้รู้จักเขาด้วยซ้ำ และตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้จักเขา ตอนที่ฉันอ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้ ฉันบอกกับตัวเองว่า นี่ไม่ใช่ฉันหรอก นี่ต้องไม่ใช่ฉัน ฉันไม่สามารถเข้าใจหรือยอมรับข้อมูลทั้งหมดนี้ได้เลย ฉันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าครอบครัวของฉันจะต้องมารับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ผ่านข่าวออนไลน์ ฉันอ่านต่อ ในย่อหน้าถัดมา ฉันอ่านเจอบางอย่างที่ฉันไม่อาจให้อภัยได้เลย ฉันอ่านเจอว่า เขาบอกว่าฉันชอบ ฉันชอบ ฉันชอบ เป็นอีกครั้งที่ฉันไม่สามารถหาถ้อยคำมาบรรยายความรู้สึกที่ฉันมีได้

มันเหมือนกับอ่านข่าวอุบัติเหตุรถชน โดยรถตกลงไปในคูน้ำ สภาพพังยับเยิน แต่รถคันนั้นอาจชอบให้ถูกชน บางทีรถอีกคันอาจไม่ได้ตั้งใจชน แค่เฉี่ยวนิดหน่อย อุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้นเป็นประจำ คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยให้ความสนใจ แล้วใครล่ะจะบอกได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิด

ในตอนท้ายของบทความ หลังจากที่ฉันรู้รายละเอียดการถูกล่วงละเมิดทางเพศของตัวเองแล้ว ข่าวชิ้นนั้นยังระบุสถิติรอบเวลาว่ายน้ำของเขาด้วย เธอถูกพบขณะที่ยังหายใจ แต่ไม่ตอบสนองใดๆ ชุดชั้นในอยู่ห่างออกไปหกนิ้วจากหน้าท้องที่เปลือยเปล่าและเธอนอนขดอยู่ในท่าทารก แต่อย่างไรก็ตาม เขาว่ายน้ำเก่งมาก ช่วยใส่สถิติรอบการว่ายน้ำของฉันเข้าไปด้วยสิถ้านั่นเป็นสิ่งที่เราทำกัน อ้อ ฉันยังทำอาหารเก่งด้วยนะ เขียนลงไปด้วยสิ ฉันคิดว่าตอนท้ายบทความคือส่วนที่คุณลงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมนอกหลักสูตรต่างๆ เพื่อหักลบส่วนที่น่าสะอิดสะเอียนออกไป

ในคืนที่เรื่องของฉันกลายเป็นข่าว ฉันชวนพ่อและแม่นั่งลงเพื่อบอกกับพวกเขาว่าฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ต้องดูข่าว เพราะมันจะทำให้รู้สึกแย่ ขอแค่ให้พ่อกับแม่รู้ว่าฉันยังโอเค ฉันอยู่ตรงนี้ และฉันไม่เป็นไร แต่ระหว่างที่ฉันเล่าไปได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น แม่ต้องเข้ามาพยุงฉันไว้เพราะฉันไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป

ในคืนถัดมาหลังจากเหตุการณ์ เขาให้การว่าเขาไม่รู้จักชื่อของฉัน เขาไม่สามารถชี้ตัวฉันได้ ไม่ได้พูดถึงว่าในคืนนั้นมีบทสนทนาระหว่างเราเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่มีการพูดคุยใดๆ นอกจากเต้นรำและจูบ เต้นรำเหรอ? ช่างเป็นคำที่ฟังดูน่ารักเสียนี่กระไร มันหมายถึงการสอดประสานนิ้วมือกันและหมุนตัว หรือเป็นแค่การเอาตัวเบียดกันในห้องที่แออัดไปด้วยผู้คน? ฉันสงสัยด้วยว่าการจูบหมายถึงแค่เอาหน้าถูกันหรือเปล่า? ตอนพนักงานสอบสวนถามเขาว่า เขาวางแผนจะพาฉันไปที่หอของเขาหรือไม่ เขาตอบว่าไม่ เมื่อพนักงานสอบสวนถามว่าเราทั้งคู่ไปอยู่หลังถังขยะได้อย่างไร เขาอ้างว่าเขาไม่รู้

เขายอมรับว่าคืนนั้นเขาจูบผู้หญิงอีกหลายคนในงาน และหนึ่งในนั้นคือน้องสาวของฉันที่ผลักเขาออก เขายอมรับว่าเขาอยากมีสัมพันธ์กับใครสักคน ฉันเป็นเหมือนละมั่งที่บาดเจ็บ โดดเดี่ยวและเปราะบาง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เขาจึงเลือกฉัน
บางครั้งฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าฉันไม่ได้ไปที่งานนั้น เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นกับฉัน แต่ฉันก็ฉุกคิดว่า ถ้าไม่ใช่ฉันก็อาจเป็นคนอื่น คุณกำลังเข้าสู่ปีที่สี่ในรั้วมหาวิทยาลัยท่ามกลางผู้หญิงที่เมามายและวงปาร์ตี้ และหากนี่เป็นก้าวแรกของคุณ สมควรแล้วที่คุณจะไม่ได้ก้าวต่อไป คืนหลังจากเกิดเรื่อง เขาบอกว่าเขาคิดว่าฉันชอบ เพราะฉันลูบหลังเขา ลูบหลัง

แต่เขากลับไม่เคยพูดถึงเลยสักนิด ว่าฉันเอ่ยปากยินยอมให้ทำแบบนั้นหรือไม่ หรือแม้แต่ว่ามีการพูดคุยระหว่างเราเกิดขึ้นหรือไม่ พูดแค่ลูบหลัง และเป็นอีกครั้งที่ฉันต้องมารู้จากข่าว ว่าก้นและอวัยวะเพศของฉันอยู่ในสภาพโป๊เปลือยอะหล่างฉ่าง หน้าอกถูกขยำ มีทั้งนิ้ว ทั้งก้านสนและเศษอะไรต่อมิอะไรเข้าไปในอวัยวะเพศของฉัน ผิวหนังอันเปลือยเปล่าและหัวของฉันถูกถูไถไปกับพื้นหลังถังขยะ ในขณะที่ชายหนุ่มที่กำลังชูชันได้ที่ ได้ขึ้นไปขย่มบนร่างกึ่งเปลือยเปล่าและไม่ไหวติงของฉัน แต่ฉันจำอะไรไม่ได้ แล้วฉันจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าฉันไม่ได้ชอบสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีคนบอกฉันอย่างนั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า แต่เพราะฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นในทางเทคนิคจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันไม่ได้ปรารถนาที่จะมีเพศสัมพันธ์ 

 

ตอนนั้นฉันคิดว่าไม่มีทางที่เรื่องนี้จะไปสู่การพิจารณาคดี มันมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ มีสิ่งสกปรกติดในร่างกายฉัน เขาวิ่งหนีแต่ก็ถูกจับได้ ฉันก็คิดเพียงว่าเขาจะชดใช้ ขอโทษฉันอย่างเป็นทางการ และเราทั้งคู่ก็จะก้าวต่อไป แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ฉันรู้มาว่า เขาจ้างทนายฝีมือดี พยานผู้เชี่ยวชาญ นักสืบเอกชนที่จะพยายามแกะรอยรายละเอียดชีวิตส่วนตัวของฉันเพื่อนำมาโจมตี หาช่องว่างเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของฉันและน้องสาว เพื่อแสดงว่าการละเมิดทางเพศเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เขาพร้อมต่อสู้ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อโน้มน้าวให้คนทั้งโลกเชื่อว่าที่เขาทำไปเกิดจากความสับสน

ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีคนบอกฉันอย่างนั้น พวกเขายังบอกด้วยว่า แต่เพราะฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นในทางเทคนิคจึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันไม่ได้ปรารถนาที่จะมีเพศสัมพันธ์ และนั่นช่างบิดเบือนความรู้สึกและทำร้ายจิตใจจนฉันแทบเป็นบ้า มันช่างเป็นความสับสนอันน่าเศร้าที่สุดที่มีคนบอกฉันว่า ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศ เกือบโดนข่มขืนอย่างโจ่งครึ่มในที่โล่งแจ้ง แต่กระนั้นไม่รู้ว่าจะนับเป็นการละเมิดได้หรือยัง ฉันต้องใช้เวลาหนึ่งปีเต็มเพื่อทำให้ชัดเจนว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องในเหตุการณ์นี้

เมื่อมีคนบอกฉันให้เตรียมทำใจกรณีที่เราไม่ชนะคดี ฉันบอกกลับไปว่า ฉันไม่อาจเตรียมใจยอมรับได้ เขาผิดนับแต่นาทีที่ฉันฟื้น ไม่มีใครมาพูดให้ฉันหายจากความเจ็บปวดที่เขาทำกับฉันได้ ที่เลวร้ายที่สุดคือฉันได้รับการเตือนว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉันจำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถเขียนอะไรก็ได้ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ และจะไม่มีใครสามารถแย้งได้ ฉันรู้สึกไร้อำนาจ การสูญเสียความทรงจำกำลังถูกนำมาใช้เล่นงานตัวฉันเอง คำให้การของฉันอ่อนและไม่สมบูรณ์ และฉันถูกทำให้เชื่อว่าฉันไม่สามารถชนะคดีได้ ทนายของเขาย้ำกับลูกขุนอยู่เสมอ ว่าคนเดียวที่พวกเขาสามารถเชื่อได้คือ บร็อก เพราะว่าเธอจำอะไรไม่ได้ การรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจเช่นนี้มันสร้างความชอกช้ำใจให้ฉันยิ่งนัก

แทนที่จะใช้เวลาเยียวยาบาดแผลของตัวเอง ฉันกลับใช้มันเพื่อทบทวนรายละเอียดอันแสนเจ็บปวดในคืนนั้น เพื่อเตรียมรับมือกับคำถามของทนายจำเลยที่คงจะจาบจ้วง ก้าวร้าว และถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ฉันไขว้เขว พยายามออกแบบคำถามที่ทำให้ฉันกับน้องสาวให้การขัดกันเอง แทนที่ทนายของเขาจะถามว่า “คุณสังเกตเห็นรอยถลอกหรือไม่?” เขากลับถามว่า “คุณไม่ได้สังเกตเห็นรอยถลอกใดๆ ใช่ไหม?” มันเป็นเกมยุทธศาสตร์ ประหนึ่งเล่ห์ลวงให้ฉันไขว้เขวในคุณค่าของตัวเอง การล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นมันชัดเจนมาก แต่ฉันกลับต้องมายืนอยู่ในศาลแห่งนี้ เพื่อตอบคำถาม เช่น:

คุณอายุเท่าไหร่? คุณหนักเท่าไหร่? วันนั้นคุณทานอะไรไปบ้าง? แล้วมื้อเย็นล่ะ คุณทานอะไร? ใครทำอาหารเย็นให้คุณทาน? คุณดื่มเครื่องดื่มขณะทานอาหารเย็นหรือไม่? ไม่เลยเหรอ แม้แต่น้ำ? คุณดื่มเมื่อไหร่? คุณดื่มเยอะแค่ไหน? คุณดื่มจากภาชนะอะไร? ใครเอาเครื่องดื่มให้คุณ? ปกติแล้วคุณดื่มมากน้อยแค่ไหน? ใครพาคุณมาส่งที่งานปาร์ตี้นี้? มาส่งตอนกี่โมง? ส่งลงตรงไหนแน่ๆ? คุณแต่งตัวยังไง? แล้วทำไมคุณถึงไปที่ปาร์ตี้นี้? คุณทำอะไรเมื่อไปถึงที่ปาร์ตี้? แน่ใจหรือว่าคุณทำอย่างที่บอก? แต่ว่าตอนกี่โมงที่คุณทำอย่างนั้น? ข้อความโทรศัพท์นี้หมายความว่าอย่างไร? คุณส่งข้อความถึงใคร? คุณปัสสาวะตอนไหน? คุณไปปัสสาวะที่ไหน? คุณออกไปปัสสาวะข้างนอกกับใคร? ตอนน้องสาวคุณโทรหาคุณ มือถือคุณปิดเสียงอยู่หรือเปล่า? คุณจำได้หรือไม่ว่าคุณปิดเสียงไว้? จริงหรือ เพราะว่าในหน้า 53 คุณบอกไว้เองว่าคุณตั้งเปิดเสียงไว้? สมัยเรียนมหาวิทยาลัย คุณดื่มไหม? คุณบอกว่าคุณเคยเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง? คุณเคยเมาจนหมดสติกี่ครั้ง? คุณได้ไปปาร์ตี้ที่หอชายบ้างไหม? คุณจริงจังกับแฟนคุณแค่ไหน? คุณมีเพศสัมพันธ์กับแฟนไหม? คุณเริ่มคบหากันเมื่อไหร่? คุณเคยนอกใจมั้ย? คุณเคยมีประวัตินอกใจไหม? คุณหมายความว่าอะไรที่บอกว่าคุณต้องการให้รางวัลเขา? คุณจำได้ไหมว่าคุณฟื้นขึ้นมากี่โมง? ตอนนั้นคุณสวมเสื้อคลุมของคุณอยู่หรือเปล่า? เสื้อคลุมคุณสีอะไร? คุณยังจำอะไรในคืนนั้นได้อีกไหม? ไม่เลยเหรอ? โอเคงั้นเราให้บร็อกช่วยเติมส่วนที่ยังขาดหายไป

ฉันถูกกระหน่ำด้วยคำถามชี้นำแคบๆ ที่ชำแหละชีวิตส่วนตัว ชีวิตรัก ชีวิตในอดีต ชีวิตครอบครัวของฉันออกเป็นชิ้นๆ ถามคำถามโง่ๆ เก็บสะสมรายละเอียดปลีกย่อยเพื่อ พยายามหาข้อแก้ต่างให้กับชายผู้นี้ที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย โดยไม่แยแสที่จะถามชื่อฉันก่อนด้วยซ้ำ หลังถูกทำร้ายร่างกาย ฉันยังถูกทำร้ายด้วยคำถามที่ออกแบบมาเพื่อโจมตีฉัน เพื่อบอกว่า เห็นไหม ข้อเท็จจริงของเธอมันไม่สอดคล้องกัน เธอเพี้ยนไปแล้ว เธอมีพฤติการณ์เสพติดแอลกอฮอล์ บางทีเธออาจต้องการสัมพันธ์กับใครสักคน เขาดูเหมือนนักกีฬาใช่ไหมล่ะ ทั้งคู่ต่างก็เมา อะไรก็ตามที่เธอจำได้ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นสิ่งที่มาทีหลังข้อเท็จจริง ฉะนั้นแล้วจะไปให้ความสำคัญทำไม ชีวิตบร็อกยังมีอะไรให้ต้องเดิมพันอีกมาก ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากจริงๆ สำหรับเขา

 

ฉันถูกกระหน่ำด้วยคำถามชี้นำแคบๆ ที่ชำแหละชีวิตส่วนตัว ชีวิตรัก ชีวิตในอดีต ชีวิตครอบครัวของฉันออกเป็นชิ้นๆ ถามคำถามโง่ๆ เก็บสะสมรายละเอียดปลีกย่อย เพื่อพยายามหาข้อแก้ต่างให้กับชายผู้นี้ที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย โดยไม่แยแสที่จะถามชื่อฉันก่อนด้วยซ้ำ

 

และถึงทีที่เขาต้องให้การ ส่วนฉันก็ได้เรียนรู้ว่าอะไรคือการถูกทำให้กลายเป็นเหยื่อซ้ำอีกครั้ง ฉันอยากจะเตือนความจำคุณ ในคืนหลังเกิดเหตุ เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดจะชวนฉันไปที่หอของเขา เขาบอกเขาไม่รู้ว่าทำไมเราต่างไปอยู่ข้างหลังกองขยะ เขาลุกจากไปเพราะเขารู้สึกไม่ดีเมื่อถูกไล่ตามและถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว จากนั้นเขาก็พบว่าฉันจำอะไรไม่ได้

แต่หนึ่งปีผ่านไป เป็นไปตามคาด มีเรื่องเล่าแบบใหม่เกิดขึ้น บร็อกมีเรื่องเล่าเรื่องใหม่ที่แปลก มันเกือบจะเหมือนนิยายวัยรุ่นที่ภาษาเขียนห่วยๆ ที่มีรายละเอียดเรื่องการจูบ เต้นรำ โอบกอด และนัวเนียกันบนพื้น และสิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องเล่าเรื่องใหม่นี้ มันมีการยินยอมพร้อมใจ หนึ่งปีหลังเหตุการณ์ เขาเริ่มระลึกได้ว่า โอ้ใช่ ไม่ว่ายังไงตอนนั้นเธอก็พูดว่า "ได้"กับทุกๆ สิ่ง

เขาบอกว่า เขาถามฉันว่าฉันอยากจะเต้นรำไหม ดูเหมือนฉันจะตอบว่าอยาก เขาถามฉันว่าแล้วฉันอยากไปหอของเขาไหม ฉันตอบว่า อยาก จากนั้นเขาถามฉันว่าเขาจะขอใช้นิ้วกับฉันได้ไหม และฉันตอบว่าได้ ผู้ชายส่วนใหญ่เขาไม่ถามว่า ‘ใช้นิ้วได้ไหม?’ โดยทั่วไปมันเป็นเรื่องที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไปจากทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เรื่องถาม-ตอบ แต่ดูเหมือนฉันจะให้ความยินยอมทุกอย่าง ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเขาเลย แม้ในเรื่องเล่าของเขา ฉันพูดคำเพียงแค่ 3 คำ คือ ได้ ได้ ได้ ก่อนที่เขาจะทำให้ฉันนอนอยู่ที่พื้นในสภาพเปลือยครึ่งตัว ในอนาคต ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะสามารถให้ความยินยอมได้ไหม ลองดูว่าเธอสามารถพูดจาได้เต็มประโยคหรือเปล่า คุณอาจไม่ได้ทำแบบนั้น เพียงแค่เอาคำมาปะติดปะต่อกัน มันน่าสับสนตรงไหน นี่มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ทั่วไป เป็นสิ่งที่มนุษย์เขาปฏิบัติต่อกัน

หากเป็นตามที่เขาบอก เหตุผลเดียวที่เราลงไปนอนที่พื้นก็เพราะฉันล้มลงไป ช่วยจำไว้นะ หากมีหญิงสาวล้มลง จงช่วยให้เธอลุกขึ้นมา หากเธอคนนั้นเมาเกินกว่าจะเดินไหวและล้มลงไป อย่าขึ้นคร่อม อย่าขึ้นขย่ม ถอดชุดชั้นใน แล้วสอดมือเข้าไปในอวัยวะเพศเธอ ถ้าหญิงสาวล้มลง จงช่วยเธอขึ้นมา ถ้าเธอใส่เสื้อคลุมทับชุดกระโปรง อย่าไปถอดออกเพื่อจะจับหน้าอก บางทีเธออาจจะหนาว เธอจึงสวมเสื้อคลุมไว้

คุณเล่าต่อว่า คุณวิ่งหนีเพราะคุณบอกคุณกลัว ฉันว่าคุณกลัวจะถูกจับ ไม่ใช่เพราะกลัวนักศึกษาสวีเดนสองคนนั้น ที่คุณอ้างว่าเกรงจะถูกรุมทำร้าย ช่างเป็นข้อโต้แย้งที่น่าขัน มันไม่เป็นประเด็นเลยกับการที่คุณคร่อมอยู่บนตัวฉันขณะไม่ได้สติ คุณถูกจับได้คาหนังคาเขาโดยที่คุณอธิบายอะไรไม่ได้เลย เมื่อพวกเขาตะครุบตัวคุณได้ ทำไมคุณไม่บอกล่ะว่า ‘ช้าก่อน! มันไม่มีอะไร ไปถามเธอได้ เธออยู่ตรงนั้น เธอจะบอกคุณเอง’ คุณก็แค่ถามความยินยอมจากฉัน ถูกไหม? ตอนนั้นฉันตื่นอยู่สินะ ใช่ไหม? ตอนที่ตำรวจมาและสืบเรื่องจากนักศึกษาสวีเดนที่ตะครุบตัวคุณ เขาร้องไห้หนักจนพูดไม่ได้ว่าเขาเห็นอะไร และก็อีกเช่นกัน ถ้าคุณคิดจริงๆ ว่าพวกเขาอันตราย คุณเลยทิ้งผู้หญิงในสภาพกึ่งเปลือยและวิ่งหนีเอาตัวรอดคนเดียว ไม่ว่าคุณจะสร้างเรื่องขึ้นมายังไง มันก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น

ทนายของคุณชี้ประเด็นซ้ำๆ ว่า เอาล่ะ เราไม่รู้แน่ชัดว่าเมื่อไรกันแน่ที่เหยื่อเริ่มไม่ได้สติ คุณพูดถูก บางทีฉันอาจจะยังกระพริบตา ยังไม่ถึงขั้นปวกเปียกเต็มที่ นั่นไม่ใช่ประเด็น ถึงฉันจะเมาเกินกว่าจะพูดภาษาอังกฤษรู้เรื่อง เมาเกินกว่าจะให้ความยินยอมก่อนที่ฉันจะลงไปนอนกองกับพื้น แต่ฉันไม่สมควรถูกแตะเนื้อต้องตัวตั้งแต่แรก บร็อกบอกว่า “ไม่มีตอนไหนที่เห็นว่าเธอไม่ตอบสนอง หากเมื่อใดที่ผมเห็นว่าเธอไม่ตอบสนอง ผมจะหยุดทันที” ตรงนี้ล่ะ ถ้าคุณคิดจะหยุดเมื่อฉันหมดสติจริงๆ ถ้าเช่นนั้นคุณคงยังไม่เข้าใจ คุณไม่ได้หยุดเลยแม้ตอนที่ฉันนิ่งไม่ไหวติง แต่ต้องให้มีบางคนมาหยุดคุณ ชายสองคนขี่จักรยานมาเจอว่าฉันนอนนิ่งอยู่ในความมืด ไม่ขยับตัว แล้วไล่ตะครุบตัวคุณ แล้วตอนคุณอยู่บนตัวฉัน ทำไมคุณถึงไม่รู้ล่ะ?

คุณบอกว่า คุณอยากจะหยุดและหาทางช่วยเหลือ คุณบอกแบบนั้น แต่ฉันอยากให้คุณอธิบายว่าคุณจะช่วยฉันอย่างไร ทีละขั้นตอน พาฉันผ่านเรื่องนี้ ฉันอยากจะรู้ ถ้าพวกสวีดิชจอมชั่วไม่มาเจอฉัน คืนนั้นมันจะเป็นไปอย่างไร ฉันถามคุณ คุณจะดึงชุดชั้นในที่กองที่บูตกลับเข้าที่เดิมไหม? คลายสร้อยที่พันอยู่รอบคอฉันไหม? จับขาฉันหุบแล้วคลุมตัวฉันไม่ให้เปลือยเปล่าไหม? ดึงเอาก้านสนออกจากเส้นผมของฉันไหม? ถามฉันไหมว่าฉันเจ็บตรงรอยถลอกที่คอและสะโพกไหม? คุณจะวิ่งไปหาเพื่อนแล้วขอให้เขามาช่วยพาฉันไปอยู่ในที่ที่อบอุ่นและนุ่มนวลกว่านี้ไหม? ฉันนอนไม่หลับเมื่อนึกถึงเหตุการณ์หากนักศึกษาสองคนนั้นไม่ได้เข้ามาช่วยฉันไว้ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณไม่เคยตอบได้ มันเป็นเรื่องที่คุณไม่สามารถอธิบายได้แม้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เขาอ้างว่าฉันถึงจุดสุดยอดหลังจากเขาล้วงฉันได้ 1 นาที พยาบาลบอกว่าในอวัยวะเพศฉันมีรอยถลอก รอยฉีกขาด และสิ่งสกปรก ของพวกนี้มันเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจะถึงจุดสุดยอด?

การที่คุณมานั่งสาบานเพื่อบอกทุกคนว่า ใช่ ฉันปรารถนามัน ใช่ ฉันเป็นฝ่ายยินยอม และคุณคือเหยื่อที่แท้จริงที่โดนชาวสวีดิชทำร้ายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั้น ช่างน่าตกใจ เสื่อม เห็นแก่ตัว และมีแต่สร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น เพียงเท่านี้ก็ทำให้ฉันทุกข์ทรมานแสนสาหัส เป็นอีกประเด็นที่ใครบางคนพยายามอย่างไร้ความปรานีที่จะทำให้เหตุผลแห่งความเจ็บปวดของฉันดูเบาบางลง

ยังไม่รวมที่ครอบครัวของฉันต้องมาทนเห็นภาพที่ศีรษะฉันถูกมัดอยู่กับเตียงคนไข้แถมเต็มไปด้วยก้านสนแหลมๆ ภาพร่างกายที่เปรอะไปด้วย สิ่งสกปรก ตาปิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง แขนขาพับงออ่อนกำลัง และชุดที่ใส่ถูกถลกขึ้น ขนาดนั้นแล้ว ยังต้องมาทนฟังทนายของคุณพูดว่ารูปภาพเหล่านั้นเกิดขึ้นหลังข้อเท็จจริง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ หรือทนฟังทนายของคุณพูดว่า ใช่ พยาบาลยืนยันว่ามีรอยแดงและแผลถลอกในอวัยวะเพศของเธอและมันบอบช้ำอย่างรุนแรง แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เวลาใครก็ตามเอานิ้วสอดใส่ และเขาก็ยอมรับแล้วว่าเขาทำเช่นนั้นจริง หรือฟังทนายของคุณพยายามวาดภาพให้ฉันเป็นหญิงสาวแรดร่าน ประหนึ่งว่าใครเห็นใครก็เดาได้ ว่าเหตุการณ์อย่างนี้ยังไงก็ต้องเกิดขึ้นกับฉันเข้าสักวัน หรือต้องทนฟังเขาพูดว่า เสียงฉันเหมือนคนเมาในโทรศัพท์ เพราะฉันชอบทำตัวปัญญาอ่อนและนั่นเป็นสไตล์การพูดจาแบบงี่เง่าๆ ของฉัน หรือชี้ว่าในบันทึกเสียงโทรศัพท์ ฉันบอกแฟนว่าฉันจะให้รางวัลเขาและทุกคนรู้ดีว่ารางวัลหมายถึงอะไร ฉันจะบอกอะไรให้นะ รางวัลที่ฉันจะให้ไม่สามารถถ่ายโอนให้ใครได้ โดยเฉพาะกับชายนิรนามที่เข้ามาจู่โจมฉัน

ระหว่างการพิจารณาคดี เขาสร้างความเสียหายที่ยากจะเรียกกลับคืนให้แก่ฉันและครอบครัวและเราก็ได้แต่ทนนั่งฟังอย่างเงียบๆ ฟังเขาสร้างภาพเหตุการณ์ในคืนนั้น แต่สุดท้ายแล้วคำให้การที่ไม่มีอะไรมารองรับของเขาและการบิดเบือนตรรกะของทนายไม่สามารถหลอกใครได้ ความจริงชนะ ความจริงพูดด้วยตัวมันเอง

คุณถูกตัดสินว่ามีความผิด ลูกขุน 12 คนตัดสินว่าคุณทำผิดอย่างไร้ข้อกังขาสามกระทง นั่นเท่ากับ 12 เสียงต่อหนึ่งกระทง รวมทั้งสิ้น 36 เสียงยืนยันความผิด แปลว่าผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ เสียงเอกฉันท์ ดังนั้นฉันจึงคิดไปว่ามันคงจบได้เสียที คิดไปว่าในที่สุดเขาคงยอมรับความผิด ขอโทษด้วยใจจริง แล้วเราก็จะได้ก้าวพ้นเรื่องนี้ไป แล้วได้เยียวยาตัวเอง แต่แล้วฉันก็ได้อ่านคำแถลงของคุณ

ถ้าคุณหวังว่าร่างฉันจะระเบิดตายด้วยความโกรธ คุณก็เกือบสมหวังแล้วล่ะ เกือบมากจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องนักศึกษาจับคู่สมสู่กันตอนเมาแบบไร้สัมปชัญญะ การทำร้ายร่างกายนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างคุณดูเหมือนยังไม่เข้าใจ คุณดูจะสับสน ในที่นี้ฉันขอคัดลอกข้อความบางตอนจากคำแถลงของจำเลย แล้วเขียนตอบเป็นข้อๆ

คุณบอกว่า เมื่อเมาแล้วทำให้ผมตัดสินใจได้ไม่ดี และเธอก็เช่นเดียวกัน
แอลกอฮอล์ไม่ใช่ข้ออ้าง แต่ถามว่ามันใช่ปัจจัยรึเปล่า?
ใช่ ทว่าไม่ใช่แอลกอฮอล์ที่เปลื้องผ้าฉัน ใช้นิ้วสอดเข้าไปในตัวฉัน ลากหัวฉันไปกับพื้นขณะที่ตัวฉันอยู่ในสภาพเปลือยเกือบทั้งตัว การยอมรับว่าดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นความผิดพลาดของคนที่ไม่มีประสบการณ์อย่างฉัน แต่นี่ไม่ใช่อาชญากรรม ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้เคยมี หรือรู้จักคนใกล้ชิดที่เคยมีคืนที่พวกเขารู้สึกเสียใจที่ดื่มมากเกินไป การรู้สึกเสียใจที่ดื่มแอลกอฮอล์นั้นไม่เหมือนกับการรู้สึกเสียใจต่อการล่วงละเมิดทางเพศ เราเมาด้วยกันทั้งคู่ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ ฉันไม่ได้ถอดกางเกงกับกางเกงในของคุณ ไม่ได้สัมผัสตัวคุณอย่างไม่เหมาะสม แล้วก็วิ่งหนีไป นี่คือความต่าง

คุณพูดว่า ถ้าผมอยากรู้จักเธอ ผมน่าจะขอเบอร์โทรศัพท์เธอ แทนที่จะชวนเธอไปห้อง
ฉันไม่ได้โกรธที่คุณไม่ได้ขอเบอร์ฉัน ต่อให้คุณรู้จักฉัน ฉันก็ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แฟนฉันรู้จักฉัน แต่ถ้าเขาขอใช้นิ้วกับฉันหลังกองขยะ ฉันจะตบหน้าเขา ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มี ฉันไม่สนใจว่าคุณจะรู้หมายเลขโทรศัพท์ของพวกเธอหรือไม่

คุณพูดว่า ผมคิดแบบโง่ๆ ว่ามันโอเคถ้าจะทำสิ่งที่ทุกคนรอบตัวผมทำ นั่นคือการดื่ม ผมคิดผิด
อีกครั้ง คุณไม่ได้ผิดที่คุณดื่ม ทุกคนรอบตัวคุณไม่ได้ล่วงละเมิดทางเพศฉัน คุณผิดที่คุณทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่ทำ นั่นคือการดันจู๋ที่แข็งตัวอยู่ใต้กางเกงของคุณบนร่างที่เปล่าเปลือยและไร้แรงจะขัดขืนของฉัน ในที่มืดที่คนในงานไม่อาจมองเห็นหรือมาช่วยปกป้องฉันได้ และน้องสาวไม่สามารถหาฉันเจอ การจิบไฟร์บอล (แคนาเดียนวิสกี้กลิ่นอบเชย) ไม่ใช่อาชญากรรม การที่คุณถอดและโยนชั้นในของฉันทิ้งราวกับว่ามันเป็นกระดาษห่อลูกกวาด เพื่อสอดนิ้วของคุณเข้ามาในร่างกายฉันต่างหากที่ผิด ทำไมฉันยังต้องมาอธิบายเรื่องนี้อยู่

คุณพูดว่า ในระหว่างการพิจารณาคดี ผมไม่อยากทำให้เธอต้องกลายเป็นเหยื่อเลยแม้แต่น้อย คนที่ทำคือทนายของผม มันเป็นวิธีที่ทนายของผมใช้รับมือกับคดี
ทนายของคุณไม่ใช่แพะรับบาป เขาเป็นตัวแทนของคุณ ถามว่าทนายของคุณได้พูดสิ่งที่น่าโกรธแค้นอย่างไม่น่าเชื่อ พูดสิ่งที่เสื่อมและถ่อยหรือไม่? แน่นอนที่สุด เขาพูดว่าคุณแข็งตัว เพราะอากาศหนาว

 

คุณตระหนักไหมว่าปัญหาการดื่มมันแตกต่างจากการดื่มแล้วใช้กำลังบังคับเพื่อพยายามมีเพศสัมพันธ์? ควรรณรงค์ให้ผู้ชายรู้จักเคารพผู้หญิง ไม่ใช่บอกให้เขาดื่มน้อยลง

 

คุณพูดว่า คุณกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งโครงการสำหรับนักเรียนมัธยมปลายและนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโครงการที่คุณจะบอกเล่าประสบการณ์ของคุณเองที่จะ "ออกมาพูดต่อต้านวัฒนธรรมการดื่มในสถานศึกษาและความสำส่อนทางเพศที่มาพร้อมกัน"
วัฒนธรรมการดื่มในสถานศึกษา นั่นคือสิ่งที่คุณออกมาพูดคัดค้านอย่างนั้นหรือ? คุณคิดว่านั่นคือสิ่งที่ฉันใช้เวลาตลอดทั้งปีที่ผ่านมาต่อสู้อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ความตระหนักเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศในสถานศึกษา หรือการข่มขืน หรือการเรียนรู้ที่จะคำนึงถึงความยินยอม (ของอีกฝ่าย) แต่เป็นวัฒนธรรมการดื่มในสถานศึกษา
‘ไม่เอาแจ็คแดเนียล’ ‘ไม่เอาสกายวอดก้า’ ถ้าคุณอยากรณรงค์เรื่องการดื่ม ไปคุยกับวงประชุมของกลุ่มผู้ติดสุราเรื้อรังนิรนามสิ คุณตระหนักไหมว่าปัญหาการดื่มมันแตกต่างจากการดื่มแล้วใช้กำลังบังคับเพื่อพยายามมีเพศสัมพันธ์? ควรรณรงค์ให้ผู้ชายรู้จักเคารพผู้หญิง ไม่ใช่บอกให้เขาดื่มน้อยลง วัฒนธรรมการดื่มและการสำส่อนทางเพศที่มาพร้อมกัน มาพร้อมกัน เหมือนเป็นผลข้างเคียง เหมือนมันฝรั่งทอดที่อยู่ข้างจานเวลาคุณสั่งอาหาร การสำส่อนทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้องในที่นี้ได้อย่างไร? ฉันไม่เห็นข่าวพาดหัวว่า บร็อก เทอร์เนอร์ กระทำผิดฐานดื่มสุรามากเกินไปเลยสำส่อนทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศในรั้วมหาวิทยาลัยต่างหากที่ต้องเป็นหน้าแรกของสไลด์พาวเวอร์พอยต์ของคุณ มั่นใจได้เลยว่า ถ้าคุณยังไม่เปลี่ยนหัวข้อการบรรยาย ฉันจะตามคุณไปทุกๆ โรงเรียนที่คุณไปพูดและจะเปิดหัวข้อบรรยายต่อจากคุณ

 

คุณกำลังเข้าใจผิด ไม่มีใครชนะในเรื่องนี้ เราทั้งสองคนต่างแหลกลาญ เราทั้งสองคนพยายามหาความหมายบางอย่างในความทุกข์นี้

 

ท้ายที่สุดคุณพูดว่า ผมอยากแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่า การดื่มในค่ำคืนหนึ่งสามารถทำลายชีวิตคนๆ หนึ่งได้
ชีวิตหนึ่ง หนึ่งชีวิต ชีวิตของคุณ คุณลืมนับชีวิตของฉัน ให้ฉันเรียบเรียงประโยคให้คุณใหม่ดีกว่า ฉันอยากแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่า การดื่มในค่ำคืนหนึ่งสามารถทำลายชีวิตของคนสองคน คุณและฉัน คุณเป็นต้นเหตุ ฉันเป็นผลที่ตามมา คุณได้ลากฉันลงนรกไปพร้อมกับคุณ เอาตัวฉันจมจ่อมไปกับคืนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า คุณทำลายชีวิตเราทั้งสองคน ฉันล่มสลายไปพร้อมๆ กับคุณ ถ้าคุณคิดว่าฉันยังไปต่อได้ รอดมาได้ไร้รอยขีดข่วน เหมือนฉันได้เริ่มชีวิตใหม่ ในขณะที่คุณยังต้องเผชิญลมมรสุมยักษ์ คุณกำลังเข้าใจผิด ไม่มีใครชนะในเรื่องนี้ เราทั้งสองคนต่างแหลกลาญ เราทั้งสองคนพยายามหาความหมายบางอย่างในความทุกข์นี้ ความเสียหายของคุณเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ใบปริญญา และสถานะนักศึกษา ส่วนความเสียหายของฉันเกิดขึ้นภายใน ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ฉันแบกรับมันไว้กับตัวของฉันเอง คุณเอาคุณค่าของฉัน ความเป็นส่วนตัวของฉัน พลังงานของฉัน เวลาของฉัน ความปลอดภัยของฉัน ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของฉัน ความมั่นใจของฉัน เสียงของฉันไปจากฉันจนถึงทุกวันนี้

เห็นไหม สิ่งหนึ่งที่เราเหมือนกันคือ เราต่างไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นได้ในตอนเช้า ตัวฉันกับความทุกข์ทรมานไม่ใช่สิ่งแปลกหน้าต่อกันอีกต่อไป คุณทำให้ฉันกลายเป็นเหยื่อ หนังสือพิมพ์ต่างพากันขนานนามฉันว่า “หญิงผู้เมามายจนไร้สติสตัง” สิบพยางค์พอดี ไม่มีเกินกว่านั้น จนช่วงหนึ่งฉันยังหลงคิดไปว่านั่นคือตัวตนทั้งหมดของฉัน ฉันต้องบังคับตัวเองให้เรียนรู้ชื่อจริงและอัตลักษณ์ของตัวเองใหม่ เรียนรู้ใหม่ว่า นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ฉันเป็น ว่าฉันไม่ใช่แค่เหยื่อที่ไปเที่ยวงานปาร์ตี้หอชายแล้วเมาแอ๋ก่อนถูกพบอยู่หลังกองขยะ ในขณะที่คุณเป็นนักว่ายน้ำระดับแนวหน้าของมหาวิทยาลัยชั้นนำ ยังคงสถานะผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสิน มีอะไรหลายต่อหลายอย่างในชีวิตเป็นเดิมพัน ฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอย่างไม่อาจหวนคืน ชีวิตของฉันถูกแขวนค้างเติ่งนานกว่าหนึ่งปี รอคอยเพียงเพื่อทำความเข้าใจกับตัวเองว่า ตัวฉันยังมีค่าไหม

ความเป็นตัวของตัวเอง ความเบิกบานอย่างเป็นธรรมชาติ ความอ่อนโยน และวิถีชีวิตที่แน่วแน่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ฉันเคยมีกลับถูกทำให้บิดเบี้ยวเกินกว่าที่ใครจะรับรู้ได้ ฉันกลายเป็นคนเก็บตัว โกรธแค้น ดูถูกตัวเอง เหนื่อยหน่าย ฉุนเฉียว และว่างเปล่า หลายครั้งการปลีกตัวออกจากสังคมก็ยากเกินกว่าที่ตัวฉันเองจะแบกรับไหว แต่คุณก็ไม่สามารถคืนชีวิตที่คุณพรากไปจากฉันในคืนวันนั้นให้ฉันได้อยู่ดี คุณรู้ไหมว่า ในขณะที่คุณกำลังมัวแต่ห่วงชื่อเสียงที่กำลังป่นปี้ของคุณอยู่นั้น ทุกคืนฉันต้องเอาช้อนแช่ไว้ในตู้เย็น เพราะเมื่อฉันตื่นขึ้นในตอนเช้า ฉันจะได้เอาช้อนที่แช่ไว้มาประคบดวงตาที่ปูดบวมจากการนอนร้องไห้เพื่อลดบวมและช่วยให้ลืมตาขึ้นได้ ทุกเช้าฉันเข้างานสายหนึ่งชั่วโมงเป็นประจำ หาข้ออ้างให้ตัวเองไปแอบร้องไห้ในปล่องบันได ฉันรู้จักทุกซอกหลืบในตึกที่ฉันทำงานเป็นอย่างดีและสามารถแนะนำที่ที่เหมาะที่สุดที่คุณสามารถไปนั่งร้องไห้โดยที่จะไม่มีใครได้ยินคุณ

ความเจ็บปวดมันหนักหนาเหลือเกินจนฉันต้องเล่ารายละเอียดที่เป็นเรื่องส่วนตัวให้เจ้านายของฉันฟัง ให้เจ้านายรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมฉันจึงต้องตัดสินใจลาออก ฉันแค่ต้องการเวลาเพราะฉันไม่สามารถดำเนินชีวิตวันต่อวันต่อได้อย่างปรกติ ฉันใช้เงินที่ฉันเก็บสะสมไว้ไปกับการพาตัวเองไปที่ไหนก็ได้ให้ไกลที่สุด ฉันไม่ได้กลับไปทำงานเต็มเวลาเพราะฉันรู้ว่า ในอนาคตจะต้องลาหยุดอีกเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อไปขึ้นศาล ซึ่งหมายนัดของศาลมักเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ชีวิตของฉันถูกแขวนค้างเติ่งนานกว่าหนึ่งปี โครงสร้างการดำเนินชีวิตของฉันต้องพังทลาย

ฉันเหมือนเด็กอายุห้าขวบ ไม่สามารถนอนคนเดียวโดยไม่เปิดไฟทิ้งไว้ได้ เพราะฉันจะฝันร้ายว่าถูกจับเนื้อต้องตัว และไม่สามารถตื่นจากฝันนั้นได้ ฉันต้องรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น จนฉันรู้สึกปลอดภัยพอจึงจะนอนหลับ ฉันเข้านอนเวลาหกโมงเช้า เป็นเวลาสามเดือน

 

คุณได้ตีตั๋วให้ฉันไปยังดาวดวงอื่นที่ซึ่งฉันอาศัยอยู่เพียงลำพัง ทุกครั้งที่มีข่าวใหม่ๆ ออกมา ฉันจะหวาดระแวงว่าคนทั้งเมืองจะรู้ว่าฉันคือหญิงสาวที่ถูกทำร้าย ฉันไม่ต้องการความสงสารจากใคร และฉันกำลังพยายามเรียนรู้ที่จะยอมรับการเป็นเหยื่อในฐานะส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ฉัน

 

ฉันเคยภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง แต่ตอนนี้ฉันกลัวแม้กระทั่งการออกไปเดินเล่นข้างนอกในช่วงหัวค่ำ กลัวการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่มีการดื่มกับเพื่อนๆ ซึ่งจริงๆ ควรจะเป็นที่ที่ฉันสบายใจ ฉันกลายเป็นเพรียงตัวเล็กๆ ที่ต้องคอยเกาะใครสักคนเอาไว้ ต้องให้แฟนคอยยืนข้างๆ นอนข้างๆ เพื่อปกป้องฉัน ช่างน่าอายที่ฉันกลายเป็นคนอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ น่าอายที่ฉันเอาแต่ขลาดกลัวกับการใช้ชีวิต เอาแต่ระแวดระวัง พร้อมที่จะปกป้องตัวเอง พร้อมที่จะโกรธตลอดเวลา

คุณไม่รู้หรอกว่า ฉันต้องพยายามมากแค่ไหนที่จะทำให้ส่วนที่ฉันยังอ่อนแอนั้นกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม แค่จะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันยังต้องใช้เวลานานถึงแปดเดือน ฉันไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเพื่อนหรือทุกคนรอบตัวฉันอีกต่อไป ฉันตวาดแฟน ตวาดคนในครอบครัวทุกครั้งที่พวกเขาเอ่ยถึงเหตุการณ์นี้ คุณไม่เคยปล่อยให้ฉันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย หลังฟังคำให้การ การพิจารณาคดี ฉันเหนื่อยเกินกว่าที่จะพูดอะไร ฉันเดินออกจากห้องพิจารณาคดีอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินออกไปอย่างเงียบๆ ฉันปิดมือถือเมื่อถึงบ้าน ไม่พูดกับใครอีกเป็นเวลาหลายวัน คุณได้ตีตั๋วให้ฉันไปยังดาวดวงอื่นที่ซึ่งฉันอาศัยอยู่เพียงลำพัง ทุกครั้งที่มีข่าวใหม่ๆ ออกมา ฉันจะหวาดระแวงว่าคนทั้งเมืองจะรู้ว่าฉันคือหญิงสาวที่ถูกทำร้าย ฉันไม่ต้องการความสงสารจากใคร และฉันกำลังพยายามเรียนรู้ที่จะยอมรับการเป็นเหยื่อในฐานะส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ฉัน คุณได้ทำให้บ้านเกิดของฉันเป็นที่ที่น่าอึดอัดไม่น่าอยู่

คุณไม่สามารถเอาคืนแล้วคืนเล่าที่ฉันนอนไม่หลับกลับคืนให้ฉันได้ ฉันมักจะร้องไห้จนควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งที่ดูหนังแล้วมีฉากผู้หญิงถูกทำร้าย พูดง่ายๆ ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกของเหยื่อคนอื่นๆ ได้มากขึ้น ความเครียดทำให้น้ำหนักฉันลดลง ถ้ามีใครถาม ฉันจะตอบพวกเขาว่าเพราะช่วงนี้ฉันวิ่งบ่อย หลายครั้งฉันไม่ต้องการให้ใครแตะต้องตัวฉัน ฉันต้องทำความเข้าใจกับตัวเองใหม่ว่าฉันไม่ใช่คนบอบบาง ฉันมีความสามารถ สมบูรณ์แข็งแรง ไม่ใช่คนห่อเหี่ยวและอ่อนแอ

 

ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครกลับไปแก้ใหม่ได้ แต่จุดนี้เรามีทางเลือก เราสามารถเลือกที่จะให้เรื่องนี้ทำลายตัวเรา ฉันก็โกรธต่อไป เจ็บปวดต่อไป คุณก็โกหกตัวเองต่อไป หรืออีกทางคือ เราจะเผชิญหน้ากับมัน ฉันยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น คุณยอมรับบทลงโทษ แล้วเราก็ก้าวพ้นเรื่องนี้ไป

 

เวลาที่ฉันเห็นน้องสาวเจ็บปวด เวลาที่เธอเรียนไม่ทัน เวลาที่เธอถูกปล้นความสุขไป เวลาที่เธอนอนไม่หลับ เวลาที่เธอพูดโทรศัพท์แล้วร้องไห้หนักจนแทบหายใจไม่ออก พยายามบอกฉันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเธอขอโทษที่ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวในคืนนั้น ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ เวลาที่เธอรู้สึกผิดยิ่งกว่าคุณ ฉันไม่ให้อภัยคุณเลย ในคืนนั้นฉันพยายามโทรตามน้องสาวฉัน แต่คุณเจอตัวฉันเสียก่อน ทนายของคุณแถลงปิดคดีโดยเริ่มว่า “[น้องสาวของโจทก์]กล่าวว่าโจทก์ปกติดี และใครเลยจะรู้ดีไปกว่าน้องสาวของโจทก์” คุณพยายามใช้น้องสาวฉันมาโจมตีฉันหรือ? ข้อโจมตีคุณอ่อนมาก ต่ำมาก จนแทบน่าละอาย อย่าได้คิดแตะต้องน้องสาวฉัน

คุณไม่ควรจะทำอย่างนี้กับฉัน ประการที่สอง คุณไม่ควรทำให้ฉันต้องต่อสู้นานขนาดนี้เพื่อที่จะบอกคุณว่า คุณไม่ควรทำอย่างนี้กับฉัน แต่ก็นั่นล่ะ ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีใครกลับไปแก้ใหม่ได้ แต่จุดนี้เรามีทางเลือก เราสามารถเลือกที่จะให้เรื่องนี้ทำลายตัวเรา ฉันก็โกรธต่อไป เจ็บปวดต่อไป คุณก็โกหกตัวเองต่อไป หรืออีกทางคือ เราจะเผชิญหน้ากับมัน ฉันยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น คุณยอมรับบทลงโทษ แล้วเราก็ก้าวพ้นเรื่องนี้ไป

ชีวิตคุณยังไม่ได้จบตรงนี้ คุณยังมีเวลาอีกหลายสิบปีที่จะเขียนเรื่องราวชีวิตของคุณใหม่ โลกนี้มันกว้างใหญ่ กว้างใหญ่กว่าเมืองพาโลอัลโต และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมากนัก และคุณก็สามารถหาที่ทางให้ตัวเองสร้างประโยชน์และอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่ตอนนี้คุณไม่สามารถยักไหล่และทำเป็นสับสนได้อีกแล้ว คุณไม่สามารถแสร้งได้อีกแล้วว่าคุณไม่มีชนักปักหลัง คุณถูกตัดสินว่าผิดเพราะล่วงละเมิดฉันโดยเจตนา โดยใช้กำลังละเมิดทางเพศ ด้วยเจตนาชั่วร้าย แต่คุณกลับยอมรับแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือคุณดื่มแอลกอฮอล์มา อย่าได้พูดเลยว่าชีวิตคุณพลิกผันเพราะแอลกอฮอล์ชักนำให้คุณทำเลว พยายามคิดหาทางรับผิดชอบการกระทำของตัวเองดีกว่า

 

ไม่ว่าบร็อกจะว่ายน้ำเร็วแค่ไหนไม่ได้ทำให้ความรุนแรงที่เกิดกับฉันเบาบางลงแม้แต่น้อยและมันไม่ควรเป็นเหตุลดหย่อนโทษให้กับเขา

 

มาถึงเรื่องบทลงโทษ
หลังจากที่ฉันได้อ่านรายงานของเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ความโกรธเข้าครอบงำฉัน ก่อนที่ฉันจะค่อยๆ สงบลงจนเหลือเพียงความเศร้าลึกๆ ภายในใจ คำแถลงของฉันถูกย่อจนใจความบิดเบือนและถูกใช้แบบผิดบริบท ฉันต้องต่อสู้อย่างหนักในคดีนี้และจะไม่ยอมให้ผลที่ออกมาถูกลดทอนโดยเจ้าหน้าที่คุมประพฤติที่พยายามจะประเมินสภาพปัจจุบันและความต้องการของฉันโดยใช้เวลาคุยเพียงแค่ 15 นาที -- 15 นาทีที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการตอบคำถามที่ฉันถามเกี่ยวกับระบบกฎหมาย บริบทเกี่ยวกับเหตุการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ บร็อกยังไม่ได้แถลง ฉันเองก็ยังไม่ได้อ่านคำแถลงของเขา

ชีวิตฉันถูกแขวนค้างเติ่งนานกว่าหนึ่งปี หนึ่งปีแห่งความโกรธ ความทุกข์ทรมาน และความไม่แน่นอน จนกระทั่งคณะลูกขุนได้พิพากษาตัดสินให้ความเป็นธรรมกับฉัน
หากบร็อกยอมรับผิด แสดงความเสียใจ และยอมชดใช้เสียแต่เนิ่นๆ ฉันคงหวังให้เขาได้รับโทษสถานเบากว่านี้ด้วยเพราะเคารพความสัตย์ซื่อของเขาและยินดีที่เราจะได้เดินหน้าใช้ชีวิตของเราต่อไป แต่เขากลับเลือกที่จะขึ้นศาล ทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นและบังคับให้ฉันต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดอีกครั้งเพราะรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของฉันและการถูกล่วงละเมิดทางเพศถูกนำมาชำแหละออกเป็นชิ้นๆ อย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าสาธารณะ เขาทำให้ฉันและครอบครัวต้องจมอยู่ในความทุกข์ที่ไม่จำเป็นและยากจะอธิบายเป็นแรมปี และเขาควรได้รับผลของการท้าทายอาชญากรรมที่เขาเองเป็นคนก่อ ผลของการตั้งคำถามต่อความเจ็บปวดของฉัน ผลของการทำให้พวกเราต้องรอคอยความยุติธรรมเป็นเวลายาวนาน

ฉันบอกเจ้าหน้าที่คุมประพฤติว่าฉันไม่ได้อยากให้บร็อกเน่าตายในคุก ฉันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สมควรติดคุก แต่โทษจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีหรือน้อยกว่านั้นในเรือนจำเขตปกครองท้องถิ่นตามที่เจ้าหน้าที่คุมประพฤติเสนอนั้น ถือเป็นการลงโทษที่เบาเกินไป ถือเป็นการเย้ยหยันความรุนแรงของอาชญากรรม เป็นการเหยียดหยามฉันและผู้หญิงทุกคน เป็นการส่งสารว่าคนแปลกหน้าสามารถล่วงล้ำเข้าไปในตัวคุณได้แม้จะไม่ได้รับความยินยอมอย่างเหมาะสมและเขาจะได้รับโทษต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ฉันเห็นว่าการภาคทัณฑ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมี ฉันยังบอกเจ้าหน้าที่คุมประพฤติด้วยว่า สิ่งที่ฉันต้องการที่แท้จริงคือ บร็อกเข้าใจและยอมรับความผิดที่เขาทำ

น่าเสียดาย หลังจากที่ฉันได้อ่านรายงานของจำเลย ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงและรู้สึกว่าเขาไม่ได้สำนึกผิดหรือต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำลงไปด้วยใจจริง ฉันเคารพสิทธิในกระบวนการพิจารณาคดีของเขาอย่างเต็มที่ หากแต่หลังจากที่ลูกขุน 12 คนตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าเขากระทำผิดทางอาญาร้ายแรงสามกระทง สิ่งที่เขายอมรับมีเพียงแค่การดื่มแอลกอฮอล์ ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับผิดในสิ่งที่ตนเองทำย่อมไม่สมควรได้รับการลดหย่อนโทษ การที่เขาพยายามลดทอนข่มขืนเป็นสำส่อนเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างสุดซึ้ง โดยนิยามแล้วนั้น ข่มขืนไม่ใช่สำส่อน ข่มขืนหมายถึงปราศจากการยินยอม มันกวนใจฉันอย่างมากที่เขาไม่สามารถเห็นความต่างข้อนี้ได้

เจ้าหน้าที่คุมประพฤติให้เหตุผลว่าจำเลยยังอายุน้อยและไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ในความเห็นของฉัน เขาอายุมากพอที่จะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นความผิด ในประเทศนี้เมื่อคุณอายุครบ 18 ปี คุณสามารถร่วมรบในสงคราม เมื่ออายุครบ 19 ปี คุณโตพอที่จะรับผลของการพยายามข่มขืนผู้อื่น จริงอยู่เขายังเยาว์วัยแต่เขาก็แก่พอที่จะรู้ผิดชอบชั่วดี

และเนื่องจากนี่เป็นการกระทำผิดครั้งแรก ฉันจึงเข้าใจได้ว่าทำไมจึงมีการผ่อนผันบทลงโทษ แต่อีกด้านหนึ่ง ในฐานะที่เราอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เราไม่สามารถให้อภัยการทำร้ายทางเพศหรือการข่มขืนโดยสอดใส่นิ้วแม้จะเป็นครั้งแรก มันฟังไม่ขึ้น ความรุนแรงของความผิดฐานข่มขืนจำเป็นต้องถูกสื่อสารออกไปให้ชัดเจน เราไม่ควรสร้างวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะเรียนรู้ว่าการข่มขืนเป็นสิ่งผิดก็ต่อเมื่อต้องผ่านกระบวนการศาลหรือผ่านการทำผิดพลาดมาก่อน ผลลัพธ์ของการล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่นต้องรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้คนเกรงกลัวและหันมาไตร่ตรองให้ดีก่อนคิดลงมือทำแม้ว่าเขาจะกำลังเมาอยู่ก็ตาม ต้องรุนแรงเพียงพอเพื่อเป็นมาตรการป้องกัน

ในการพิจารณาบทลงโทษ เจ้าหน้าที่คุมประพฤติชั่งน้ำหนักจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้สละทุนสำหรับนักกีฬาว่ายน้ำที่ได้มาด้วยความยากลำบากไป ไม่ว่าบร็อกจะว่ายน้ำเร็วแค่ไหนไม่ได้ทำให้ความรุนแรงที่เกิดกับฉันเบาบางลงแม้แต่น้อยและมันไม่ควรเป็นเหตุลดหย่อนโทษให้กับเขา ถ้าผู้ที่กระทำผิดเป็นครั้งแรกเป็นคนชั้นล่าง ถูกกล่าวหาว่าทำผิดสามกระทงและไม่สำนึกผิดในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป ยกเว้นยอมรับว่าดื่มแอลกอฮอล์ คุณคิดว่าเขาจะได้รับโทษอย่างไร? ข้อเท็จจริงที่ว่า บร็อกเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงไม่ควรเป็นเหตุให้เขาได้รับการผ่อนผัน แต่เป็นโอกาสในการสื่อสารกับสังคมว่าการล่วงละเมิดทางเพศนั้นผิดกฎหมายไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นใคร มาจากชนชั้นทางสังคมไหนก็ตาม

เจ้าหน้าที่คุมประพฤติกล่าวว่า คดีนี้ เมื่อเทียบกับอาชญากรรมอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจได้รับการพิจารณาว่าร้ายแรงน้อยกว่า เนื่องจากระดับแอลกอฮอล์ในตัวจำเลย ช่างเป็นความคิดที่อันตราย ฉันพูดได้แค่เพียงเท่านี้

ที่ผ่านมาเขาทำอะไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่าเขาสมควรได้รับการผ่อนผัน? เขาเพียงแค่ขอโทษที่ดื่มแอลกอฮอล์ และยังไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เขาทำกับฉันคือการล่วงละเมิดทางเพศ เขาทำให้ฉันเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่หยุดหย่อน เขาถูกตัดสินว่าทำความผิดร้ายแรงสามกระทงและถึงเวลาแล้วที่เขาต้องยอมรับผลจากการกระทำของเขา

เขาถูกขึ้นทะเบียนตลอดชีพว่าเป็นผู้กระทำผิดทางเพศ สิ่งนี้ไม่มีวันหมดอายุ
เช่นเดียวกับที่เขาทำกับฉัน มันไม่มีวันหมดอายุ หรือจู่ๆ จะให้จางหายไปได้หลังระยะเวลาหนึ่ง มันอยู่กับฉัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ฉัน มันเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของฉันไปตลอดกาล เปลี่ยนการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน

ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมา ฉันอยากจะกล่าวคำขอบคุณกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงานที่ต้มข้าวโอ๊ตมาให้ฉันในเช้าวันที่ฉันตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ผู้แทนที่คอยอยู่เคียงข้างฉัน พยาบาลที่คอยปลอบฉัน เจ้าหน้าที่สืบสวนที่รับฟังฉันและไม่เคยตัดสินฉันเลย ทนายของฉันที่ลุกขึ้นต่อสู้เคียงข้างฉันอย่างไม่หวั่นไหว นักบำบัดที่สอนให้ฉันค้นหาความกล้าหาญในความเปราะบางอ่อนแอ เจ้านายของฉันที่ห่วงใยและเข้าใจ พ่อแม่ที่ประเสริฐสุดของฉัน ที่สอนฉันให้เปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดให้เป็นความเข้มแข็ง ย่าของฉันที่แอบเอาช็อกโกแลตเข้าไปในห้องพิจารณาคดีให้ฉัน เพื่อนๆ ที่ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าการมีความสุขนั้นเป็นอย่างไร แฟนของฉันที่รักและอดทน น้องสาวผู้ไม่ยอมแพ้ ผู้ซึ่งเป็นอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจฉัน อะลาเล ผู้เป็นแบบอย่างของฉัน ที่สู้อย่างไม่ย่อท้อและไม่เคยสงสัยในตัวฉันเลย ขอบคุณทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้สำหรับเวลาและความสนใจ ขอบคุณผู้หญิงทั่วประเทศที่เขียนการ์ดมายังอัยการเพื่อส่งต่อให้กับฉัน มีคนที่ฉันไม่รู้จักหลายต่อหลายคนที่ห่วงใยฉัน

ที่สำคัญที่สุด ฉันอยากจะขอบคุณผู้ชายสองคนที่ช่วยฉันไว้ซึ่งฉันยังไม่มีโอกาสได้พบ ฉันนอนหลับไปพร้อมกับรูปจักรยานสองคันที่ฉันวาดและแปะไว้บนหัวเตียง เพื่อที่จะได้เตือนตัวเองว่า เรื่องนี้มีวีรบุรุษที่คอยสอดส่องดูแลกัน การที่ได้รู้จักผู้คนเหล่านี้ การที่ได้รู้สึกถึงการปกป้องคุ้มครองและความรัก เป็นสิ่งที่ฉันจะไม่มีวันลืม

และท้ายสุดนี้ ถึงผู้หญิงหลายๆ คน ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ฉันอยู่เคียงข้างคุณ ในคืนที่คุณรู้สึกอ้างว้าง ฉันอยู่เคียงข้างคุณ เมื่อมีคนสงสัยในตัวคุณหรือขับไล่คุณ ฉันอยู่เคียงข้างคุณ ฉันต่อสู้ในทุกๆ วันเพื่อคุณ ดังนั้น จงอย่าหยุดที่จะต่อสู้ ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ ดังที่นักประพันธ์ ชื่อ แอน ลามอท ได้เขียนไว้ครั้งหนึ่งว่า “ประภาคารไม่ได้วิ่งพล่านไปรอบๆ เกาะ เพื่อมองหาเรือที่จะช่วย แต่ประภาคารนั้นคงอยู่กับที่และส่องแสง” แม้ว่าฉันจะไม่สามารถช่วยเหลือเรือทุกลำได้ ฉันหวังว่า จากการที่ได้พูดในวันนี้ คุณจะได้ซึมซับแสงจำนวนน้อยๆ ที่จะบอกตัวคุณเองว่า คุณไม่สามารถที่จะนิ่งเงียบ ความยินดีเพียงเล็กน้อยจากความยุติธรรมที่ได้รับ คือความมั่นใจเล็กๆ ที่เชื่อมั่นว่าเรากำลังประสบความสำเร็จ และสิ่งยิ่งใหญ่ที่พึงตระหนัก คือ คุณคือคนสำคัญ ไม่มีข้อกังขาใดๆ คุณอยู่เหนือสิ่งอื่นใด คุณงดงามและมีคุณค่า ควรต่อการเคารพนับถือ ไม่ควรถูกเพิกเฉย ทุกๆ นาทีในทุกๆ วัน คุณเข้มแข็งขึ้นและไม่มีใครจะพรากสิ่งนี้ไปจากคุณได้ ถึงผู้หญิงที่อยู่ทุกหนทุกแห่ง ฉันอยู่เคียงข้างคุณ ขอบคุณค่ะ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มหนุน คสช. รวมตัวศูนย์ราชการ-รอดักพลเมืองโต้กลับเต้นอย่างนี้ต้องตีเข่าฯ ที่ กกต.

$
0
0

พลเมืองโต้กลับเตรียมเต้นประกอบเพลง "รัฐธรรมนูญไม่ดีอย่างนี้ต้องตีเข่า"หน้าสำนักงาน กกต. ในศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ หลัง กกต. จ่อฟ้องผิด กม.ประชามติ - ขณะที่กลุ่มหนุน คสช. รวมตัวให้กำลังใจ กกต. ลั่นจะไม่ให้ใครก่อกวนบ้านเมือง รักษาสามสถาบันหลัก

15 มิ.ย. 2559 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารบี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงาน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล 2 จำนวน 150 นายเข้ามาประจำการดูแลความเรียบร้อยภายในอาคาร มีการกระจายกำลังดูแลทุกประตูเข้า-ออก ทั้ง 4 ด้านของอาคาร  โดย พ.ต.อ.ภาณุเดช สุขวงศ์ รองผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 กำชับมาตรการดูแลความเรียบร้อยต้องปฏิบัติด้วยความสุภาพเรียบร้อย เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนที่มาใช้บริการภายในศูนย์ราชการด้วย

ทั้งนี้ในเวลา 16.00 น. กลุ่มพลเมืองโต้กลับ จะเดินทางเต้นประกอบ "เพลงรัฐธรรมนูญไม่ดีอย่างนี้ต้องตีเข่า"หลังจากมีการเผยแพร่คลิปเพลงดังกล่าวผ่านเพจพลเมืองโต้กลับ และต่อมาถูก กกต. แจ้งความฟ้องร้องว่ามีการทำผิดตาม พ.ร.บ. ประชามติ

อย่างไรก็ตามก่อนเริ่มกิจกรรม มีประชาชนจากหลายจังหวัดมาให้กำลังใจกับ กกต. และระบุว่าเตรียมต้อนรับ 'จ่านิว'สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ทั้งนี้มีสุภาพสตรีคนหนึ่งเมื่อเห็นสื่อมวลชนได้ตะโกนว่า มาช่วยรัฐบาล บ้านเมืองกำลังสงบจะออกมาทำให้วุ่นวายทำไม

ทั้งนี้ผู้สนับสนุน คสช. ได้ยกท่อนหนึ่งของเพลง "เพราะเธอคือประเทศไทย"ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นมาด้วย โดยกล่าวว่า เพราะเขา '...มีเพียงสองมือกับหนึ่งลมหายใจ'พอเดินก้าวไปต้องช่วยกัน ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเข้าไป เรามาช่วยรัฐบาลรู้บ้างไหม ปล่อยให้เขาเข้าไปได้อย่างไร เข้าไปได้อย่างราชามันเป็นใคร มาก่อกวนบ้านเมืองปล่อยให้เข้าไปได้อย่างไร

ทั้งนี้สุภาพสตรีคนดังกล่าวตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า "สามสถาบันหลักจะไม่ให้ใครทำลาย"และเตรียมจะพูดด่าสื่อมวลชนบางสำนักที่มาทำข่าว อย่างไรก็ตามเพื่อนของสุภาพสตรีที่มาด้วยกันได้เข้ามาห้ามปรามเอาไว้และพาไปพูดคุยที่จุดอื่น

นอกจากนี้มีกลุ่มชาวนาอยุธยา 70 คน เดินทางมาที่สำนักงาน กกต. ด้วย และเสนอให้ศูนย์ปราบโกงประชามติของจตุพร พรหมพันธุ์ไปตรวจสอบเรื่องจำนำข้าว ทั้งนี้กลุ่มดังกล่าวระบุว่าทราบว่าพลเมืองโต้กลับจะมาศูนย์ราชการจากการส่งไลน์ จึงมารอพบ กกต. ในเวลาเดียวกันและจะพูดคุยกับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คณะผู้ชี้ขาดตัดสินข้อเรียกร้องที่เหลือ ‘สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ’ ได้ข้อตกลงปี 2558 แล้ว

$
0
0

15 มิ.ย. 2559 สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ ได้แจ้งต่อสมาชิกสหภาพแรงงานและพนักงานธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2559 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องแจ้งผลการชี้ขาดตามข้อตกลงสภาพการจ้าง โดยระบุว่าตามที่สหภาพแรงงานและพนักงานธนาคารกรุงเทพ และ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยผู้แทนเจรจาของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2559 ตามข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพโดยมีข้อเรียกร้องที่เป็นข้อยุติตกลงกันได้จำนวน 11 ข้อ ซึ่งสหภาพแรงงานไม่เห็นด้วยกับที่ธนาคารเสนอจำนวน 4 ข้อ ทั้งสองฝ่ายจึงสมัครใจตั้งคณะผู้ชี้ขาด ซึ่งจากการนำเสนอข้อมูลและความเห็นของผู้แทนลูกจ้างและนายจ้าง ทั้งเป็นเอกสารและได้เข้าชี้แจงด้วยวาจาของทั้งสองฝ่ายครบถ้วนแล้วนั้น บัดนี้คณะผู้ชี้ขาด ประกอบไปด้วย นายปฐม เพชรมณี รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นายบดินทร์ อูนากูล และนายชาลี ลอยสูง ได้ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาวินิจฉัยข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อ โดยพิจารณาข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่ายและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งผลการประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ดังนี้

จากมติของคณะผู้ชี้ขาด 4 ข้อดังกล่าว สมาชิกสหภาพแรงงานและพนักงานจะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมเพียง 1 ข้อ คือ เรื่องปรับเงินเดือนขึ้นปีสุดท้ายของพนักงานที่เกษียณอายุ ส่วนอีก 3 ข้อ เรื่องเงินโบนัส+เงิน ช่วยเหลือพิเศษ มีมติให้เป็นไปตามที่นายจ้างจ่ายไปแล้ว คือ พนักงานได้รับรวม 3.5 เท่าของเงินเดือนเท่ากับปีที่ผ่านมา เรื่องเงินช่วยเหลือค่าครองชีพมีมติชี้ขาดไม่ต้องจ่ายเพิ่ม พิจารณาจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ ดัชนีผู้บริโภค ราคาน้ำมัน ที่ยังไม่แสดงว่าสูงขึ้น  และเรื่องเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คณะผู้ชี้ขาดมีมติเห็นชอบในอัตราที่ธนาคารได้จ่ายสมทบให้กับพนักงานทุกคนแล้วในอัตรา 0.75% เพิ่มจากอัตราสมทบเดิม ส่งผลให้ข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพประจำปี 2558 จำนวน 15 ข้อ จึงเป็นข้อยุติ

สรุปโดยย่อ ตามข้อเรียกร้องประจำปี 2558 จำนวน 15 ข้อ มีทั้งที่พนักงานได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น เรื่องที่ได้ผลประโยชน์เท่าเดิมกับปีที่ผ่านมา และไม่ได้ผลประโยชน์เพิ่มเป็นดังนี้

ข้อ 1โบนัส+เงินช่วยเหลือพิเศษ พนักงานได้รับ 3.5 เท่าของเงินเดือน เท่ากับปีที่ผ่านมา

ข้อ 2เงินช่วยเหลือผู้เกษียณอายุในปี 2558 คนละ 200,000 บาท

ข้อ 3ปรับขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานในปีที่เกษียณอายุตามระเบียบธนาคาร เพื่อเป็นประโยชน์ในการคำนวณเงินชดเชย

ข้อ 4เงินช่วยเหลือค่าครองชีพปีนี้ธนาคารไม่พิจารณาจ่ายเพิ่มให้

ข้อ 5เงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ธนาคารจ่ายสมทบเพิ่มขึ้น 0.75% ให้กับพนักงานทุกคนเพิ่มจากอัตราเดิม

ข้อ 6สหภาพถอนข้อเรียกร้อง (เพื่อนำไปผลักดันในคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ)

ข้อ 7วงเงินกู้สวัสดิการพนักงาน เงินกู้ฉุกเฉินวงเงิน 50,000 บาท โดยไม่ต้องมีหลักประกัน

ข้อ 8ธนาคารรับพิจารณาเงินค่าเสี่ยงพนักงาน CSO MO FRO และพนักงานการเงิน

ข้อ 9เงินช่วยเหลือพนักงาน MICRO พนักงานในสาขา 7 วัน พนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (BOOTH) คนละ 3,500 บาท ต่อคน/เดือน (BOOTH นอกสถานที่ที่เปิดบริการ 7 วัน และทำงานตามตาราง 4 วัน หยุด 2 วัน)

ข้อ 10ธนาคารตกลงปรับปรุงหลักเกณฑ์การกู้เงินศึกษาบุตร จากเดิมกู้ได้ไม่เกิน 1 เท่า เป็น 1.5 เท่า ของเงินเดือน

ข้อ 11จ่ายเงินบำรุงขวัญให้กับพนักงานที่ปฏิบัติในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 3 อำเภอใน จ.สงขลา ในอัตราคนละ 6,000 บาท ต่อเดือน

ข้อ 12 เรื่องประกันอุบัติเหตุ ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลพนักงานที่เจ็บป่วย ทุพพลภาพ อยู่แล้ว

ข้อ 13พนักงานสามารถเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลได้ตามหลักเกณฑ์และเงิ่นไขที่กำหนด

ข้อ 14ธนาคารให้เครื่องแบบกับพนักงานหญิงและชายตามรายละเอียดที่กำหนด

ข้อ 15ธนาคารตกลงประชุมร่วมกันระหว่างธนาคารและสหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพ ไตรมาสละ 1 ครั้ง

 

ข่าวเกี่ยวข้อง

'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ'ได้ข้อตกลงเบื้องต้น ตั้งผู้ชี้ขาดข้อเรียกร้องสำคัญ
สหภาพแรงงานธนาคารกรุงเทพแจ้งพิพาทแรงงานแล้ว
(เจรจา 16-17) เจรจาครั้งที่ 17 'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ'ระบุเรื่องเงินไม่ให้เพิ่มเติมแล้ว
เจรจาครั้งที่ 15 สหภาพธนาคารกรุงเทพยังไม่ได้เงินค่าครองชีพ
สหภาพแรงงาน ธ.กรุงเทพ ยื่นหนังสือให้ธนาคารทบทวนการแบ่งผลกำไร
เจรจานัด 13 สหภาพ ธ.กรุงเทพ ระบุธนาคารกำไร 34,181 ล้าน แต่ 'แบ่งปัน'ไม่เป็นธรรม
สหภาพ ธ.กรุงเทพ ระบุปีนี้ไม่ได้ค่าครองชีพ
เจรจานัด 11 'สหภาพ-ธนาคารกรุงเทพ'ผ่านไตรมาส 4 สหภาพของความชัดเจนข้อเรียกร้องตัวเงิน
เจรจานัด 10 สหภาพ ธ.กรุงเทพ ระบุไม่มีเซอร์ไพรส์ในวันคริสต์มาส
เจรจานัด 9 สหภาพธนาคารกรุงเทพจี้ให้ทบทวน 'ค่าครองชีพ-โบนัส-เงินช่วยเหลือ'
สหภาพ ธ.กรุงเทพ ระบุธนาคารจะจ่ายเงินช่วยเหลือ 1.5 เท่า ม.ค. 59
สหภาพฯ ธ.กรุงเทพ เจรจานัด 7 หวัง 'โบนัส-เงินช่วยเหลือ'จบอาทิตย์หน้า
เจรจารอบ 6 สหภาพฯ วอนธนาคารกรุงเทพ เร่งพิจารณาข้อเรียกร้อง มอบเป็นของขวัญให้ พนง.
สหภาพแรงงาน ธ.กรุงเทพ ระบุเจรจานัด 5 ยังไม่คืบหน้า
สหภาพธนาคารกรุงเทพเจรจานัด 4 ชี้มีลุ้นเงินให้ฟรีการศึกษาบุตร
สหภาพธนาคารกรุงเทพเจรจานัด 3 ธนาคารรับพิจารณาค่าตอบแทน พนง. Booth Exchange
‘สหภาพแรงงาน-ธนาคารกรุงเทพ’ เจรจาข้อเรียกร้อง 2558 นัดที่ 2
‘สหภาพแรงงาน-ธนาคารกรุงเทพ’ เจรจาข้อเรียกร้องปี 58 นัดแรก หลังยื่นข้อเรียกร้อง 15 ข้อ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรธ.จ่อส่งกรณีแกนนำเพื่อไทยโพสต์ไม่รับ ร่างรธน. ให้ กกต. ระบุบางข้อความผิดข้อเท็จจริง

$
0
0

แกนนำเพื่อไทย นัดโพสต์ 'ไม่รับ ร่าง รธน.'ด้านกรธ. เตรียมคุยเพื่อส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณาต่อ ชี้บางคนอาจผิดไปจากข้อเท็จจริง ขณะที่ ‘เสรี สปท.’ ชี้ไม่ใช่การปลุกระดม เพราะไม่ได้บอกอย่ารับ

15 มิ.ย.2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้แกนนำคนสำคัญหลายคนของพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กของแต่ละคน เช่น นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ข้อความว่า “ผมขอยืนยันใช้สิทธิส่วนบุคคล ในการแสดงความคิดเห็นต่อร่าง รธน. ว่าผมไม่เห็นด้วยกับการไม่ให้ประชาชนเลือก ส.ว. โดยตรง นอกจากนั้น การไม่ให้ประชาชนสามารถกาบัตรได้สองใบ เช่นที่เคยกระทำได้ตาม รธน.ปี 40 และปี 50 ทำให้ผมไม่อาจรับเนื้อหารธน.ข้างต้นได้ ส่วนท่านอื่นจะคิดอย่างไรเป็นสิทธิส่วนตัวของท่าน”

จาตุรนต์ ฉายแสง โพสต์ว่า "มีการเลือกตั้ง แต่ให้ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน มาร่วมเลือกนายกฯ แล้วเลือกตั้ง จะมีประโยชน์อะไร ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญครับ"

วัฒนา เมืองสุข โพสต์ว่า "เป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ เบียดบังอำนาจและสิทธิประโยชน์ของประชาชน แต่เชิดชูอำนาจเผด็จการ ปกป้องและปิดกั้นการตรวจสอบ ผมจึงไม่รับครับ"

มติชนออนไลน์รายงานด้วยว่า ยังมี ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการ เลขาธิการพรรค โพสต์ข้อความว่า “รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยลดทอนอำนาจประชาชน ขาดหลักประกันสิทธิเสรีภาพที่เพียงพอ และแก้ไขได้ยากมาก จึงไม่สร้างความเชื่อมั่น ไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศได้ ผมจึงไม่อาจรับให้เป็นไม้สำคัญสูงสุดของประเทศได้”

โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา โพสต์ข้อความว่า “ทั้งที่มาและเนื้อหาไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ฉบับประชาชน ผมจึงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้”

พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯโพสต์ข้อความว่า “ภายใต้กติกาแบบนี้ไม่เห็นอนาคตประเทศไทยรับไม่ได้จริงๆครับ”

ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากลผมรับไม่ได้ เพราะลูกหลานจะเดือดร้อนไปอีกยาวนาน ผมจึงตัดสินใจไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ครับ”

วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตประธานรัฐสภา โพสต์ข้อความว่า “ในฐานะที่เคยเป็นอดีตประธานรัฐสภาที่รับสนองพระบรมราชโองการรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งคิดว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผมจึงเสียดายที่รัฐธรรมนูญฉบับที่เรากำลังจะลงประชามตินี้ ได้ตัดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนหลายประการ ทั้งเรื่องศาสนา การศึกษา การเมือง ที่ทำให้ความเป็นประชาธิปไตยด้อยกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ผมจึงไม่อาจรับรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะลงประชามตินี้ได้”

นอกจากนี้ ยังมี สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคพท. สามารถ แก้วมีชัย อดีตส.ส.เชียงราย ในฐานะคณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญพรรคพท. และ อุดมเดช รัตนเสถียร อดีตส.ส.นนทบุรี พรรคพท. ที่โพสต์ข้อความแสดงจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วย

กรธ. เตรียมคุยเพื่อส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณาต่อ

เดลินิวส์รายงานว่าปฏิกิริยาจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ด้วย โดย อุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย นัดโพสต์เฟซบุ๊กประกาศจุดยืน “ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ” ดังกล่าวว่า ตนมีข้อสังเกต 2 ประการ คือ 1.การเผยแพร่ความเห็นของนักการเมืองเหล่านี้ มีลักษณะเป็นการจัดฉากเพื่อการประชาสัมพันธ์เรียกร้องความสนใจหรือไม่ 2.เนื้อหาที่แสดงออกเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่เคยเผยแพร่มาแล้ว ไม่มีของใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการติเรือทั้งโกลน การเหมารวมว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่ถูกต้องด้วยความเห็นทางการเมืองส่วนตัวของเขา บางความเห็นไม่ได้ติติงในเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญในส่วนใดที่ชัดเจน และการแสดงความเห็นของบางคนอาจผิดไปจากข้อเท็จจริง  ซึ่งทาง กรธ. คงจะหารือเพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณาต่อไป

อมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุชัดเจนว่าผู้ที่โพสต์นั้นมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัว แต่อยากฝากเตือนผู้ที่แชร์ข้อความดังกล่าวต่อไปให้ระวัง  หากมีการเติมแต่งข้อความหรือแสดงความเห็นต่อเนื่องและบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงอาจมีความผิดกฎหมายพ.ร.บ.ประชามติได้ซึ่งมีโทษหนักจำคุกถึง 10 ปี ปรับ 2 แสนบาท

‘เสรี’ ชี้ไม่ใช่การปลุกระดม เพราะไม่ได้บอกอย่ารับ

มติชนออนไลน์ รายงานความเห็นของ เสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ต่อกรณีนี้ โดย เสรี มองว่า การเสนอความเห็นส่วนตัวว่า จะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ถือว่าไม่มีความผิด เพราะเป็นเสรีภาพในการเสนอความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นตาม มาตรา 7 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และสิ่งที่พรรคพท.ทั้ง 17 คน แสดงออกยังไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม มาตรา 61 ของกฎหมายดังกล่าว ซึ่งการเสนอความคิดเห็นส่วนตัวครั้งนี้ก็ชัดเจนดี ถือเป็นเหตุผลของแต่ละคนที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองทั้งนั้น และการจะบอกว่า ไม่สุจริตก็คงไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีความเชื่อเช่นนั้น เป็นการอาศัยช่องมาตรา 7 ของกฎหมายประชามติมาแสดงความเห็นส่วนตัว ให้เกิดกระแสโน้มน้าวใจคนอ่าน แต่ไม่ใช่การชี้นำ หรือปลุกระดม เพราะไม่มีการระบุว่า อย่ารับร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งไม่เข้าข่ายการปลุกระดมของคณะบุคคล 5 คนขึ้นไป เพราะต่างคนต่างแสดงความคิดเห็น แม้จะแสดงความเห็นพร้อมๆ กันแต่ก็ไม่ใช่การไปชุมนุมอยู่ในสถานที่เดียวกัน เพื่อปลุกระดมแต่อย่างใด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สาระ+ภาพ: ดัชนีประชาธิปไตย VS ดัชนีการพัฒนามนุษย์: สองสิ่งใหญ่ไปด้วยกันได้หรือไม่

$
0
0


คลิกเพื่อชมภาพขนาดใหญ่

 

ดูความสัมพันธ์ระหว่าง "ดัชนีประชาธิปไตย"กับ "ดัชนีการพัฒนามนุษย์"ตอบคำถาม ประชาธิปไตยจะนำไปสู่การเป็นประเทศที่ประชาชนสุขภาพที่ดี ชีวิตยั่งยืน การศึกษาที่สูง และมาตรฐานการครองชีพที่ดีได้หรือไม่
 
ทั้งนี้ ดัชนีประชาธิปไตย จะวัดจาก 5 กลุ่มชี้วัด คือ กระบวนการเลือกตั้งและฟหุนิยม เสรีภาพพลเมือง วัฒนธรรมทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมือง และหน้าที่ของรัฐบาล ส่วนดัชนีการพัฒนามนุษย์ จะวัดจาก 3 ด้าน คือ สุขภาพ มาตรฐานการครองชีพ และการศึกษา
 
"ฮ่องกงกับสิงคโปร์เท่านั้นที่ได้รับคะแนน HDI ที่สูง แต่มีคุณภาพประชาธิปไตยที่ค่อนข้างต่ำ เพราะสองประเทศนี้ค่อนข้างจะค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ในหลายๆ ด้านเช่นการเป็นเกาะ มีขนาดเล็ก เป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก ฯลฯ แต่สำหรับประเทศอื่นแล้วเราจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง HDI กับ ประชาธิปไตย รวมถึงประเทศแถบเอเชียที่เคยเป็นเผด็จการมาเมื่อไม่นานมานี้เอง รวมถึงเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น

"ผมขอสรุปว่าหากระบบการปกครองของไทยไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยที่มีคุณภาพสูง โอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่รับคะแนนสูงในดัชนีการพัฒนามนุษย์ นั่นคือเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มีสุขภาพที่ดี ชีวิตยั่งยืน การศึกษาที่สูง และมาตรฐานการครองชีพที่ดี แทบจะไม่มีเลย" Mishari Muqbil ผู้เขียนบทความ "ประเทศไทย ประชาธิปไตยกับดัชนีการพัฒนามนุษย์"เสนอ
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลทหารไม่ให้ประกัน หฤษฎ์-ณัฏฐิกา รอบที่ 4

$
0
0

15 มิ.ย.2559 เวลา 13.30 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) แจ้งว่า ในการฝากขังผัดที่ 4 นายหฤษฎ์ มหาทน และนางสาวณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์ ผู้ต้องหาตามมาตรา 112  ในวันนี้ ทนายได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขังและขอให้พนักงานสอบสวนอยู่ร่วมไต่สวนคำร้องขอฝากขังด้วย แต่ปรากฎว่าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไม่ได้เดินทางมาศาลด้วยตนเอง และได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามอีกคดีเป็นยื่นคำร้องฝากขังแทน ภายหลังการไต่สวนและคำแถลงของผู้ต้องหาทั้งสองที่ขอความเมตตาจากศาลพร้อมเหตุผลเรื่องการได้มาพยานหลักฐาน ศาลได้กำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดทำการสอบสวนให้แล้วเสร็จในครั้งต่อไป

อย่างไรก็ตาม ทนายความจำเลยได้ยื่นประกันตัวจำเลยทั้งสองอีกเป็นครั้งที่ 4 โดยใช้เงินสด 500,000 บาทเป็นหลักทรัพย์ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาจะหลบหนีซึ่งจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายในชั้นนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงดุลยพินิจเดิม ให้ยกคำร้อง 

กำหนดฝากขังครั้งต่อไปผัดที่5 คือ วันที่ 27 มิ.ย.2559

ทั้งนี้ หฤษฎ์และณัฏฐิกา ถูกเจ้าหน้าที่ทหารบุกจับกุมพร้อมกับบุคคลอื่นอีก 6 คนรวมเป็น 8 คนเมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา พวกเขาถูกกล่าวหาว่ารับจ้างเป็นแอดมินและจัดการเนื้อหาในเพจเฟซบุ๊กเสียดสีการเมือง 'เรารัก พล.อ.ประยุทธ์'ทั้ง 8 คนถูกนำมาแถลงข่าวในวันที่ 28 เม.ย.และตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา มาตรา 116 ปลุกระดมปลุกปั่นให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1),(2),(3) และถูกนำตัวไปฝากขังยังศาลทหาร ศาลอนุมัติและส่งเข้าเรือนจำ วันต่อมา 29 เม.ย. มีรายงานข่าวว่าศาลทหารได้อนุมัติหมายจับเพิ่มเติม คือ หฤษฎ์และณัฏฐิกา ในข้อหามาตรา 112 โดยอ้างเหตุกรณีการพูดคุยส่วนตัวกันในกล่องข้อความ (แชต) ในเฟซบุ๊ก ต่อมาหฤษฎ์จำเลยได้ให้สัมภาษณ์ตั้งข้อสังเกตว่าการได้หลักฐานของเจ้าหน้าที่อาจกระทำไปโดยมิชอบ และเกิดกระแสไม่ไว้วางใจบริการเฟซบุ๊กขึ้นในโซเชียลเน็ตเวิร์ก จากนั้นตำรวจจึงออกมาชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่หาหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าได้มาโดยวิธีใด

หลังจากนั้นมีการยื่นประกันตัวทั้ง 8 คนอีกสองครั้ง ท้ายที่สุดในการฝากขังผัดที่ 2 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา ศาลทหารอนุญาตให้ประกันตัวทั้ง 8 รายโดยวางหลักทรัพย์คนละ 200,000 บาท อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการปล่อยตัวทั้ง 8 คน ตำรวจก็ได้เข้าอายัดตัว หฤษฎ์และณัฏฐิกาไปควบคุมตัวต่อในข้อหามาตรา 112 โดยทันที

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตร.-ทหาร เข้าเจรจา นศ.รามฯ ยันเดินหน้าจัดเสวนา 3 ฝ่าย 'Vote Yes - No - บอยคอต'

$
0
0

ตร.-ทหาร เข้าเจรจาขอความร่วมมือ นักศึกษา กลุ่มเสียงจากหนุ่มสาว ม.รามคำแหง เหตุเตรียมจัดเสวนา 3 ฝ่าย กรณีประชามติ ร่างรธน. 'นันทพงศ์' เผยมี ตร.ผู้ใหญ่เข้ามาข่มขู่ ยันยังคนเดินหน้าจัด โดยอาจเปลี่ยนสานที่แทน

ที่มาภาพ เฟซบุ๊ก 'นันทพงศ์ ปานมาศ '

15 มิ.ย.2559 เมื่อเวลา 16.37 น. นันทพงศ์ ปานมาศ นักศึกษา กลุ่มเสียงจากหนุ่มสาว มหาวิทยาลัยรามคำแหงโพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะสาธารณะ ว่า ด้วยความเคารพสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันนี้ตนเจรากับ ตำรวจ ทหารเรื่องจัดกิจกรรมเสวนาที่รามคำแหงวันที่อาทิตย์ที่19 มิ.ย.นี้ โดยระหว่างคุยเจรจากันกำลังไปได้ด้วยดีพอเข้าใจกันได้แต่เมื่อท่าน พ.ต.อ.พัฒนา เพศยนาวิน รอง.บกน.4. มาถึง ซึ่งคำพูดที่ตนจำได้แม่นที่ท่านพูดกับตนคือ คนนี้ใช่ไหมชื่อกุ๊กที่จะจัดงานและท่านนี้ก็พูดต่อว่าคุณอ่านหนังสือไม่ออกเหรอว่ามันผิดกฏหมายคุณไม่มีสมองเหรอมันผิดข้อกฎหมายมันทำไม่ได้และที่ๆ คุณโพสต์ในเฟซบุ๊ก จะไปดูนะว่ามันผิดข้อกฎหมายตรงไหนอะไรอย่างไร

นันทพงศ์ มองว่า หลายคำพูดไม่ใช่มาเจรจากันแต่นี้มาข่มขู่กันชัดๆ หากตนไม่หยุดคงต้องจับ ทั้งนี้ ในวันนี้ทหารและตำรวจมาประมาณ 20 คน 

"ด้วยความเคารพถ้าท่านรองผู้การท่านนี้ไม่มาวงเจรจาคงคุยกันรู้เรื่องง่ายๆ ครับ พี่ครับงานเสวนาวิชาการนะพี่ผมไม่ได้ไปฆ่าคนตายหรือค้ายาเสพติดถึงพูดกันแบบนี้และที่สำคัญกิจกรรมในครั้งนี้เชิญทุกฝ่ายมาคุยกันครับไม่ใช่แค่ฝ่ายเห็นต่างจากคสช.ฝ่ายเดียวนะครับ" นันทพงศ์ โพสต์

โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์กิจกรรม

นันทพงศ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า ตามกำหนดการทางกลุ่มของตน เตรียมจัดเสวนาเกี่ยวกับประชามติ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแห่ง โดยจะเชิญทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายโหวตโน โหวตเยส และบอยคอต ซึ่งวันนี้ทางทหาร ตำรวจและมหาวิทยาลัยได้ขอคุยร่วมกันว่าจะหาทางออกในสถานการณ์นี้ ตั้งแต่เวลาประมาณ 15.30 น. โดยมีการคุยกันประมาณ 1 ชั่วโมง ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยเริ่มจากการไม่ให้จัด แต่กำลังหาทางออกไปได้ด้วยดีว่าจะเป็นการขอเปลี่ยนสถานที่ได้หรือไม่ แต่จากนั้น  รอง.บกน.4.เข้ามาจนเกิดเหตุอย่างที่โพสต์ในเฟซบุ๊กดังกล่าว

นันทพงศ์ ยังคงยืนยันว่าจะจัดกิจกรรมต่อ แต่จะมีการปรึกษาหารือร่วมกับสมาชิกในกลุ่มอีกทีเรื่องสถานที่ สำหรับเป้าหมายของการจัดนั้น ต้องการอัดวิดีโอคลิปไว้ทั้งหมด เพื่อเผยแพร่ความเห็นของแต่ละฝ่าย ว่าเขาคิดอย่างไรถึงโหวตเยส โหวตโนและบอยคอต เพื่อให้ประชาชนได้รับฟังแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทูตสหรัฐ'เข้าพบอภิสิทธิ์ ทั้งคู่หวังประชามติเปิดให้ ปชช.มีส่วนร่วม

$
0
0

15 มิ.ย. 2559 เมื่อเวลา 9.29 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Abhisit Vejjajiva'ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า กลิน ที. เดวีส (Glyn T. Davies) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ขอเข้าพบที่ พรรคประชาธิปัตย์

โดย สำนักข่าวไทยรายงานรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยว่า ทั้งคู่ ใช้เวลากว่า 1ชั่วโมง โดย เกล็น กล่าวภายหลังการเข้าพบ ว่า หารือหลายเรื่องทั้งเรื่องทางเศรษฐกิจและการเมือง ประเทศไทยจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างไร ทราบเรื่องการปฏิรูปประเทศและไทยกำลังเดินกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยเช่นเดิม  ซึ่งบรรดามิตรประเทศ ของไทยทุกประเทศได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเห็นว่าพัฒนาการต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทยดำเนินการ มีแนวโน้มที่ดี หากมีการเลือกตั้งในปี 2560 ตามโรดแมปของรัฐบาล

“เห็นว่าควรจะเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้คนไทยทุกระดับมีส่วนร่วมก่อนถึงวันลงประชามติ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่คนไทยจะได้ทีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นจุดยืนของสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นของใคร ของสื่อหรือเสรีภาพต่างๆ แต่ในมุมมองที่กว้างกว่านั้นในช่วงเวลาขณะนี้ ทุกคนทุกฝ่ายต้องการเห็นประเทศไทยประสบความสำเร็จ เจริญ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนไทยที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ เกี่ยวกับอนาคตของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการพุดในหลักการที่พูดมาหลายครั้งแล้ว” เอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย กล่าว
 
ขณะที่ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า พูดคุยในเรื่องท่าทีของพรรคต่อเรื่องการเมืองและการทำประชามติ โดยยืนยันว่าพรรคให้ความสำคัญในการที่จะให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง การทำประชามติต้องเอื้อต่อการให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อนำไปสู่การยอมรับกติกา หากไม่ผ่าน ต้องมีกระบวนการและกติกาที่ดีเพื่อเดินหน้า โดยพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่ส่งเสริมให้สังคมไทยพิจารณาเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญมากกว่า
 
“ผมกับทูตสหรัฐเห็นตรงกันว่าต้องมีพื้นที่การมีส่วนร่วม ซึ่งทูตสหรัฐก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของไทย แต่ก็พูดในมุมหลักการประชาธิปไตย ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงปัญหาความละเอียดอ่อนและความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
 
อภิสิทธิ์ กล่าวว่า การทำประชามติ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเป็นหลักด้วยการออกมาขจัดความไม่แน่นอนและความกลัวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการแสดงออกที่เกิดจากผู้มีอำนาจ ทำให้เกิดความสับสนว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ และกกต.ควรเสนอความเห็นไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของรัฐ ถ้าใช้ไปในทางที่เอื้อต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็จะไม่เกิดการยอมรับ เพราะขณะนี้กระบวนการชี้แจงเนื้อหาถูกมองว่าเป็นการชี้นำ
 
ส่วนกรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมระบุว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่สามารถตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติได้ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้พูดให้ชัดว่าสิ่งที่ทำไม่ได้คือการกระทำผิดกฎหมาย  เพราะขณะนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกจำกัด ถ้าอนุญาตให้กลุ่มหนึ่งทำได้ก็ต้องอนุญาตทุกกลุ่ม แต่อะไรที่เกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริต การเที่ยงตรงของการทำประชามติก็ต้องทำได้ ส่วนการปลดป้ายไวนิลศูนย์ปราบโกงประชามติที่จังหวัดลำปาง ไม่อยากให้ทางฝ่ายรัฐเป็นเหยื่อของการยั่วยุให้เกิดภาพบางอย่างที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้น
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จนท.งัด 'กรกฎ52-กบิล59'จับธัมมชโย ศิษย์ธรรมกายปูสวดมนต์รอ

$
0
0

16 มิ.ย. 2559 จากกรณีวานนี้ (15 มิ.ย.59) ศาลอาญาได้มีคำสั่งอนุมัติหมายค้นวัดพระธรรมกายโดยหมายค้นจะมีผลในวันนี้เป็นต้นไป ล่าสุด จส.100รายงานว่า ก่อนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย  พล.ต.อ.ศรีวราห์  รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า วันนี้หากมีเหตุเหตุการณ์ใดใดเกิดขึ้นจะใช้กฎหมายขั้นเด็ดขาดในการจัดการ ส่วนถ้าวันนี้การดำเนินการไม่สำเร็จจะต้องกลับไปขอหมายค้นจากศาลอีกครั้งหนึ่งและขึ้นอยู่กับศาลว่าจะอนุมัติหรือไม่ ซึ่งต้องเป็นไปตามกฎหมายบ้านเมืองขณะเดียวกันจะรายงานสถานการณ์ให้ให้กับ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฟังเป็นระยะๆ เชื่อว่าการปฏิบัติการในวันนี้จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้แผนปฏิบัติการกรกฎ52คือแผนปฏิบัติการหลักของการบุกเข้าจับกุมตัวพระธัมมชโยในวันนี้ซึ่งเป็นแผนของตำรวจ ส่วนแผนปฏิบัติการกบิล 59 คือแผนรองของทางดีเอสไอ

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองตำรวจสื่อสาร ได้เตรียมเครื่องถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียง เพื่อส่งสัญญาณปฏิบัติการตามแผน ได้เตรียมเครื่องถ่ายทอดภาพและเสียงเพื่อส่งสัญญาณการเริ่มปฏิบัติการตามแผน กบิล 59 ตั้งแต่เริ่มต้นไปยัง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งเป็นจุดที่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประจำการ เพื่อติดตามตามแผนปฏิบัติการกบิล 59 ในวันนี้ โดย แผนปฏิบัติการจับพระธัมมชโย มี 2 แผนคือ ตำรวจใช้ชื่อว่า "กรกฎ52"ส่วนแผน "กบิล59"จะเป็นแผนของ DSI ส่วนเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าปฏิบัติการตรวจค้นทั้งหมด 1,000 คน ได้แก่เจ้าหน้าที่ของตำรวจ DSI ฝ่ายปกครองและทหาร
 
จส.100 รายงานด้วยว่า ภายในวัดพระธรรมกาย ขณะนี้คณะศิษยานุศิษย์ ได้ปูเสื่อนั่งสวดมนต์หน้าวัดเรียงหน้ากระดานพร้อมเปิดเสียงตามสาย เชื่อมั่นใจความบริสุทธิ์ของพระธัมมชโยด้วย ที่หน้าประตู 7เป็นทางที่ดีเอสไอจะเข้าขอตรวจค้นมีลูกศิษย์อยู่ทั่วบริเวณภายนอกวัดจำนวนหนึ่ง โฆษกของวัดได้แจ้งลูกศิษย์วัดให้สวมเสื้อกันฝนที่ทางวัดได้เตรียมไว้ให้
 
ขณะนี้ ศิษย์วัดพระธรรมกายทะยอยออกจากประตู 5 หอฉันท์คุณยายอาจารย์ เป็นชุดๆ ชุดละประมาณ 50 คน เมื่อสอบถาม ได้รับคำตอบว่า ไปนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม พบว่า ชุดแรก นั่งสมาธิอยู่ปากทางเข้าถนนคลองแอน ชุดที่เหลือทยอยเดินไปทางประตู 6 คาดว่าจะไปสมทบกันหน้าประตู 7 ซึ่งเป็นประตูทางเข้าหลักของวัดพระธรรมกาย ที่ดีเอสไอจะเข้าปฏิบัติการในเวลา 08.00น. ซึ่งบริเวณประตู 7 ขณะนี้ได้มีการปิดตายพร้อมกับมีการนำสแลนสีเขียวคลุมที่บริเวณประตู7 เอาไว้ด้วย โดยมองเห็นด้านหลังเป็นลูกศิษย์ที่กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ด้านหน้ามหาวิหารหลวงปู่ทองคำ ของวัดพระธรรมกาย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รมว.ยุติธรรม หาทางยกเลิก 'เมทแอมเฟตามีน'จากบัญชียาเสพติด ชี้อันตรายน้อยกว่าเหล้าบุหรี่

$
0
0

ที่มาภาพ เพจ Ministry of Justice, Thailand 

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซนทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว ศาลฏีกา ร่วมกับสำนักกิจการในพระราชดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ร่วมประชุมเรื่อง ทิศทางของนโยบายยาเสพติดโลก เพื่อนำผลของการประชุมสมัยพิเศษของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเรื่องยาเสพติด( UNGASS ) ปี 2016 มาปรับใช้ในประเทศไทย โดยมี วีรพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา พร้อมด้วย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เปิดการประชุม

ทั้งนี้ พล.อ.ไพบูลย์ ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการแก้ไขยาเสพติดเมื่อ 28 ปีที่ผ่านมาว่า มีแนวคิดทำให้โลกปราศจากยาเสพติดด้วยประกาศสงคราม แต่เมื่อทำงานร่วมกับยาเสพติดมายาวนานจนถึงปัจจุบัน โลกยอมจำนนให้ยาเสพติด และกลับมาคิดว่าจะอยู่ร่วมกับยาเสพติดได้อย่างไร เปรียบเทียบได้กับคนเป็นมะเร็งที่ไม่มียารักษา ต้องใช้ชีวิตอยู่กับมะเร็งต่อไปให้ได้อย่างมีความสุข ขณะนี้ทิศทางเกี่ยวกับยาเสพติดกำลังเปลี่ยนไป หลายประเทศพูดถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติดในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการดูแลสุขภาพอนามัยของผู้เสพ ทิศทางของการใช้ยาเสพติดเพื่อรักษาอาการป่วย แต่ยูเอ็นยังไม่กล้าเขียนและไม่กล้ายอมรับ ทั้งที่มีผลงานวิจัยยืนยันและมีทิศทางของการยอมรับมากกว่า 70% แล้ว 

มว.ยุติธรรม กล่าวต่อไปว่า ในที่ประชุม UNGASS ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เรียกร้องให้คำนึงถึงการลงโทษที่ได้สัดส่วน เช่น อันตรายของสารกระตุ้นในกลุ่มแอมเฟตามีนที่มีต่อตนเองและผู้อื่นในสังคม บทบาทของผู้กระทำผิด มาตรการอื่นแทนการลงโทษจำคุก หลายประเทศนำแนวคิดของประเทศไทยไปใช้ แต่ในไทยทำไม่ได้เพราะติดขัดที่กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด ถ้าไม่แก้กฎหมายก็เดินต่อไปไม่ได้ ตนจึงผลักดันให้ยกร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดเป็นการปฏิรูปกฎหมายยาเสพติดทั้งระบบ ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนคณะกรรมการกฤษฎีกา กฎหมายใหม่จะเปิดช่องให้ศาลมีโอกาสใช้ดุลยพินิจในการลงโทษจำคุก หรือการปรับที่น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เมื่อมีเหตุอันสมควรเฉพาะราย โดยพิเคราะห์ถึงความร้ายแรงของการกระทำความผิด ฐานะของผู้กระทำความผิด และพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหายาเสพติดต้องดำเนินการให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือ ปราบปราม ป้องกัน และบำบัด แต่ที่ผ่านมาการบำบัดทำไม่ได้ ติดขัดที่กฎหมาย ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะเปลี่ยนเมทแอมเฟตามีนจากยาเสพติดรุนแรงเป็นยาปกติ เพราะในทางการแพทย์ เมทแอมเฟตามีนมีผลทำลายสุขภาพและสมองน้อยกว่าบุหรี่และสุรา แต่สังคมกลับยอมรับบุหรี่และสุรา หลังจากนี้จะหารือกับกระทรวงสาธารณสุข ศาล อัยการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อหาแนวทางที่เป็นไปได้ในการยกเลิกเมทแอมเฟตามีนจากบัญชียาเสพติด

“ปัจจุบันอยู่ระหว่างผลักดันร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งจะเปิดช่องให้ศาลใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำคุกหรือปรับที่น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำ โดยให้พิจารณาเป็นรายกรณีและขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของกฤษฎีกา” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

 

ที่มา : โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์ และเว็บไซต์กระทรวงยุติธรรม

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศิษย์ธรรมกาย แถลง 'ธัมมชโย'ควรมอบตัว เมื่อบ้านเมืองสู่ภาวะปกติ มีประชาธิปไตยสมบูรณ์

$
0
0

16 มิ.ย.2559 ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้นำหมายค้นและหมายจับเพื่อดำเนินการจับกุมพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตามแผน "กบิล59"และ  "กรกฎ52"(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

มติชนออนไลน์ผู้จัดการออนไลน์และเนชั่นรายงานตรงกันว่า คณะศิษย์วัดธรรมกายได้มีแถลงการณ์เผยแพร่ผ่านเสียงตามสาย และเป็นเอกสารแจกแก่สื่อมวลชนระบุว่า คณะศิษย์เห็นพ้องว่า พระธัมมชโย ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยการมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ เพราะขณะนี้ขาดหลักประกันสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม

โดย  เอกสารแถลงข่าวคณะศิษย์พระเทพญาณมหามุนีมีรายละเอียดดังนี้

"นอกจากพระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) จะเจ็บป่วยมีอาการอาพาธรุนแรงมากแล้ว คณะศิษย์ฯ เห็นพ้องต้องกันว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยการมอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือ เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้น เพราะการที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ย่อมทำให้ขาดหลักประกันสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม ดังเช่น การคุกคามและบ่อนทำลายวงการพระพุทธศาสนาของภิกษุนอกรีตกับพวกบางกลุ่ม การชะลอการทูลเกล้าสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และการที่ดีเอสไอดำเนินคดีกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อโดยรีบร้อน รวบรัด ผิดข้อตกลงกับเจ้าคณะปกครองสงฆ์และผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น
       
"กรณีพระสุวิทย์ วัดอ้อน้อย ซึ่งถูกดำเนินคดีข้อหากบฎซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าอันเกิดจากการนำมวลชน shut down กรุงเทพฯ ยึดสถานที่ราชการรวมทั้งดีเอสไอนานหลายเดือน และถูกออกหมายจับด้วยเช่นกัน ซึ่งถึงแม้จะมีการมอบตัวก็ตาม แต่ปรากฎว่าจนถึงปัจจุบันนี้ ระยะเวลาได้ล่วงเลยมากว่า 2 ปีแล้ว คดีนี้ก็ยังไม่มีการนำตัวผู้ต้องหาขึ้นฟ้องศาลแต่อย่างใด
       
ข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอกระทำต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีอายุความถึง 15 ปี การที่จะรอเวลาให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งก็ใกล้จะถึงอยู่แล้วตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนและชาคมโลก จึงไม่ได้เป็นการล่าช้าต่อการดำเนินคดีและเกิดความเสียหายต่อรูปคดีแต่ประการใด"แถลงการณ์โดยคณะศิษย์พระเทพญาณมหามุนี ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2559 ระบุ
 
มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า ต่อมา พ.ต.ต.สุริยา ได้สอบถามว่าใครเป็นผู้อ่านแถลงการณ์ดังกล่าว โดยขอให้แสดงตัวกับเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้พูดคุยและให้เกิดความเข้าใจตรงกัน หลังจากพ.ต.ต.สุริยา สอบถามเสร็จ ทางกลุ่มศิษยานุศิษย์ที่นั่งปฏิบัติธรรมอยู่ต่างพร้อมใจกันยกมือขึ้นทั้งสองข้างค้างไว้และปรบมืออยู่ 3-4 รอบ ก่อนที่วัดพระธรรมกายจะนำตัวผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนอ่านแถลงการณ์ออกมาพูดคุยกัน กระทั่ง ยอมให้พ.ต.ต.สุริยา เข้าไปดำเนินการตรวจค้นภายในวัดได้ โดยมีพระรูปหนึ่งเป็นผู้นำเดินเข้าไป
 
       
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จาตุรนต์ ฉายแสง: คำสั่งเรียนฟรี 15 ปีมีผลจริงหรือ

$
0
0



เป็นที่ฮือฮาที่ คสช.ออกคำสั่งกำหนดให้เรียนฟรี 15 ปี แต่ยังมีคำถามว่าคำสั่งนี้จะมีผลอย่างไรและมีผลไปนานแค่ไหนกันแน่

จะพิจารณาเรื่องนี้อาจเริ่มจากคำชี้แจงของท่านรองนายกฯวิษณุ เครืองาม ที่ปรากฏในสื่อมวลชนที่ชี้แจงว่า ในร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้เรียนฟรี ตามการศึกษาภาคบังคับ12 ปี ทำเกินจากนั้นได้ การพิจารณาเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.   

ตัวแทนกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ได้ชี้แจงว่าไม่ขัดกับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายการศึกษาภาคบังคับคือประถมศึกษา 6 ปี มัธยมต้น 3 ปี รวมเป็น 9 ปี ส่วนกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ ที่ใช้กันอยู่ กำหนดไว้12 ปี รวมไปถึงมัธยมปลาย 3 ปีด้วย แต่รัฐบาลสมัยพรรคประชาธิปัตย์ถึงเพื่อไทย มีนโยบายกำหนดให้เป็น 15 ปี เพิ่มจากภาคบังคับ 9 ปี คือช่วงอนุบาล 3 ปี และ มัธยมปลายอีก 3 ปี จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้มีข้อถกเถียงมาโดยตลอด รวมถึงคำว่าเรียนฟรีนั้น ฟรีค่าอะไรบ้าง จากเดิมที่เป็นค่าเล่าเรียน ต่อมาก็มีค่าอย่างอื่นเพิ่มขึ้น เช่น ค่าเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน ค่าอาหาร ทุกอย่างต้องวัดดวงที่นโยบายของแต่ละรัฐบาล ซึ่ง คสช. มีความเป็นห่วงในส่วนนี้ และจากนโยบายของรัฐบาลก่อนหน้านี้เรียนฟรี 15 ปี เมื่อในร่างรัฐธรรมนูญที่ให้เรียนฟรี 12 ปี ก็มีการโวยวายกัน ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วเรียนฟรี 15 ปี เป็นนโยบายรัฐบาล ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ แต่ คสช.เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว ในคำสั่งนี้จึงเป็นคำสั่งฉบับแรกที่อ้างถึงมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอื่นด้วย และเพื่อเป็นหลักประกันว่านโยบาย เรียนฟรี 15 ปีจะมีการใช้ต่อไป ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ จึงทำเป็นคำสั่งออกมา แต่รู้ว่าคำสั่งไม่ยั่งยืน จึงสั่งไว้ด้วยว่าให้จัดทำ พ.ร.บ.เกี่ยวกับเรื่องนี้เสนอเข้า ครม.ใน 6 เดือน โดยจะมีรายละเอียดทั้งหมดว่าได้ค่าอะไรบ้าง

คำถามง่ายๆที่ต้องถามก็คือ ตกลงรัฐบาลเห็นว่าในร่างรัฐธรรมนูญนี้กำหนดให้เรียนฟรี 12 ปี ถึง ม.3 เท่านั้น หรือกำหนดให้เรียนฟรี 15 ปี ถึง ม.6และ ปวช. ถ้ากำหนดให้ถึง ม.6 อยู่แล้ว การออกคำสั่งก็เป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่ถ้าร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้ครอบคลุมเพียง ม.3 การออกคำสั่งนี้อาจมีผลในเวลานี้ เพราะคำสั่ง คสช.อยู่เหนือกฎหมาย หักล้าง พ.ร.บ.การศึกษาทั้งหลายได้ทันที

แต่ปัญหาก็คือหากร่างฯนี้ผ่านจนมีผลบังคับใช้ คำสั่ง คสช.หรือกฎหมายที่ไปปรับปรุงตามคำสั่งนี้จะยังมีผลต่อไปหรือไม่ น่าเป็นห่วงคือเมื่อถึงเวลานั้น หากมีการตีความกันขึ้นเช่นผู้ทีเขาพึงได้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญอย่างเช่นเด็กเล็ก เด็กอนุบาลหรือเด็ก ม.ต้นได้รับการดูแลไม่เพียงพอก็อาจเรียกร้องให้มีการตีความ คำสั่งนี้จะขัดต่อรัฐธรรมนูญและถ้ารัฐบาลใดทำตามคำสั่งนี้ก็อาจเป็นการขัดรัฐธรรมนูญได้

พูดง่ายๆอีกแบบคือถ้าไม่ต่างกันหรือขัดกันก็ไม่จำเป็นต้องออกคำสั่ง แต่ถ้าต่างกันคำสั่งก็จะไม่มีผล

ทำไมเรามาอยู่ในจุดนี้ ผมคิดว่าสาเหตุสำคัญมาจาก กรธ.ชุดนี้มีความคิดแปลกๆของตนเองหลายเรื่องรวมทังเรื่องเรียนฟรีนี้ด้วย จึงได้ร่างกันมาตามความคิดของตน ไม่ใช่เรื่องหลงลืมหรือมองข้าง แต่เขามีหลักคิด วิธีคิดของเขาอย่างนั้นจริงๆ มีคนท้วงกันไม่น้อย ก็ไม่ฟัง ส่วน คสช.นั้น นอกจากไม่ได้ฟังความเห็นผู้ทักท้วง เห็นเป็นเสียงนกเสียงกาแล้ว ยังให้ความสนใจแต่เรื่องโครงสร้างอำนาจ เวลาส่งข้อเสนอให้ กรธ.จึงมีแต่เรื่องเชิงอำนาจเช่นที่มาของ สว.และอำนาจของ สว.ในการเลือกนายกฯเป็นต้น ไม่มีเรื่องการศึกษา

พอมีเสียงวิจารณ์กันมากจนกระทั่งกลัวว่าเรื่องเรียนฟรีแค่ 12 ปีนี้จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านในการลงประชามติ จึงมาหาทางออก ซึ่งก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาจริง คำสั่งที่ออกมานี้ยังจะมีปัญหาอยู่มากรวมทั้งอาจเกิดปัญหาใหม่ๆในทางปฏิบัติ เช่นทำไม่ได้จริงเพราะภาระจะมากขึ้นมาก ไม่มีเงินพอ ดูแลไม่ทั่วถึงและอาจไม่สามารถดูแลเอกชนที่จัดการศึกษาได้เพียงพอเป็นต้น ทั้งนี้ก็เกิดจากการรีบๆออกคำสั่งโดยไม่ได้ศึกษาหรือปรึกษาหารือกับผู้เกี่ยวข้องให้ดีเสียก่อน

แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดก็คงเนื่องมาจากมุ่งที่จะใช้คำสั่งนี้มาแก้ปัญหาร่างรัฐธรรมนูญมีคนไม่เห็นด้วยมากขึ้นทุกที แต่การทำแบบสุกเอาเผากินหรือขอไปทีแบบนี้ก็อาจไม่ทำใหๆ้ร่างรัฐธรรมนูญดูดีขึ้นอย่างที่ต้องการด้วย

คำถามสุดท้ายที่ต้องถามคือสมควรหรือไม่ที่ คสช.จะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของตนมาเที่ยวอุดช่องว่างช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญล่วงหน้าทั้งๆที่ร่างรัฐธรรมนูญนี้อยู่ระหว่างการทำประชามติและยังไม่รู้เลยว่าจะผ่านความเห็นชอบของประชาชนหรือไม่

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวบ้านลุ่มน้ำภาคอีสาน ยื่นหนังสือค้าน พ.ร.บ. น้ำ ชี้ ปชช. ไม่มีส่วนร่วม

$
0
0

เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคอีสาน ยื่นหนังสือ 7 เหตุผล 4 ข้อเสนอ ค้าน พ.ร.บ. น้ำ ต่อ สนช. ชี้กระบวนการร่างยังขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน หวั่นกระทบวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำ

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2559 เวลา 10.00 น ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด ตัวแทนเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน และตัวแทนเครือข่ายชาวบ้านลุ่มน้ำชี จังหวัดร้อยเอ็ด ประมาณ 30 คน ได้ยื่นหนังถือ 7 เหตุผลที่ค้านร่าง พรบ.น้ำ และ 4 ข้อเสนอของเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน ต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี วิวัฒน์ เถระวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นตัวแทนลงมารับหนังสือ

จันทรา จันทาทอง ตัวแทนเครือข่ายลุ่มน้ำชี กล่าวว่า ร่าง พรบ.น้ำ ขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการเข้าไปมีส่วนร่วม และการทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นชาวบ้านในลุ่มน้ำก็ไม่ได้รับรู้หรือครอบคลุมพื้นที่ชาวบ้านลุ่มน้ำจริงๆ  การนำร่าง พรบ.น้ำที่ประชาชนยังไม่ได้รับรู้เนื้อหาเข้าสู่กระบวนการให้สภานิติบัญญัติพิจารณาร่าง พรบ.น้ำ คงเป็นไปไม่ได้ โดยวันนี้เครือข่ายชาวบ้านลุ่มน้ำชีจังหวัดร้อยเอ็ดจึงมายื่นหนังสือให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำการถอดถอนร่าง พรบ.น้ำ ออกก่อน เนื่องจากกลัวว่าร่าง พรบ.น้ำ จะขัดต่อการดำเนินวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำ

ด้าน สิริศักดิ์ สะดวก ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน กล่าวด้วยว่า เหตุผลที่ยื่นหนังสือคัดค้านในครั้งนี้เพราะว่า เนื้อหาในร่าง พรบ.น้ำ ฉบับกรมทรัพยากรน้ำยังมีเนื้อหาที่ให้อำนาจรัฐมากเกินไปในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ซึ่งสร้างความกังวัลให้กับทางเครือช่ายมาก เนื่องจากวิถีชีวิตการพึ่งพาอาศัยน้ำในแต่ละลุ่มน้ำมีความแตกต่างกัน การเข้าถึง การเข้าใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การจัดการน้ำ บางพื้นที่มีรูปแบบคล้ายกัน ส่วนบางพื้นที่มีรูปแบบไม่เหมือนกัน ซึ่งเราควรคำนึงถึงความหลากหลายของพื้นที่ลุ่มน้ำให้มาก ถ้าเกิดว่า พรบ.น้ำฉบับนี้ผ่านอาจจะสร้างความขัดแย้งกับวิถีชีวิตชุมชนลุ่มน้ำนั้นๆ ต่อไปในอนาคตเพราะความไม่เข้าใจสภาพพื้นที่ เหมือนนโยบายการจัดการน้ำขนาดใหญ่ที่ผ่านมาของรัฐ เช่น โครงการโขง ชี มูล เป็นต้น  

สริศักดิ์ ระบุด้วยว่า ตามกระบวนการร่าง พรบ.น้ำ ควรที่จะให้ประชาชนลุ่มน้ำเข้าไปมีส่วนร่วมในการร่าง พรบ.น้ำ ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้เขาไม่เสียสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นถึงเนื้อหาของร่าง พรบ.น้ำ ที่จะให้ประโยชน์กับชุมชนอย่างแท้จริง  สุดท้ายเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสานจะยังเดินหน้าที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับประชาชนลุ่มน้ำต่อไปด้วย 7 เหตุผลที่ค้านร่าง พรบ.น้ำ และ 4 ข้อเสนอของเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน


เรื่อง        ให้ถอดถอนร่าง พรบ.น้ำ

เรียน       ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด

นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำมีความพยายามที่จะผลักดันให้มีการออกพระราชบัญญัติน้ำอย่างต่อเนื่องแต่กลับถูกประชาชนคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติน้ำที่ถูกนำเสนอมาตลอด เนื่องจากกระบวนการร่างกฎหมายน้ำนั้นขาดการมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างของภาคประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มหลัก เนื้อหาของพระราชบัญญัติที่ไม่ครอบคลุมและจำกัดสิทธิการเข้าถึง การจัดการและการใช้ประโยชน์น้ำของภาคประชาชน เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วยและคัดค้านการเสนอกฎหมายน้ำมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ การพยายามผลักดันของกรมทรัพยากรน้ำ       

การเปิดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการของกรมทรัพยากรน้ำ เรื่องการปรับปรุงพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....... เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ตรวจสอบร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ...ให้เกิดความรอบคอบอันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงในทุกภาคส่วน และลดข้อขัดแย้งในการเสนอร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ..... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในเร็ววัน

เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน มีความเห็นว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)จะต้องถอนร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ... ที่กรมทรัพยากรน้ำจะนำเสนอด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1.กระบวนการรับฟังความคิดเห็นกับร่างพระราบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ... ไม่ครอบคลุมพื้นที่ของชาวบ้านลุ่มน้ำผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย ตามหลักการมีส่วนร่วมร่วมของประชาชน

2.ตามร่าง พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ มาตรา 6 “ให้รัฐมีอำนาจบริหารทรัพยากรน้ำสาธารณะบนพื้นฐานความยั่งยืนและความสมดุลของระบบนิเวศ โดยเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแหล่งน้ำหรือขยายแหล่งน้ำได้นั้น” โดยรัฐยังมีอำนาจในการรวมศูนย์การจัดการน้ำ หรือสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแหล่งน้ำ ทั้งยังเป็นการเพิ่มอำนาจให้รัฐผูกขาดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยที่รัฐสามารถที่จะกำหนดการพัฒนาแหล่งน้ำไปในทิศทางที่คนลุ่มน้ำไม่มีส่วนร่วม ซึ่งอาจนำมาสู่ความขัดแย้งในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างรัฐกับชุมชน

3.ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ..ไม่ได้กระจายอำนาจที่จะให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจการบริการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดจากการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมา

4.สัดส่วนในการแต่งตั้งคณะกรรมการทรัพยากรน้ำทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ส่วนใหญ่จะมีตัวแทนจากภาครัฐ ส่วนภาคประชาชนแทบจะไม่มีพื้นที่เลย ซึ่งหน่วยงานภาครัฐหรือกรรมการนโยบายควรมีบทบาทหน้าที่ในประเด็นการร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ...เพียงแค่การติดตาม ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

5.กระบวนการกำหนดนโยบายและแผนงานตามร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....เป็นการกำหนดจากส่วนบนลงล่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจของภาครัฐต่อภาคประชาชนคนลุ่มน้ำ

6.การกำหนดให้มีผู้เสนอแนะตามร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ....ที่กำหนดให้ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ นั้นย่อมหมายถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำ แต่บุคคลกรเหล่านี้อาจจะไม่มีความรู้ความเข้าใจระบบนิเวศในแหล่งน้ำที่มีความซับซ้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบนิเวศของภาคอีสาน

7.ร่าง พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.... ฉบับนี้ มุ่งสรรหาในประเด็นเรื่องการจัดสรรทรัพยากรน้ำ โดยที่ไม่ได้ระบุหรือมุ่งเน้นการบูรณาการจัดการทรัพยากรดิน น้ำ ป่า ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศน้ำ

ดังนั้นทางเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน จึงมีข้อเสนอต่อร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ.... ข้างต้นดังนี้

                1.ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ถอดถอนร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ...ของกรมทรัพยากรน้ำออกจากการพิจารณาตามเหตุผลข้างต้น

                2. กระบวนการมีส่วนร่วม การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รัฐจะต้องจัดให้ครอบคลุมกลุ่มคนที่มีส่วนได้ ส่วนเสียอย่างแท้จริง

                3.ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... เป็นร่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนลุ่มน้ำอย่างแท้จริง

                4.ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....จะต้องให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนร่างกฎหมายทุกขั้นตอน

                จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live