Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(4): บรรยงอัดยุทธศาสตร์ชาติเกิดจากวิสัยทัศน์ชั่ววูบ ยันต้องยกเลิกเท่านั้น

$
0
0

บรรยง พงษ์พานิช ชี้หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 หน่วยงานข้าราชการขยายกว่าเท่าตัวเป็นปัญหาที่ทำให้ไทยไม่เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเชื่องช้า เผยยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือการขยายหน่วยงานข้าราชการเพิ่มไปอีก ชี้หลังเลือกตั้ง ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็ต้องยกเลิกยุทธศาสตร์ที่มีสถานะเป็นกฎหมาย และทางที่จะเลิกได้เจ้าของไอเดียต้องไม่อยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป

บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการธนาคารเกียรตินาคิน ภาพจากเฟสบุ๊คไลฟ์มติชน

30 ม.ค. 2562 ที่โรงแรม พูลแมน คิงพาวเวอร์ สำนักข่าวมติชนได้จัดเวทีเสนวาหัวข้อ “เลือกตั้ง 62 จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยมีวิยากรประกอบด้วย ศาสตราจารย์สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการธนาคารเกียรตินาคิน รองศาสตราจารย์โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone  

ทั้งนี้เวทีแบ่งออกเป็นสองส่วน ในช่วงแรกได้เปิดเวทีให้วิทยากรทั้งหมดได้อภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเชียวชาญ จากนั้นเป็นเวทีเสวนารวม สำหรับบรรยง พงษ์พานิช ได้อภิปรายถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งเติบโตอย่างเชื่องช้าจนได้รับฉายาว่าผู้ป่วยแห่งเอเชีย พร้อมชี้สาเหตุของโรคว่ามาจากการขยายตัวของรัฐราชการที่ไร้ศักยภาพ และประสิทธิภาพในการทำงาน และชวนมองยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่าจะส่งผลอย่างไรในอนาคต

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(1): มุมมองคนรุ่นใหม่ต่อการเมือง และใช้โซเชียลมีเดีย

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(2): ปริญญาแนะ คสช. ถอยเป็นคนกลาง ได้ ส.ว. 250 ควรพอได้แล้ว

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(3): โคทมเสนอช่วงเปลี่ยนผ่าน พรรคอันดับ 1 ควรดึง พปชร. ร่วมรัฐบาล

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(จบ): สุรชาติ ชี้ถึงเวลาปลดแอกที่สร้างโดยฝ่ายอนุรักษนิยม

บรรยง พงษ์พานิช : วิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจไทย ซัดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สุดท้ายก็ต้องเลิก

บรรยง กล่าวว่า ก่อนการเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่เศรษฐกิจจะกลับมาคึกคัก และหลังเลือกตั้งระยะต้นก็จะยังคงคึกคักต่อไปอีกสักระยะ เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้มีอำนาจเดิมจะต้องรีบปิดโปรเจค จะมีการทยอยเซ็นสัญญาต่างๆ ให้เสร็จก่อนมีการเลือกตั้ง และหลังจากเลือกตั้งเสร็จต่อให้ผู้มีอำนาจเดิมได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็ย่อมมีกลุ่มทุนต่างๆ เข้ามาดีลงานกับรัฐบาล มาเสนอโปรเจค แต่อย่างไรก็ตามภาพรวมของเศรษฐกิจไทยก็จะเป็นไปแบบเดิมคือ เป็นประเทศที่ติดกับดักต่อไป เป็นคนป่วยแห่งเอเซียต่อไป ศักยภาพการเติบโตของไทยยังอยู่เพียง 3-4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นศักยภาพที่แทบจะต่ำที่สุดในโลกสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

เขา กล่าวต่อว่า สภาพเศรษฐกิจไทย ยังมีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ โดยมีลักษณะที่เรียกว่า แข็งนอก-อ่อนใน คือ การเติบโตต้องพึ่งพาต่างประเทศ เศรษฐกิจโลก การส่งออก และการท่องเที่ยว ขณะที่เศรษฐกิจภายในยังมีความอ่อนแอ นอกจากนี้ยังมีสภาพที่เรียกว่า แข็งบน-อ่อนล่าง คือ คนที่อยู่ข้างล่างจะไม่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีความเหลื่อมล้ำสูง และเป็นเศรษฐกิจที่แข็งไม่ถาวร คือ มีความเปราะบางในการเติบโต แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเงินการคลังค่อนข้างดี ฉะนั้นโอกาสที่จะเกิดวิกฤติในระยะเวลาอันสั้นนี้ค่อนข้างต่ำ แต่จะเป็นประเทศไทยเติบโตไปไหนไม่ได้ไกล

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น บรรยง ชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มต้นการพัฒนาประเทศมาตั้งแต่ปี 2503 ในยุคแรกจนถึง 2535 ถือได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยดีมาก และดีในระดับต้นของโลก จากประเทศยากจนที่มีรายได้ต่อหัวแค่ 100 เหรียญ ขึ้นมาอยู่ที่ 3,000 เหรียญ แต่หลังจากปี 2535 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำมาตลอด 5 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีแรก และ 3 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีหลัง จนได้ฉายาว่าติดกับดัก และเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย

คำถามที่ตามมาคือ มีอะไรที่ผิดพลาดไปสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย บรรยง ระบุว่า หลังวิกฤติเศรษฐกิจประเทศไทยขยายรัฐอย่างมโหฬาร ไม่ใช่เพียงแค่งบประมาณที่โตจาก 17 เปอร์เซ็นต์เป็น 22 เปอร์เซ็นต์ของ GDP เท่านั้น แต่จำนวนข้าราชการไทยและลูกจ้างของรัฐเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ล้านคน วันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2.3 ล้านคน ในขณะที่จำนวนประชากรขยายตัวแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่มีการเพิ่มข้าราชการมากกว่าเท่าตัว โดยจำนวนนี้ยังไม่ได้นับรวมพนักงานรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ประเทศไทยขยายรัฐวิสาหกิจจากเดิมมีทรัพย์สินประมาณ 3 ล้านล้านบาท วันนี้มีจำนวน 17 ล้านล้านบาท และยังมีการออกกฎหมายจำนวนมหาศาล ทั้งพระราชบัญญัติ ระเบียบ และคำสั่งต่างๆ เพิ่มขึ้นหลายหมื่นฉบับ ซึ่งทั้งหมดนี้คือการขยายบทบาท และอำนาจรัฐอย่างมโหฬาร โดยที่ไม่ค่อยมีใครตระหนักถึงการค่อยๆ ขยายตัวนี้

เขา กล่าวต่อไปว่า ในด้านทรัยากรบุคคลประเทศไทยกำลังประสบปัญหา คนหมด คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่มีน้อยกว่ากลุ่มคนรุ่นเก่าที่หายไปจากตลาดแรงงาน คนห่วย คือ ประเทศไทยมีความล้มเหลวเรื่องการศึกษามาโดยตลอด และยังมีปัญหาด้านการเงิน คือ มีจำนวนหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น แต่ประเทศไทย กลับทุ่มเททรัพยากรที่เหลือน้อยทั้งหมดนี้ไปขยายภาคส่วนที่มีประสิทธิภาพต่ำ ผลิตภาพต่ำ และหากไทยไม่มีการปรับโครงสร้างนี้ ศักยภาพการเติบโตของประเทศก็จะติดกับดักอยู่เหมือนเดิม

“ผมไม่ได้โทษรัฐบาลนี้ เพราะปัญหานี้เกิดขึ้นมาตลอด ไม่ว่าจะชวนโนมิกส์ ทักษิโณมิกส์ สุรยุทธ์โนมิกส์ อภิสิทธิ์โนมิกส์  ประยุทธ์โนมิกส์ เพราะมีวิธีคิดเหมือนกันหมด เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็ขยายรัฐ โดยหวังว่ามันจะแก้ปัญหาได้ แต่มันกลับทำให้ศักยภาพ และประสิทธิภาพของประเทศอ่อนลง” บรรยง กล่าว

บรรยง กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งใจความสำคัญคือ การขยายรัฐแบบมโหฬาร และเป็นแผนที่เขียนโดยเหล่าข้าราชการ อดีตข้าราชการ นักธุรกิจที่ค้าข้ายพึ่งพารัฐ นักวิชาการ และภาคประชาสังคมอีกนิดหน่อย

“แผนยุทธศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เราคิดว่าควรจะมีแผนยุทธศาสตร์ที่เป็นกฎหมาย คือปกติแผนยุทธศาสตร์ใครๆ ก็มีได้ และก็ควรจะมีด้วย แต่มันเป็นแผนที่ยืดหยุ่นปรับตัวได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นกฎหมาย” บรรยง กล่าว

เขากล่าวต่อไปว่า ธรรมชาติของกฎหมายจะเป็นการจำกัดเสรีภาพเพื่อให้คนอยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบ ฉะนั้นการมียุทธศาสตร์เป็นกฎหมายคือ การจำกัดเสรีภาพของรัฐบาล ซึ่งหมายถึงการจำกัดเสรีภาพของประชาชนทั้งประเทศไปด้วย ทั้งนี้กฎหมายโดยทั่วไปจะเป็นการบอกว่าห้ามทำอะไร มีจำนวนน้อยที่กฎหมายจะสั่งให้ต้องทำอะไร ซึ่งกฎหมายยุทธศาสตร์มีลักษณะของการสั่งให้ทำ

“มันเกิดจากวิสัยทัศน์ชั่ววูบที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ และไม่น่าเชื่อว่าคนที่เกี่ยวข้องอย่างนิติบริกรก็ไปจัดให้ออกมาเป็นกฎหมายอยู่ในรัฐธรรมนูญ และเป็นกฎหมายลูกอีก 2 ฉบับ คนสองร้อยกว่าคนซึ่งหลายๆ ท่านเป็นคนที่หวังดี ก็แห่กันไปช่วยร่างเพราะว่า ส่วนหนึ่งทำด้วยความหวังดี ส่วนหนึ่งก็ต้องการทัดทานอะไรที่กลัวว่าจะมีเรื่องไม่เหมาะสม ส่วนหนึ่งก็ต้องการเข้าไปดูไม่อยากตกขบวนเพราะเกรงว่าจะมีอะไรที่ขัดกับผลประโยชน์ ขณะที่ผมกำลังพูดอยู่ ท่านนายกฯ ก็พูดอยู่อีกเวทีหนึ่งเรื่องแผนยุทธศาสตร์ชาติ คงจะพูดสักสองชั่วโมง แล้วก็ไม่รู้ว่าสาระคืออะไรเหมือนเคย” บรรยง กล่าว

บรรยง กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์มีจำนวนไม่เกิน 35 คน จำนวน 18 คนเป็นโดยตำแหน่ง มาจากฝ่ายการเมือง 4 คน คือนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และรองนายกรัฐมนตรีอีก 1 คน อีก 8 คนเป็นข้าราชการ โดยใน 8 คนนี้มียศเป็นพลเอก 7 คน และที่น่าแปลกใจคือมีการตั้งประธานสมาคมการค้าต่างๆ เป็นคณะกรรมการโดยตำแหน่งด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นมายาคติของสังคมไทยว่า สภาหอการค้า สภาอุตสหกรรม สภาธุรกิจต่างๆ จะทำเพื่อประโยชน์ของสังคม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาทำหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาชิกเท่านั้น ในส่วนของคณะกรรมการที่เหลืออยู่เป็นกรรมการจากการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเป็นนักธุรกิจ 3 คน นักวิชาการ 2 คน เป็นภาคประชาสังคมที่ไม่แน่ใจว่าจะถูกยอมรับหรือไม่ 1 คน และเป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน 6 คน และมีตำแหน่งที่ว่างอยู่อีก 5 ตำแหน่งซึ่งคาดว่าจะมีการตั้งก่อนการเลือกตั้ง

เขา กล่าวต่อว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์ มีอำนาจมาก เพราะสามารถควบคุมกำกับให้ทุกหน่วยงานในของรัฐต้องทำตามแผนยุทธศาสตร์ และแผนปฏิรูปประเทศ หากไม่ทำตามจะมีอำนาจที่จะชี้โทษ โดยส่งให้ ป.ป.ช. เป็นผู้ชี้มูลความผิด หาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ก็จะต้องออกจากตำแหน่ง

“ป.ป.ช. ไปเกี่ยวอะไรกับยุทธศาสตร์ว่ะ นึกอะไรไม่ออกก็เอาคนที่กูสั่งได้รึไง ป.ป.ช. มันไม่เกี่ยวอะไรกับยุทธศาสตร์เลยนะครับ หานาฬิกายังหาไม่เจอเลย....แผนยุทธศาสตร์ชาติสรุปยังไงก็ต้องเลิก ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลต่อไป และวิธีที่จะเลิกก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญ หรืออย่างน้อยก็ต้องแก้กฎหมายลูก และทางเดียวที่จะเลิกคือเจ้าของไอเดีย ต้องไม่อยู่ในตำแหน่งต่อไป ”

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชาตรี ประกิตนนทการ: 120 ปี ถ.ราชดำเนิน เวทีอุดมการณ์ที่รัฐเสียงดังกว่าสามัญชน

$
0
0

ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ศิลปากร มองความสัมพันธ์เชิงอำนาจรัฐ-กษัตริย์-ประชาชน ผ่านการเปลี่ยนแปลงสารพัดใน 120 ปี ถ.ราชดำเนิน จากพื้นที่อำนาจรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ถนนประชาธิปไตยสู่ความพยายามเบียดคนเล็กคนน้อยออกจากพื้นที่ และลดความร้อนแรงทางการเมืองลง ระบุ ความทรงจำคนเล็กคนน้อยสำคัญ ทำให้เรื่องเล่าของราชดำเนินเป็นของคน ไม่ใช่เรื่องเล่าของรัฐ

รศ.ชาตรี ประกิตนนทการนำเสนอข้อมูล

31 ม.ค. 2562 ที่มิวเซียมสยามมีการจัดเวทีเสวนา “เรื่อง (ไม่ถูก) เล่าในหน้าประวัติศาสตร์ 120 ราชดำเนิน” นำเสนอโดย รศ.ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เนื้อหาการนำเสนอเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานร่วมกับมิวเซียมสยามเพื่อจัดแสดงเป็นนิทรรศกาลในปี 2563

ชาตรีมอง ถ.ราชดำเนินเป็นพื้นที่สาธารณะที่สำคัญที่สุดต่อสังคมการเมืองไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่มีการแสดงออกทางอุดมการณ์ระหว่างรัฐและประชาชน และประชาชนกับประชาชน การที่ในประวัติศาสตร์มีเรื่องราว ประวัติศาสตร์ที่ถูกตัดออก ไม่เล่า ไม่พูดถึงสะท้อนว่าใครเป็นคนกุมอำนาจ อย่างเช่นการไม่เล่าถึงเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ไปจนถึงประสบการณ์ ความเชื่อมโยงกับราชดำเนินของคนเล็กคนน้อย

ภาพการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเหตุการณ์เดือน ต.ค. 2516 (ที่มา:วิกิพีเดีย)

ชาตรีหาเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกเล่าจากบันทึกความทรงจำ ภาพถ่าย วิดีโอ เอกสารราชการ และแผนที่รังวัดกรุงเทพฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2430 และฉบับต่อจากนั้นราว 5-6 แผนที่ นำมาทาบทับเพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ก่อนจะมี ถ.ราชดำเนิน

อาจารย์ ม.ศิลปากรสะท้อนเรื่องราวจากถนนราชดำเนินในสี่มุม ได้แก่เรื่องระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คณะราษฎร ราชดำเนินในฐานะถนนประชาธิปไตย และความทรงจำส่วนบุคคลของคนเล็กคนน้อย กลุ่มคนไร้เสียง ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่การสรุปการศึกษาเรื่อง ถ.ราชดำเนินว่าป็นถนนเฉลิมพระเกียรติ สร้างการจดจำประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมเรื่องพระราชกรณียกิจการพัฒนาประเทศของรัชกาลที่ห้า เป็นถนนสำหรับนักท่องเที่ยวแบบทุนนิยมที่ทำพื้นที่ให้สวยงาม เป็นของมวลชนที่มาถ่ายรูปเซลฟี่ และสุดท้าย เป็นถนนการเมืองที่ประชาชนไร้อำนาจ

ชาตรีกล่าวว่า เมื่อดูแผนที่พระนครใน พ.ศ. 2430 จะพบว่ายังไม่มีถนนราชดำเนิน สนามหลวงมีขนาดครึ่งเดียวของวันนี้เพราะอีกครึ่งหนึ่งเป็นวังหน้า วังหน้ากับวังหลวงนั้นแบ่งพระนครกันคนละครึ่ง ที่ผ่านมาในหน้าประวัติศาสตร์จึงมีวิกฤติการณ์ระหว่างวังหน้ากับวังหลวงมาตลอด หลังวิกฤติการณ์วังหน้าคลี่คลาย รัชกาลที่ห้าจึงเลิกระบบวังหน้าเสียแล้วแทนที่ด้วยระบบมกุฏราชกุมาร ความพยายามดังกล่าวมาพร้อมๆ กับการพัฒนาพื้นที่วังหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นคือแผนสร้างวังสวนดุสิตและตัดถนนราชดำเนิน ใน พ.ศ. 2450 การตัดถนนตามมาด้วยการขยายสนามหลวง ส่วนหนึ่งของวังหน้าก็หายไป

ภาพบน: สี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเขียวด้านขวาคือวัดปรินายกเดิมที่มีขนาดของอุโบสถและฐานพระปรางค์

ภาพล่าง: วัดปรินายกหลัง ถ.ราชดำเนินตัดผ่านไปแล้ว

เมื่อตัด ถ.ราชดำเนินนอกมีเหตุการณ์ที่ชาตรีมองว่าสะท้อนความสำเร็จในการรวมศูนย์อำนาจของรัชกาลที่ห้าได้สำเร็จก็คือ เดิมขุนนางวางแนว ถ.ราชดำเนินเพื่อหลบหลีกวัด แต่รัชกาลที่ห้าให้แก้แนวถนน เนื่องจากทรงเห็นว่าแนวถนนเดิมไม่ตรงกับแนว ถ.เบญจมาศ จึงแก้ไขแนวถนนใหม่ ซึ่งแนวถนนดังกล่าวตัดเข้าไปที่วัดปรินายกซึ่งเป็นวัดของขุนนางใหญ่ หลักฐานจากวัดปรินายกเขียนว่า เมื่อถนนตัดมานั้นได้เฉียดใกล้กับพระอุโบสถ รัชกาลที่ห้าจึงได้ทรงย้ายอุโบสถไปสร้างใหม่ให้สวยงาม เป็นการเล่าเรื่องแบบวิน-วิน (ได้ทั้งสองฝ่าย) ทั้งนี้ หากดูจากแผนที่แล้วจะพบว่า ถ.ราชดำเนินนอกไม่ได้ตัดเฉียดอุโบสถ แต่ตัดผ่านอุโบสถและพระปรางค์ไปเลย และยังพบว่าแต่เดิมพื้นที่วัดมีขนาดใหญ่ มีอุโบสถขนาดใหญ่ และพระปรางค์ในแผนมีฐานใหญ่กับเท่ากับฐานป้อมทีเดียว

ชาตรีเล่าต่อไปว่า เมื่อตัด ถ.ราชดำเนินแล้วเสร็จ บนถนนดังกล่าวมีกิจกรรมของรัฐ หรือนัยหนึ่งคือกิจกรรมราชสำนักกับประชาชนเกิดขึ้น เช่น มีพิธีรับเสด็จ มีกิจกรรมที่รัชกาลที่ห้าแจกเสมาให้กับประชาชน ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์แบบใกล้ชิดขึ้นมาใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังมีจารึกในพงศาวดารเลยว่าประชาชนถูกยิงตาขณะเปิดหน้าต่างดูขบวนเสด็จ

ชาตรีเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรเมื่อ พ.ศ.2475 ว่า บน ถ.ราชดำเนินมีโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ และกิจกรรมใหม่เกิดขึ้นเยอะ ซึ่งชาตรีมองว่าเป็นความพยายามแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างประชาชน รัฐ และพระมหากษัตริย์ มีงานเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญ มีการปักหมุดคณะราษฎรลงบริเวณที่พระยาพหลพลพยุหเสนา สมาชิกคณะราษฎรประกาศแถลงการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งนี้ชาตรีวิเคราะห์ว่า คณะราษฎรมีลักษณะการประนีประนอมทางการเมืองในการสร้างสัญลักษณ์ อย่างการวางหมุดคณะราษฎรเยื้องกับพระบรมรูปทรงม้านั้น หากเป็นประเทศที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงอาจมีการแทนที่พระบรมรูป การสร้างเคียงคู่ หรือย้ายพระบรมรูปออกไป นอกจากนั้นถนนราชดำเนินที่ถูกใช้เป็นโครงการก่อสร้างก็ทำใน ถ.ราชดำเนินที่เป็นพื้นที่ว่าง

ชาตรียังพูดถึงการทุบโรงหนังเฉลิมไทย หนึ่งในอาคารสถาปัตยกรรมคณะราษฎร ที่มีข้อโต้แย้งเป็นวงกว้างในสมัยนั้น  แต่เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ เขียนบทความในสยามรัฐเมื่อปี 2535 ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มุมมองสาธารณะต่อโรงหนังเฉลิมไทยไม่ได้เป็นสิ่งที่จะต้องรักษาเอาไว้

“...การสร้างโรงหนังเฉลิมไทย ณ ที่นั้น เป็นการปิดบังวัดราชนัดดาโดยสิ้นเชิง...แทนที่จะเห็นวัดราชนัดดาอันสวยงามกลับแลเห็นโรงหนังเฉลิมไทยอันเป็นโรงมหรสพและมีสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ซึ่งต่ำทราม...เมื่อโรงหนังเฉลิมไทยถูกทุบทิ้งไปแล้ว ภาพของวัดราชนัดดาและโลหะประาสาทก็จะแจ่มแจ้ง...เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรยินดี...เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มทุบทิ้งอะไรกันขึ้นแล้ว เราก็ควรรู้สึกมันมือ เที่ยวทุบทิ้งตึกอื่นๆ ที่อยู่ผิดที่ผิดทาง และมีสถาปัตยกรรมอันไม่กลมกลืนกับสถาปัตยกรรมของกรุงเทพฯ” (ที่มา: สไลด์นำเสนอของชาตรี)

อาจารย์ ม.ศิลปากรยังเล่าถึงความพยายามในการสถาปนาประวัติศาสตร์ ที่เขาบอกว่าส่วนมากรัฐเป็นฝ่ายชนะ อย่างกรณีอนุสรณ์สถานพฤษภาคม 2535 ที่ไม่มีประวัติศาสตร์กระแสหลักเข้าใจเรื่องการต้านเผด็จการ แต่กลับถูกจำเป็นเรื่องคนไทยทะเลาะกัน ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวมีความพยายามสร้างอนุสรณ์สถานบริเวณตรงข้ามโรงแรมรัตนโกสินทร์ แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่เสร็จ แบบถูกแก้ไปกว่า 20 ครั้งแล้ว ในขณะที่จะมีโครงการเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่เก้าในบริเวณใกล้เคียงแล้ว สะท้อนถึงการแย่งชิง เบียดขับความทรงจำบนถนนราชดำเนิน

ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ก็มีความพยายามใส่ต้นไม้ ดอกไม้ ทาสีอาคารใหม่บริเวณ ถ.ราชดำเนิน กรณีนี้ชาตรีมองว่าเป็นการทำให้พื้นที่ดูนุ่มนวล หรือ ‘ซอฟต์’ ลง โดยการทำให้พื้นที่ดูไม่เอื้อให้กับการชุมนุมทางการเมือง ลดนัยความร้อนแรงของการต่อสู้ทางประชาธิปไตยที่มีเรื่อยมาบนถนนเส้นดังกล่าว

ในส่วนของความทรงจำคนเล็กคนน้อยนั้น ชาตรีนำเสนอผ่านรูปถ่ายสนามมวยราชดำเนิน ภาพสนามหลวงในวันที่เคยเป็นตลาดนัด วันคืนที่ชาตรีมองว่าสนามหลวงทำหน้าที่พื้นที่สาธารณะได้มากที่สุด เพราะทุกคนทำอะไรก็ได้แทบจะทุกอย่างตั้งแต่ขายของยันซื้อ-ขายบริการทางเพศ แต่ในปี 2525 กรุงเทพฯ และคณะกรรมการโครงการกรุงรัตนโกสินทร์ (คณะกรรมการกรุงฯ) ได้ย้ายตลาดนัดไปอยู่ที่จัตุจักรอย่างที่เป็นทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีการทยอยย้ายหน่วยงานราชการออกไปข้างนอก ซึ่งส่วนตัวชาตรีมองว่าเป็นการเขี่ยคนธรรมดาออกไปทั้งทางตรง คือผู้ค้าขายของ และทางอ้อม คือคนที่หารายได้กับการกินการอยู่ของข้าราชการจำนวนมาก คณะกรรมการกรุงฯ พูดเรื่องการลดความแออัด ลดการใช้พื้นที่ แต่ก็ปล่อยให้รถทัวร์เข้ามาจำนวนมาก มันคือการผลักดันคนธรรมดาออกจากถนนราชดำเนิน

ชาตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ก็มีการยกเลิกกิจกรรมทางการเมืองในสนามหลวง สมัยที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัทธ์เป็นผู้ว่าฯ กทม. ก็สั่งปรับปรุงสนามหลวงแล้วล้อมรั้วเสีย มีเวลาปิดทำการ 22.00 น. มีการจำกัดกิจกรรมจนทุกวันนี้เล่นว่าวไม่ได้แล้วเพราะกลัวไปทำลายสนามหญ้า แต่ในวันนี้มีการลาดยางแล้วนำรถทัวร์มาจอด ในขณะที่แผนแม่บทถนนราชดำเนินที่ออกโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ล้อมรั้วพระบรมรูปทรงม้า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและสนามหลวง เท่ากับประชาชนเข้าไปชุมนุมไม่ได้แล้ว

ชาตรีทิ้งท้ายว่าประวัติศาสตร์ของคนเล็กคนน้อยในพื้นที่มีความสำคัญ เพราะหากมีการนำมาพูดถึงมากขึ้น หรือรัฐทำให้มีการพูดถึงมากขึ้นก็จะทำให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับ ถ.ราชดำเนิน นำไปสู่การหวงแหน ภาวะความเป็นเจ้าของ และประชาชนจะระแวดระวังการเปลี่ยนแปลงใดๆ จากรัฐ ไม่เป็นการทำให้ประวัติศาสตร์ของพื้นที่เป็นเรื่องเล่าของรัฐที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แจ้งข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมฯ เจ้าของเว็บปล่อยข่าวปลอมฝุ่นพิษทำคนตาย

$
0
0

31 ม.ค.2562 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติพล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปอส.ตร.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงจับกุม นายวัฒนาพงษ์ พิธาวัฒนฐิติกุล ผู้ต้องหาเผยแพร่ข่าวทางเว็บไซต์ bangpunsara.com (แบ่งปันสาระ) บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนในสถานการณ์ ที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินมาตรฐานอยู่ในขณะนี้ โดยระบุในข้อมูลว่ามีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเนื่องจากผู้เสียชีวิตป่วยด้วยโรคอื่น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท.กล่าวว่ากลังพบข้อมูลดังกล่าวจึงได้สืบสวนจับกุม เบื้องต้นจากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้นำข้อมูลดังกล่าวมาเผยแพร่จริงโดยมุ่งหวังรายได้จากยอดโฆษณาทางเว็บไซต์ เมื่อมีคนคลิกเข้ามาอ่านข่าวดังกล่าว ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาที่มีประชาชนสนใจปัญหาดังกล่าวจึงทำให้มีผู้ติดตามข่าวดังกล่าวจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนและเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ พร้อมดำเนินคดีข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีอัตราโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท พร้อมขยายผลยังพบว่ามีอีก 2 เว็บไซต์ คือ gmmwork.com กับ jookthai.com ที่มีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันจึงได้ประสาน กสทช.ปิดเว็บไซต์ดังกล่าวไปแล้ว

ก่อนหน้านี้เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ว่า พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผกก.3 ในฐานะ โฆษกบก.ปอท. กล่าวว่า มีความเป็นห่วงกังวลในเรื่องการสร้างและปล่อยข่าวปลอมที่เรียกว่าเฟคนิวส์(Fake news) มาก ทาง บก.ปอท.มีศูนย์เฝ้าระวังโซเชียล เพื่อคอยมอนิเตอร์ตลอด 24 ช.ม. เบื้องต้นตรวจสอบพบว่ามีเว็บไซต์ชื่อ gmmwork.com เป็นเว็บไซต์ในต่างประเทศเป็นผู้ผลิตข่าวปลอมเกี่ยวกับคนที่สูดฝุ่นละออง pm2.5 เข้าไปแล้วเป็นผื่น เป็นแผลพุพอง พี่น้องประชาชนที่ได้รับทราบข้อมูลจากเว็บไซต์ดังกล่าวเกิดความตื่นตระหนก ก่อนเอาไปแชร์หรือส่งต่อให้คนอื่น สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน ทั้งนี้ พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น ผบก.ปอท. ได้กำชับให้ตรวจสอบดำเนินการอย่างเข้มข้น ปีก่อนเราได้ร่วมกับ ศูนย์ปราบปรามอาชญกรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปอส.ตร.)ดำเนินการจับกุมแอดมินเว็บไซต์ที่อยู่ต่างประเทศมาดำเนินคดีตามกฎหมายไทย พร้อมกับประสานให้กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการปิดกั้นเว็บไซต์ข่าวปลอม เพื่อป้องกันพี่น้องประชาชนตกเป็นเหยื่ออีกทางหนึ่งด้วย

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

มั่นคงเพิ่มอีก?! กองทัพบกซื้อรถเกราะ VN1 จากจีนวงเงินกว่า 2.2 พันล้าน

$
0
0

กองทัพบก มีแผนจัดซื้อรถเกราะล้อยาง VN1 8x8 จากประเทศจีน 30 คัน รถเกราะกู้ซ่อม 9 คัน รถซ่อมบำรุง 2 คัน และ เครื่องช่วยฝึกกับกระสุน วงเงินกว่า 2.2 พันล้านบาท

31 ม.ค.2562  เว็บไซต์ PPTVรายงานอ้างถึงเว็บไซต์กรมสรรพาวุธทหารบกว่าได้เผยแพร่เอกสารแผนการจัดซื้อจัดจ้าง (ชั่วคราว)  โครงการยานเกราะล้อยาง แบบ VN1 ชนิดต่างๆ จํานวน 5 รายการ และรถซ่อมบํารุง จํานวน 2 รายการ เครื่องช่วยฝึก และ สป. 5 จํานวน 3 รายการ เช่น

1.รถเกราะลำเลียงพล VN1 8x8 Wheeled Armoured Vehicle  3 คัน

2.รถเกราะติดตั้ง ค.หนัก (120 มม.) VN1 120 mm. Wheeled Self-Propelled Mortar 12 คัน

3.รถเกราะกู้ซ่อม VS27 Recovery Wheeled Armoured Vehicle 9 คัน

4.รถซ่อมบำรุงเครื่องมือทางกล Mechanical Maintenance Vehicle 1 คัน

5.รถเครื่องซ่อมบำรุงอุปกรณ์ไฟฟ้า Photoelectric Maintenance Vehicle 1 คัน

6.รถเกราะที่บังคับการ  VN1 8x8  Wheeled Armoured Battalion Command Vehicle 12 คัน

7.รถเกราะพยาบาล VN1 8x8  Wheeled Armoured Medical Vehicle 3 คัน

ในวงเงิน 2,251,928,086 บาท

สำหรับการจัดซื้อรถยานเกราะล้อยาง แบบ VN1 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนหน้านี้กองทัพบก เคยชี้แจงวัตถุประสงค์ในการจัดซื้อว่าจะนำมาทดแทนรถยานเกราะล้อยาง แบบ V150 ที่ใช้มานาน กว่า 50 ปี โดยกองทัพบกมีแผนปรับความพร้อมรบตามกรอบระยะเวลาแผนพัฒนากองทัพ ปี 2560-2564 เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง พร้อมตลอดสนองนโยบายรัฐบาลด้านผลประโยชน์ชาติ

ก่อนหน้านี้เมื่อราวเดือนเมษายน 2560 เว็บไซต์ ThaiArmedForce.com รายงานว่า กองทัพบกไทยได้ลงนามจัดซื้อยานเกราะล้อยาน 8x8 แบบ ZBL-09 (Snow Leopard) หรือ VN-1 จาก NORICO ประเทศจีนแล้วจำนวน 34 คัน พร้อมกระสุน  12,506 นัด โดยจะเข้าประจำการในหน่วยทหารม้า เชื่อว่าการจัดหาในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาการจัดตั้งโรงงานซ่อมสร้างยุทธยานยนต์จีนมูลค่า 400 ล้านบาทที่กระทรวงกลาโหมจะลงทุนที่โรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์สายสรรพาวุธของกองทัพบก เพื่อเพิ่มศักยภาพให้สามารถซ่อมบำรุงรถถัง VT-4 และยานเกราะ Type-85 รวมถึง ZBL-09 ดังกล่าว โดยคาดหวังว่าโรงงานจะเป็นศูนย์กลางในการซ่อมบำรุงยุทธยานยนต์ของจีนในภูมิภาคได้

กลางปีถัดมา (2561)พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการโดยได้พบหารือ พล.อ.หัน เว่ย กั๋ว ผบ.ทบ.กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพบกของทั้งสองประเทศ โดยมีการหารือความร่วมมือทางทหาร การฝึกร่วม ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่จีนจะมาตั้งศูนย์ซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ในไทยในปีนี้ และความคืบหน้าจากการที่ ทบ.จัดซื้อรถถัง VT4 และรถเกราะ VN1 จากจีนก่อนหน้านี้ที่ทยอยจัดส่ง

ในส่วนรถถึง VT4 นั้น เมื่อ 26 ม.ค.2562ที่ผ่านมา กองทัพบกจัดการทดสอบสมรรถนะของรถถัง VT4 ที่ซื้อมาจากประเทศจีน เพื่อทดแทนรถถัง M41 ที่ใช้มานานกว่า 50 ปี โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้หน่วยกำลังรบมียุทโธปกรณ์หลักที่มีอำนาจการทำลาย ข่มขวัญ และมีประสิทธิภาพสูงในการปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย การทดสอบสมรรถนะรถถังนี้มีขึ้นหนึ่งวัน หลังจากกองทัพอากาศเชิญนักข่าวไปในพิธีรับเครื่องบินขับไล่/ฝึก T-50TH "อินทรีทอง" 2 ลำที่สั่งซื้อมาจากเกาหลีใต้ที่ฐานทัพอากาศใน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

พล.ต.วันชาติ ผลไพบูลย์ ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี กล่าวว่า หลังจากที่มีการรับรถถังมา 28 คันไว้ที่ศูนย์ฯ และตรวจรับตามสัญญาที่ระบุไว้เมื่อปลายเดือน พ.ย. ที่แล้ว ก็ได้มีการฝึกการปฏิบัติเป็นเวลา 60 วัน ปัจจุบันเป็นสัปดาห์ที่ 8 และจากการทดสอบยุทโธปกรณ์ ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด

รถถัง VT4 เป็นการทำข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน โดยบริษัท Norinko เป็นผู้ผลิต และขายให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรก

ด้านพรรคอนาคตใหม่ที่มีนโยบายเกี่ยวกับการปฏิรูปกองทัพอย่างชัดเจนนั้น เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2562 ที่ผ่านมา พล.ท.พงศกร รอดชมภูรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงแนวทางการทำกองทัพไทยให้ร่วมสมัย และยังกล่าวแสดงความเห็นกรณีกองทัพบกเตรียมจัดซื้อรถถังจีน VT-4 อีก 14 คัน งบราว 2.3 พันล้านบาท ว่า

ประการแรก เป้าหมายการซื้อรถถังจีนรุ่นนี้คือ 52 คัน ซื้อมาแล้ว 2 ล็อต และที่เหลือคงห้ามอะไรไม่ได้แล้ว แต่ที่ควรคิดคือ การซื้อ VT-4 นี้ เน้นปริมาณมาก ราคาถูกไว้ก่อนเพื่อให้ครบจำนวน แทนที่จะคำนึงถึงการมีประสิทธิภาพ และเกราะที่หนากว่า เช่น Leopard ของเยอรมนี และลดขนาดกองทัพลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น

ประการที่สอง คือ การถูกใช้งานมาระยะหนึ่งหรือใช้กันในตลาดโลกส่วนใหญ่จนเป็นที่เชื่อถือ เช่น ของรัสเซีย หรือยุโรป ที่ราคาไม่สูงกว่ากันมาก

ประการที่สาม คือ รัสเซียขายรถถังหลัก T90ms ให้อิหร่านโดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้เต็มรูปแบบ ส่วน VT-4 บอกแต่ว่าบางส่วน และ VT-4 ไม่ใช่รถถังหลักที่ประจำการของจีน เป็นเพียงการย่อส่วนลงเพื่อการส่งออกขายเท่านั้น เทคโนโลยีเต็มรูปแบบก็ยังไม่เพียงพอ

ประการที่สี่ เรื่องระบบการสนับสนุนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยควรใช้เทคโนโลยีของนาโต ของยุโรปมากกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างสหรัฐฯ รัสเซียหรือจีนจนเกินไป

ข้อเสียของการมีอาวุธชนิดเดียวกันจากหลายค่าย คือ เราต้องตั้งระบบส่งกำลังบำรุงแยกจากกัน สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น และกระทบต่อความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจไม่มีใครคบ เพราะมีนโยบายระหว่างประเทศแบบไม่จริงใจ เป็นเพียงผู้ซื้อที่ถูกเอาเปรียบเท่านั้น

ประการที่ห้า การซื้ออาวุธ ควรให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ จึงควรให้รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่รอบคอบกว่าเป็นผู้ตัดสินใจ ในการจัดซื้อช่วงรัฐประหารที่ผ่านๆ มาหรือในยุครัฐบาลทหาร จะมีผลเสียที่ต้องให้รัฐบาลพลเรือนตามชดใช้ให้อยู่ตลอดมา

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(จบ): สุรชาติ ชี้ถึงเวลาปลดแอกที่สร้างโดยฝ่ายอนุรักษนิยม

$
0
0

สุรชาติ บำรุงสุข ชี้การเมืองไทยคล้ายการเมืองโลกที่สู้กันระหว่างอุดมการณ์อนุรักษนิยม กับเสรีนิยม แต่ปีกความไทยไปไม่ไกลกว่าการรัฐประหาร ย้ำครั้งนี้การเมืองถูกดึงกลับไปสู่ระบอบเผด็จการครึ่งใบ และคำว่า "สืบทอดอำนาจ"ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ ชี้ถึงเวลาต้องปลดแอก

ศาสตราจารย์สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาพจากเฟสบุ๊คไลฟ์มติชน

30 ม.ค. 2562 ที่โรงแรม พูลแมน คิงพาวเวอร์ สำนักข่าวมติชนได้จัดเวทีเสนวาหัวข้อ “เลือกตั้ง 62 จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยมีวิยากรประกอบด้วย ศาสตราจารย์สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการธนาคารเกียรตินาคิน รองศาสตราจารย์โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone  

ทั้งนี้เวทีแบ่งออกเป็นสองส่วน ในช่วงแรกได้เปิดเวทีให้วิทยากรทั้งหมดได้อภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเชียวชาญ จากนั้นเป็นเวทีเสวนารวม สำหรับสุรชาติ บำรุงสุข กล่าวถึงประเด็นการการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างอุดมการณ์ทางการเมืองสองชุด คือ เสรีนิยม กับอนุรักษนิยม ที่มีเสนานิยมเป็นตัวหนุนเสริม โดยชี้ให้เห็นว่าขวาไปไม่ทันขวาโลก ยังก้าวไม่พ้นการรัฐประหาร พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง โดยระบุว่า ครั้งนี้การใช้คำว่า "สืบทอดอำนาจ"ยังน้อยไป และถึงเวลาแล้วที่ต้องปลดแอกตาก คสช.

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(1): มุมมองคนรุ่นใหม่ต่อการเมือง และใช้โซเชียลมีเดีย

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(2): ปริญญาแนะ คสช. ถอยเป็นคนกลาง ได้ ส.ว. 250 ควรพอได้แล้ว

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(3): โคทมเสนอช่วงเปลี่ยนผ่าน พรรคอันดับ 1 ควรดึง พปชร. ร่วมรัฐบาล

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(4): บรรยงอัดยุทธศาสตร์ชาติเกิดจากวิสัยทัศน์ชั่ววูบ ยันต้องยกเลิกเท่านั้น

สุรชาติ บำรุงสุข: การต่อสู้ของอดุมการณ์ที่ขวาไปไม่พ้นรัฐประหาร ถึงเวลาต้องปลดแอก

สุรชาติ เริ่มต้นด้วยการชวนมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ภาพที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนคือ การล้มลุกคุกคลาน เขากล่าวต่อว่า คุณลักษณะของการเมืองไทยในสภาวะล้มลุกคุกคลาน มีลักษณะที่ไม่มีเสถียรภาพ และไม่สามารถคาดเดาได้ จะอย่างไรก็ตามในภาพใหญ่การเมืองไทยคือ ภาพของการต่อสู้กันระหว่างอุดมการณ์ทางการเมือง 2 ชุด โดยอุดมการณ์สองชุดนี้แยกกันชัดเจนคือ อุดมการณ์อนุรักษนิยม กับอุดมการณ์เสรีนิยม และการต่อสู่นี้แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาคือ ช่วงก่อนยุคสงครามคอมมิวนิสต์ ช่วงสงครามคอมมิวนิสต์ และช่วงที่เราอยู่ในปัจจุบันคือยุคหลังสงครามเย็น

เขา กล่าวต่อไปว่า หากมองถึงยุคก่อนสงครามคอมมิวนิสต์ หรือสงครามเย็น คำตอบอยู่ที่ปี 2475  แต่ในยุคสงครามคอมมิวส์นิสต์ คำตอบที่ชัดที่สุดจบด้วยการรัฐประหารในเดือน พ.ย. 2490 ซึ่งนั่นสะท้อนว่าอายุของ 2475 มีช่วงเวลาเพียง 25 ปีเท่านั้น และประเด็นสำคัญในปี 2490 คือการสมานฉันท์ และการผสมกันอย่างลงตัวระหว่างอุดมการณ์อนุรักษนิยม กับอุดมการณ์เสนานิยม การผสมผสานนี้ทำให้โอกาสที่อุดมการณ์เสรีนิยมจะเติบโตในช่วงสงครามคอมมิวนิสต์มีปัญหา และสงครามครั้งนี้มีอิทธิพลทางความคิดกับผู้นำไทยทั้งในระดับชนชั้นนำ ผู้นำทหาร และผู้นำปีกขวาอย่างหนึ่งคือ มองการรัฐประหารเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของไทย

เขา อธิบายต่อไปว่า ในการต่อสู้อย่างยาวนานที่เริ่มตั้งแต่ 2490 เราเห็นทั้ง เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แต่เงื่อนไขที่ใหญ่ที่สุดที่ทำให้ชนชั้นนำ ผู้นำทหาร และผู้นำปีกขวาต้องยอมรับกับระบอบประชาธิปไตยคือ เงื่อนไขสงครามคอมมิวนิสต์ ในวันที่เวียดนามแตก พนมเปญแตก ในเดือนเมษยาน ปี 2518 และในปลายปีเดือนธันวาคม ลาวแตก คำถามสำหรับชนชั้นนำไทยคือ ไทยจะกลายเป็นโดมิโนตัวที่ 4 หรือไม่ และคำตอบคือการรัฐประหารในปี 2519 ซึ่งเป็นการรัฐประหารที่นองเลือดที่สุด แต่การรัฐประหารครั้งนั้นไม่ได้สร้างเสถียรภาพทางการเมือง แต่กลับทำให้คนจำนวนมากเลือกที่จะเข้าป่า เมื่อเป็นเช่นนี้ฝ่ายชนชั้นนำจึงยอมปรับยุทธศาสตร์

เขา กล่าวต่อไป ถึงยุคหลังสงครามคอมมิวนิสต์ที่มาพร้อมกับการรัฐประหารในปี 2534 เรื่อยมาจนถึงรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ซึ่งการรัฐประหารในสองครั้งล่าสุดเห็นชัดว่า เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้เสนานิยมในการล้มฝ่ายเสรีนิยม และเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขายังเป็นการทำ รัฐประหาร แต่สิ่งที่สะท้อนอย่างหนึ่งคือพวกเขายังก้าวไปไกลกว่าการรัฐประหารไม่ได้ ในขณะที่มองออกไปในเวทีโลก เราเห็น โดนัล ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เราเห็นตัวแบบในเบร็กซิท เราเห็นผู้นำบางส่วนที่อยู่ในยุโรปเป็นผู้นำปีกขวา และขวายิ่งกว่าผู้นำไทย แต่เป็นขวาชุดใหม่อีกชุดหนึ่งที่ในวงวิชาการเรียกว่า ประชานิยมปีกขวา ขณะที่ผู้นำไทยเป็นได้อย่างเดียวคือ เสนานิยม

“นั้นหมายความว่าปีกขวาไทยเดินเกินกว่านี้ไม่ได้ และการเดินเกินกว่านี้ไม่ได้สะท้อนอย่างหนึ่ง หลังจากรัฐประหารปี 2534 มีครั้งไหนบ้างที่พรรคฝ่ายขวาชนะการเลือกตั้งในการเมืองไทย หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังรัฐธรรมนูญปี 2540 พรรคปีกขวาไม่เคยชนะเลย เมื่อพรรคปีกขวาไม่เคยชนะเลยคำตอบมีอยู่อย่างเดียวคือ กลับมาสู่สูตรเดิม ล้มการเมืองที่พวกเขาไม่ต้องการด้วยการใช้กำลังทางทหาร คำว่าอำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืนของประธานเหมา กลับใช้ได้ดีในการเมืองไทย เพราะอำนาจเกิดจากกระบอกปืนของกองทัพไทย” สุรชาติ กล่าว

เขา กล่าวต่อไปว่า ท่ามกลางความพ่ายแพ้ทั้งหมดของฝ่ายขวาไทย กลับมีการสร้างสถาปัตยกรรมทางการเมืองชุดใหม่ สถาปนิกชุดนี้พยายามออกแบบโดยมีโจทย์คือ ทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น และไม่ต้องมีมาตรฐานอะไรอีกแล้ว เพื่อทำให้การเมืองยังอยู่ในอำนาจของฝ่ายขวา

“วันนี้คำว่าการสืบทอดอำนาจน้อยไป มันเกินไปกว่าการสืบทอดอำนาจแล้ว และสิ่งที่เรากำลังจะเห็นคือการต่อสู้ที่เข้มข้นมากขึ้น... อนาคตอยู่ในเงื่อนไขของตัวแบบ 3 อย่าง สมมติว่าฝ่าย คสช. รวบรวมเสียงได้บวก 250 มันจะเกิดอาการเดียวกับพรรคสหประชาไทย คือการจัดตั้งรัฐบาลผสมในปี 2512 คำตอบคือรัฐบาลผสมอายุไม่ยืน แต่ถ้ารวบรวมเสียงไม่ได้ต้องอาศัยเสียง ส.ว. ตั้งรัฐบาลก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยแบบคึกฤทธิ์ในปี 2518 แต่มีเงื่อนไขเดียวคือ พล.อ.ประยูทธ์ ต้องเก่งแบบคึกฤทธิ์ หรือเงื่อนไขที่ 3 ซึ่งทุกวันนี้พูดถึงน้อยมากในบ้านเรา ชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านในเมียนมา ชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านในมาเลเซียเป็นไปได้ไหมถ้าไม่ออกด้วยตัวแบบของไทยแบบเก่า ถ้าปีกไม่เอา คสช. ชนะ เราจะเห็นการย้อนชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” สุรชาติ กล่าว

เขา กล่าวต่อว่า ในสถานการ์ที่เป็นอยู่ทั้งหมดนี้มีโจทย์อยู่ชุดหนึ่ง ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล สิ่งที่จะตามมาคือ การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพ และกองทัพจะอยู่ภายใต้เสียงเรียกร้องและแรงกดดันที่มากขึ้น แปลว่าหลังจากนั้น การปฏิรูปกองทัพจะเป็นโจทย์สำคัญ และมีนัยกับการเมืองไทยในอนาคต แต่หากปล่อยให้สถานการณ์อยู่ในสภาพนี้ไปเรื่อยๆ และกองทัพยังมีบทบาทต่อไป การเมืองไทยก็จะมีโอกาสย้อนรอยกลับไปสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่ถ้า คสช. อยู่ในอำนาจเราจะอยู่ในยุคเผด็จการครึ่งใบแทน

“การเมืองไทยกำลังถูกออกแบบให้เป็นกึ่งเผด็จการ และ คสช. สร้างแอก 5 แอกกับการเมืองไทย ผมเรียกร้องว่าหากท่านเชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นอนาคตของการเมืองไทย ถ้าท่านเชื่อว่าชีวิตพวกเราในอนาคตอยู่กับเสรีนิยมดีกว่าอยู่กับอำนาจนิยม เราอาจต้องปลดแอก 5 ชุด” สุรชาติ กล่าว

เขา เสนอต่อไปว่า การปลดแอกประกอบด้วย แอกที่ 1 คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แอกที่ 2 คือ การรื้อกฎหมายลูกใหม่ทั้งหมด แอกที่ 3 คือการยกเลิกยุทธศาสตร์ แอกที่ 4 คือ การลกอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. และแอกที่ 5 คือ การปฏิรูปกองทัพให้กลับไปเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ทหารการเมือง  

“ประเทศไทยในอนาคตไม่ได้ต้องการกองทัพการเมือง หรือทหารการเมือง ผมคิดว่า เราไม่ต้องการนักการเมืองในเครื่องแบบอีกต่อไป แต่ถ้าผู้นำทหารอยากลงเล่นการเมืองผมว่านั่นไม่ใช่ข้อห้าม แต่ต้องมีกติกาไม่ใช่เล่นการเมืองในรูปแบบที่เราเห็น วันนี้สิ่งที่เห็นชัดหากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย มียุคไหนบ้างที่พรรคทหารประสบความสำเร็จ ตั้งแต่เสรีมนังคศิลา สหประชาไทย และยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นการหลอมรวมจิตวิญญาณครั้งใหญ่ แต่ผมยืนยันกับท่านว่า คงจะประสบความล้มเหลวครั้งใหญ่เช่นกัน... อนาคตนี้ถูกควบคุมมาหลายปี... แต่กองทัพ และรัฐบาลทหารคุมไม่ได้อย่างเดียว คือคุมมือเราในวันที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งไม่ได้” สุรชาติ กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ย้ายผู้การฯ ลำปาง หลังกระแสข่าวไม่ดำเนินคดีนักศึกษาชู 3 นิ้วต้าน ‘วิษณุ’

$
0
0

ผู้บังคับการตำรวจภูธรลำปาง ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งย้ายเข้า ศปก.ภ.5 ระบุ วันที่มีการประชุม ครม. สัญจรแล้วมีนักศึกษาชู 3 นิ้วต่อหน้าวิษณุ เครืองาม-มีป้ายต่อต้านรัฐบาล ตนไม่ได้อยู่ในพื้นที่แต่มาปฏิบัติหน้าที่ใน กทม. อย่างไรก็ตาม เหตุที่ไม่ดำเนินคดีกับนักศึกษาเพราะไม่มีความผิด 

31 ม.ค.2562 ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า  พล.ต.ต.นิยม ด้วงสี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกรณีมีคำสั่ง บช.ภ.5 ให้พ้นจากหน้าที่ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 5 (ศปก.ภ.5) หลังมีกระแสข่าวว่าสาเหตุมาจากความบกพร่องปล่อยให้มีนักศึกษา แสดงสัญลักษณ์ ชู 3 นิ้ว ต่อหน้านายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ขณะร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง มีการขึ้นป้ายผ้าต่อต้านการเลือกตั้งในเมือง ว่า ตนได้รับคำสั่งและยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขณะนี้ไปรายงานตัวที่ ศปก.ภ.5 แล้ว ยินดีน้อมรับคำสั่ง แม้ยังไม่ทราบว่าสาเหตุที่ต้องไปช่วยราชการเพราะเรื่องใด ไม่ขอตอบว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้รับคำสั่ง แต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องปฏิบัติตาม

ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่าเป็นเพราะการแสดงออกของกลุ่มนักศึกษาและป้ายต่อต้านรัฐบาลในพื้นที่ ผบก.ภ.จว.ลำปาง ปฏิบัติราช ศปก.ภ.5 ว่า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องนี้หรือไม่ แต่ในวันที่เกิดในความเป็นจริงแล้วตนไม่ได้อยู่ในพื้นที่ วันนั้นไปปฏิบัติราชการที่กรุงเทพมหานคร แต่ได้สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการอย่างให้เรียบร้อย ยอมรับว่า ไม่ได้ดำเนินคดีกับคนที่ชู 3 นิ้ว และการติดตั้งป้าย เพราะไม่มีความผิดตามกฎหมาย และมองว่าเป็นสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็น ตนต้องถามสื่อมวลชนด้วยว่าการกระทำนั้นผิดกฎหมายหรือไม่หากไม่ผิดกฎหมายตำรวจก็ดำเนินการตามกฎหมายอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

สำหรับ พล.ต.ต.นิยม เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 37 รุ่นเดียวกับพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก. โดยจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนปีนี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ยื่นคำร้องกระทรวง พม. กรณีครุศาสตร์ จุฬาฯ ห้ามนิสิตข้ามเพศแต่งหญิง

$
0
0

นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ณ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวง พม. กรณีได้รับผลกระทบคำสั่งของคณะครุศาสตร์ให้นิสิตแต่งกายตามเพศกำเนิด

ในวันที่ 29 มกราคม 2562 จิรภัทร นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเพื่อนนิสิตอีกสองคน ได้เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ณ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นผู้รับคำร้อง 

เลิศปัญญากล่าวว่าพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ถูกกระทำให้สามารถใช้สิทธิเพื่อให้ได้รับการพิทักษ์ คุ้มครอง และป้องกันสิทธิของตนเองในสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือ ห้ามแบ่งแยก ห้ามกีดกัน ห้ามจำกัดสิทธิประโยชน์ ห้ามเลือกปฏิบัติ เพราะเหตุแห่งเพศ และ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ให้การคุ้มครองบุคคลทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นเพศชาย เพศหญิง และผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยมาตราที่ 18 ของ พ.ร.บ. ฉบับนี้กำหนดไว้ว่า “บุคคลใดเห็นว่าตนได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะที่เป็นการเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ...ให้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ วลพ.” ซึ่งมาตราที่ 20 ได้ให้อำนาจคณะกรรมการ วลพ. ในกรณีที่มีการวินิจฉัยว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ให้คณะกรรมการมีสิทธิ “ให้หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ด้วยวิธีใดที่เห็นเหมาะสม เพื่อระงับการป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” และให้มีการชดเชยหรือเยียวยาผู้เสียหาย

เลิศปัญญายังกล่าวอีกว่า “สค. ยินดีที่จะรับคำร้องเกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีเพศใดก็ตาม ทั้งเพศหญิง เพศชาย หรือ บุคคลที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด เนื่องจากพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ให้ความคุ้มครองแก่ทุกบุคคลที่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ โดยสามารถยื่นคำร้องมาที่ สค. ทั้งการมายื่นด้วยตนเอง หรือส่งจดหมายทางไปรษณีย์ หรือส่ง E-mail มาที่ช่องรับเรื่องร้องเรียนในเว็บไซต์ www.dwf.go.th ของ สค. ได้”

อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ยังกล่าวด้วยว่า สค.จะเร่งนำคำร้องของนิสิตทั้งสามคนยื่นต่อคณะกรรมการ วลพ. เพื่อพิจารณาโดยเร็ว โดยจะนำเข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการ วลพ. ครั้งที่ 2/2562 ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ที่จะถึงนี้ เขากล่าวอีกว่าทางคณะกรรมการ มหาวิทยาลัย และคณะจะต้องตัดสินใจร่วมกันเพื่อหาทางออกที่พอดีและไม่มีความเหลื่อมล้ำ และกระบวนการทั้งหมดจะต้องใช้เวลาพอสมควร

ร้องเรียนคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ให้นิสิตข้ามเพศแต่งเครื่องแบบหญิง, 22 ม.ค. 2562

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าที่ผ่านมา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีการอนุญาตให้นิสิตข้ามเพศแต่งกายตามเพศสภาพของตนเพื่อเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรได้ โดยนิสิตต้องยื่นคำร้องต่ออธิการบดีเพื่อขออนุญาตก่อน

อย่างไรก็ตาม จิรภัทรเป็นนิสิตคนแรกที่ยื่นคำร้องขออนุญาตแต่งกายตามเพศสภาพเพื่อเข้าเรียนและเข้าสอบอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งในตอนนี้ก็เริ่มมีนิสิตคนอื่นๆ ส่งจดหมายของอนุญาตเช่นเดียวกัน ซึ่งจิรภัทรกล่าวว่าการที่ไม่เคยมีนิสิตทำเรื่องขออนุญาตเช่นนี้มาก่อน ไม่ใช่เพราะว่าจุฬาฯไม่มีนิสิตข้ามเพศ แต่เป็นเพราะว่านิสิตไม่ทราบว่ามีกระบวนการนี้อยู่

จิรภัทรบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เธอไม่คิดว่าการมีเครื่องแบบหรือไม่มีเครื่องแบบเป็นปัญหาสำคัญ เธอกล่าวว่า “การที่มีเครื่องแบบ มันไม่ควรจะถูกแบ่งแยกว่าเป็นเพศไหนต้องใส่อะไร อย่างมันจะเกิดเป็นปัญหาเลย ด้วยความที่ว่าเป็นยูนิฟอร์ม มันทำให้เกิดปัญหาที่ว่าคนที่เป็นเพศทางเลือกจะใส่อะไร ผู้ชายข้ามเพศจะใส่อะไร ผู้หญิงข้ามเพศจะใส่อะไร แล้วคนที่เป็นเพศตรงกลาง จะใส่เป็นชุดอะไร” เธอคิดว่า ต่อให้ทางมหาวิทยาลัยมีการยกเลิกระเบียบเครื่องแต่งกายจริงๆ ตราบใดที่ยังไม่เปิดกว้างเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ นิสิตข้ามเพศก็จะยังประสบปัญหาในการแต่งกายตามเพศสภาพอยู่ดี 

จิรภัทรกล่าวว่า “ใจจริงอยากให้มีการแต่งแบบเสรีได้แล้วเพราะในปัจจุบันก็มีการเปิดกว้างมากขึ้น แต่ด้วยความที่ว่าทางมหาวิทยาลัยก็ยังมีกรอบของทางมหาวิทยาลัย ก็เลยบอกว่าโอเค ถ้าสมมติว่ามีกรอบใช่มั้ย หนูก็อยากให้มันออกมาเป็นรูปแบบนี้ ไม่อยากให้มันออกมาในรูปแบบที่ว่าบรรทัดฐานของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคงแต่งได้ บางคนแต่งไม่ได้” เธออธิบายว่า จากที่เธอได้พูดคุยกับทางมหาวิทยาลัย “ทางผู้ใหญ่ชี้แจงว่าอย่างกรณีหนูให้ผ่านได้ แต่กรณีผู้หญิงข้ามเพศที่มีโครงใหญ่ หรือว่ามีกรามใหญ่ หรือว่าอะไรที่มันยังดูแมนอยู่ เขาไม่อนุมัติให้มีการแต่งหญิง” นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังชี้แจงว่า นิสิตหญิงข้ามเพศจะต้องมีการเสริมหน้าอก หรือผ่านการผ่าตัดแปลงเพศ จึงจะได้รับอนุญาตให้แต่งชุดนิสิตหญิง ซึ่งจิรภัทรคิดว่าระเบียบนี้ไม่เป็นธรรม เธอกล่าวว่าเธอสามารถเข้าถึงโอกาสเหล่านี้ได้เพราะคุณแม่ของเธอสนับสนุน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสเหล่านี้ได้เหมือนเธอ ซึ่งเธอต้องการให้ทางมหาวิทยาลัยมีกฏเกณฑ์และบรรทัดฐานที่เป็นธรรมต่อทุกกลุ่มคน

ขณะที่โบ้ทและฟลุ้ก นิสิตคณะครุศาสตร์อีกสองคนที่ได้มายื่นคำร้องร่วมกับจิรภัทร กล่าวว่าพวกเธอเองก็ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของคณะครุศาสตร์ที่ให้นิสิตแต่งกายตามเพศกำเนิดเช่นกัน 

โบ้ท นิสิตชั้นปีที่สี่ กล่าวว่าอีกไม่นานเธอจะต้องเข้าสู่การฝึกสอน ซึ่งจะใช้เวลาราวสี่ถึงห้าเดือน เธอมีความกังวลว่าเธอจะไม่สามารถแต่งกายเป็นผู้หญิงได้ในระหว่างฝึกสอน โบ้ทบอกว่าเธอแต่งกายในชุดนิสิตหญิงมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีที่สอง และได้มีการทำเอกสารทางการแพทย์ระบุว่าเธอ “เป็นบุคคลที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด” แต่เนื่องจากเธอเห็นว่าเคยมีกรณีที่โรงเรียนปฏิเสธนิสิตฝึกสอนที่เป็นบุคคลข้ามเพศ และคณะเองก็ไม่ได้มีมาตรการในการเยียวยานิสิต เธอจึงมีความกังวลว่าทางคณะจะไม่ปกป้องสิทธิของเธอ โบ้ทบอกกับผู้สื่อข่าวประชาไทว่า ที่ผ่านมาหากนิสิตถูกโรงเรียนปฏิเสธ ทางคณะก็จะรับตัวกลับและส่งไปที่โรงเรียนอื่น หรือเจรจากับนิสิตเพื่อขอให้นิสิตแต่งกายตามเพศกำเนิดระหว่างฝึกสอน เช่น ขอให้นิสิตหญิงข้ามเพศตัดผม หรือใส่วิก ซึ่งเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถยอมรับได้

ส่วนฟลุ้ก นิสิตชั้นปีที่สอง กล่าวว่าเธอเคยพบเจอพฤติกรรมเหยียดเพศจากอาจารย์ในคณะมาบ้าง เธอกล่าวว่าเคยมีอาจารย์สั่งให้เธอใช้คำว่า “ครับ” แทนคำว่า “ค่ะ” เนื่องจากอาจารย์ท่านนั้นกล่าวว่าเธอเป็นผู้ชายจึงต้องใช้คำว่าครับ ทั้งที่ในขณะนั้นเธอแต่งกายเป็นผู้หญิง เธอบอกว่าเธอต้องการทำเรื่องขออนุญาตแต่งกายในชุดนิสิตหญิงอย่างเป็นกิจจะลักษณะเช่นเดียวกับจิรภัทร แต่อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอไม่อนุญาต

ถึงแม้ว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะถูกมองว่าเป็นสถาบันอนุรักษ์นิยม แต่โบ้ทและฟลุ้กก็บอกว่าไม่ใช่อาจารย์ทุกคนในคณะที่มีพฤติกรรมเหยียดเพศ อาจารย์ส่วนใหญ่เข้าใจและมีการอนุโลมให้พวกเธอแต่งกายตามเพศสภาพได้ มีเพียงอาจารย์บางคนเท่านั้นที่ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตาม โบ้ทกล่าวว่า “เรื่องการแต่งกายมันไม่ใช่เป็นเรื่องแค่ระเบียบในพื้นที่คณะ โรงเรียน มหาวิทยาลัย เราก็ยังต้องใช้ชีวิตข้างนอกสังคมมหาวิทยาลัยอยู่ดี เราก็ต้องการที่จะแสดงจุดยืนของเรา เพศสภาพของเราต่อสังคมทั่วไปให้เขารับรู้ว่าเรามีเพศสภาพเป็นเพศหญิง” เธอกล่าวว่าพ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศให้ความคุ้มครองต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และการเข้าถึงการศึกษาจะถูกจำกัดด้วยความหลากหลายทางเพศไม่ได้ ดังนั้น เธอจึงหวังว่าทุกฝ่ายจะทำความเข้าใจกันได้ ส่วนฟลุ้กกล่าวว่า เธอคิดว่า ถ้าหากจะให้เธอแต่งกายเป็นผู้ชายทั้งที่เธอมีเพศสภาพเป็นผู้หญิง จะมีผลกระทบทางจิตใจ และอาจทำให้เธอถูกเพ่งเล็ง แต่ถ้าหากเธอสามารถแต่งกายเป็นผู้หญิงได้ เธอจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ

นาดา ไชยจิตร (ขวา)

นาดา ไชยจิตร นักกิจกรรมเพื่อสิทธิคนข้ามเพศและที่ปรึกษาทางกฎหมายของกลุ่ม Transpiration Power กล่าวว่า การตัดสินใจของทางมหาวิทยาลัยที่มีคำสั่งทุเลาคำสั่งของคณะครุศาสตร์ที่ให้นิสิตแต่งกายตามเพศกำเนิดแสดงให้เห็นว่าทางมหาวิทยาลัยมีความตั้งใจที่จะคุ้มครองนิสิต อย่างไรก็ตาม นาดากล่าวว่าเธอและจิรภัทรตัดสินใจมายื่นคำร้องกับคณะกรรมการ วลพ. เพื่อเป็นการประกันสิทธิ นาดากล่าวว่าการกระทำของอาจารย์พิเศษ ซึ่งเป็นการผลิตซ้ำอคติและความเกลียดชังต่อบุคคลหลากหลายทางเพศนั้นมีผลในวงกว้าง เนื่องจากเป็นการพูดในชั้นเรียน ซึ่งเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่ยอมความไม่ได้ นาดาบอกว่าเธอจะยื่นหลักฐานเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นในช่วงสอบสวน นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่าจุดมุ่งหมายของคำร้องคือเพื่อให้นิสิตข้ามเพศมีสิทธิแต่งกายตามเพศสภาพเพื่อเข้าศึกษา เข้าสอบไล่ระดับ ฝึกปฏิบัติ และเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรได้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: ผู้(มิควรจะ)ลี้ภัย

$
0
0

..ทวนท่อง 'แผ่นดินพ่อ แผ่นดินแม่'
กลายแค่คับแค้นแน่นใจสั่น
ราวแผกมิตรญาติแผกชาติพันธุ์
อึดอัดกัดฟัน กลั้นน้ำตา

หลับฝันรวงรังยังรื่นรมย์
ตื่นลุกทุกข์ระทม คอขมปร่า
ปฏิทินขีดทับ นับเวลา
โพ้นแผ่นดินมารดา โอ้..อาดูร

เอ๋ย.. 'ผู้ (มิควรจะ) ลี้ภัย'
พร่องไร้เสรีภาพ-พลัด-สาบสูญ
ขณะเสียงเมามอมยังพร้อมมูล
พร้อมโปะป้ายปฏิกูล พอกพูนทวี

..'ปิตุภูมิ มาตุภูมิ'ภูมิใจไฉน
ขณะลูกยังลี้ภัย ใจหอบถี่
ฝากส่งสร้อยสำเนียง เสียงสดุดี
ทุกชีวิตและทุกที่ ..ที่ 'ลี้ภัย'ฯ!!

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใบตองแห้ง: วิบัติดีกว่าไม่เป็น ปชต.

$
0
0

ปรบมือให้ อ.สุรชาติ บำรุงสุข ชื่นชมบรรยง พงษ์พานิช แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับ อ.โคทม อารียา และส่ายหน้ากับบางข้อเสนอของ อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ในงานเสวนา “เลือกตั้ง 62 จุดเปลี่ยนประเทศไทย” ของมติชน

อ.โคทมแนะนำให้ “แชร์อำนาจ” พรรคอันดับหนึ่งเชิญ พลังประชารัฐร่วมรัฐบาล อ.ปริญญาเสนอให้เพื่อไทยจับมือประชาธิปัตย์ ประเคนเก้าอี้นายกฯ ให้ “มาร์ค กระสุนจริง”

เข้าใจนะ ทั้งสองท่านไม่อยากเห็นการแตกหัก อยากให้หาวิธีประนีประนอม แต่ไม่ยักเห็นหัวอกคนรักประชาธิปไตย ถูกกระทำ มา 12 ปี ทั้งโดยรัฐประหาร และกระบวนการอยุติธรรม ยังเรียกร้องให้อดทนอดกลั้น ถึงชนะเลือกตั้งก็ต้องประนีประนอม หยวนยอมใต้โครงสร้างอำนาจอนุรักษนิยม

ใช่เลย ต่อให้พรรคฝั่งประชาธิปไตยชนะล้นหลาม เกิน 250 เสียง ก็เป็นรัฐบาลไม่ได้ เกิน 375 เสียง เดี๋ยวก็ถูกทำลาย แต่ถ้าให้เอาหน้าร้อนผ่าวไปซบก้นเย็นเฉียบของฝ่ายอนุรักษนิยม นอกจากโดนประชาชนโห่ไล่ ประณามว่าทรยศต่อการต่อสู้ ต่อ 99 ศพ สุดท้ายก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้อยู่ดี

พูดอย่างนี้ไม่ใช่รักประชาธิปไตยต้องแตกหัก ปฏิวัติประชาชน อะไรทำนองนั้น เพราะอันที่จริง ประชาธิปไตยคือวิถีแก้ความ ขัดแย้งอย่างสันติ ประชาธิปไตยต้องมุ่งให้คนเห็นต่างหลากหลายประนีประนอม ยอมต่อสู้ความคิดกันภายใต้กติกา สร้างบรรยากาศ ที่เอื้อต่อการทำมาหากินในภาพรวม

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 12 ปีมันตาลปัตร เสียงข้างน้อยกลับล้มกติกา ก่อความไม่สงบ แล้วอำนาจอนุรักษนิยมก็เข้ามา นอกจากบังคับลิดรอนเสรีภาพ ยังฉวยโอกาสสถาปนาโครงสร้างที่ทำให้ประเทศถอยหลัง

อย่างที่บรรยงชี้ “ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปกับสิ่งที่ประสิทธิภาพต่ำ คือการขยายอำนาจรัฐ” วางกับดักที่จะทำให้ประเทศอ่อนแอ เช่นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ

หรืออย่าง อ.สุรชาติชี้ แอก 5 ข้อที่ต้องปลด รัฐธรรมนูญ, กฎหมายลูกที่ไม่ตอบสนองการพาสังคมไทยไปสู่อนาคต, ยุทธศาสตร์ที่ไม่ได้ออกแบบเพื่ออนาคต, การยกสถานะ กอ.รมน.เป็นรัฐซ้อนรัฐ และกองทัพต้องกลับไปเป็นทหารอาชีพ

เราต้องการทหารอาชีพ เราไม่ได้เกลียดทหารอาชีพ อย่างที่ใครบางคนพูดพล่าม เราเกลียดทหารที่ทำรัฐประหาร ทหารที่ไม่รู้หน้าที่ความเชี่ยวชาญตัวเอง ตั้งตนมาบริหารประเทศ แล้วคิดว่าตัวเองเก่งทุกอย่าง กระทั่งเปิดยุทธการยึดตึกใบหยกรบกับฝุ่น

“แอก” เหล่านี้ ถ้าไม่ปลด ประเทศจะเดินหน้าไม่ได้ ทั้งทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา เทคโนโลยี หรือภาระ งบประมาณ จะกลายเป็นประเทศที่ไม่สามารถแข่งขันกับใคร และพากันตายในหม้อต้มกบ

ยิ่งไปกว่านั้น คำแนะนำให้ฝ่ายประชาธิปไตยประนีประนอม ยังไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมก็ไม่มีวันประนี ประนอม จนกว่าจะแพ้ย่อยยับ ยกตัวอย่าง อ.ปริญญาอุตส่าห์ หวังดี แนะนำให้ตู่ถอยมาเป็นคนกลาง ตู่ฟังซะเมื่อไหร่

สถานการณ์ไม่มีทางเลี่ยง ลุงตู่ของสลิ่ม ของกองหนุนกินฝุ่น จำเป็นต้องลงเลือกตั้ง เพื่อรักษาโครงสร้างระบอบอำนาจนิยม มิไยที่ปริญญาเตือนว่าจะทำให้การเมืองสู่ภาวะล้มเหลว เพราะนี่เป็นเรื่องของระบอบ ไม่ใช่ตัวบุคคล

ซึ่งฝ่ายประชาธิปไตยไม่เห็นต้องกลัวอะไร เลือกตั้ง 62 นำไปสู่จุดเปลี่ยน 2 ทางเท่านั้น หนึ่งคือ คสช.แพ้ย่อยยับ แต่วันที่ 25 มี.ค. ตู่ยังไม่สามารถเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ยังต้องตากหน้าอีก 2 เดือน ระหว่างนั้นก็ให้ฝ่ายอนุรักษนิยมคิดหาทางเอาเอง ว่าจะประนีประนอมกับพลังประชาธิปไตยอย่างไร

สอง คสช.ชนะ แม้ไม่ได้เสียงเกินครึ่ง แต่ก็จะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล อย่างที่ อ.ปริญญาจับไต๋ ไพ่หน้านี้ก็ไม่น่ากลัวอะไร อย่าง อ.สุรชาติเย้ย กลัว คสช.แพ้ต่างหาก ให้ระบอบอำนาจนิยมปกครองต่อไป ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และรัฐธรรมนูญมีชัย โดยแนะนำให้หมอทหารเตรียมยาบำรุงหัวใจ ยาบำรุงประสาท และยากล่อมประสาทไว้ เพราะจะบริหารประเทศในระบบปกติไม่ได้ หายนะรออยู่ข้างหน้า

ที่จริง 5 ปีก็พิสูจน์อะไรได้เยอะแล้ว เช่นไม่มีนักการเมือง โกง ดัชนีโปร่งใสกลับตกต่ำ หนำซ้ำ แทนที่จะเชื่อว่าเสื่อมเพราะนาฬิกาเพื่อน ป.ป.ช.กลับโทษว่าเป็นเพราะไม่มีเลือกตั้ง

ถ้าคสช.ชนะ แม้ผู้รักประชาธิปไตยต้องอดทนอีกระยะ แต่ก็ยังดีกว่านักการเมืองเข้ามา”รับกรรม” รับปัญหาประเทศ ที่เป็นผลพวงจากระบอบเผด็จการ 5 ปี ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ

ให้ท่านผู้นำอยู่ต่อ อาจจะได้เห็นดำเห็นแดง ถ้านำประเทศก้าวกระโดด ก็ให้จารึกประวัติศาสตร์ เผด็จการนำชาติเจริญ แต่ถ้าเป็นทางตรงข้าม ก็ให้มันวิบัติคาตา

อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ถ้าประเทศวิบัติจนคนเห็นประจักษ์ว่า ระบอบเผด็จการสร้างความเสียหายเพียงไร มองในด้านกลับอาจคุ้มกว่าก็ได้

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน:ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_2159578

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นิทรรศการศิลปะ Sangnaul 2561: แสงนวลในสังคมแสงจ้า

$
0
0

แสงนวล แล็บ (Sangnaul Lap) เป็นการทับซ้อนกัน (lapping) ระหว่างพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ/พื้นที่การทดลอง/สนามเด็กเล่น/ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภายในอาคารพาณิชย์ 1 คูหาความสูง 5 ชั้นซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บนถนนเจริญกรุง โดยในระหว่างวันที่ 7 มกราคม - 19 มกราคม 2562 โดยได้จัดแสดงนิทรรศการศิลปะในชื่อ Sangnual 2561 โดยมี Napat Vatanakuljaras เป็นคิวเรเตอร์รวบรวมผลงานของศิลปินกว่า 11 คน โดยผู้เขียนเล็งเห็นถึงการจัดวางแสงในพื้นที่งานศิลปะที่พ้องไปกับการใช้ชื่อแสงนวล ของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งงานแต่ละชิ้นที่ผู้เขียนหยิบยกมาพูดถึงนั้นนำเสนอมุมมองต่อแสงไว้อย่างน่าสนใจซึ่งผลักความเข้าใจต่อเรื่องแสงและจัดวางองค์ประกอบของสิ่งที่เป็นแสงและสิ่งที่อยู่ภายใต้แสงเพื่อขับเน้นความรู้สึก มุมมอง ในการรับรู้ของผู้ชมได้เป็นอย่างดี

ลักษณะและรูปทรงของอาคารพาณิชย์ที่เป็นสถานที่ตั้งของแสงนวลแล็บนั้น หากมองจากภายนอกของตึกบนถนนฝั่งตรงข้ามจะเห็นการจัดวางงานศิลปะแต่ละชิ้นที่ส่องสะท้อนออกมาจากตึกอย่างน่าสนใจ กล่างคือ งานศิลปะที่เป็นจอฉายรูปพระจันทร์อยู่บนดาดฟ้า และชั้นถัดลงมาเป็นภาพของชายหนุ่มกำลังนั่งมองออกมาบนผืนผ้าไวนิลล้อมรอบด้วยต้นไม้ ถัดลงมาอีกชั้นเป็นเก้าอี้สองตัวตั้งหันหลังเข้าหาแสงที่สว่างจากภายในอาคาร ส่วนชั้นสว่างสุดท้ายเป็นแสงจากโกดังและส่วนกิจการขายหลอดไฟ โดยมุมมองที่เห็นจากภายนอกอาคารนั้นแสดงบุคลิกบางอย่างของนิทรรศการชิ้นนี้ได้เป็นอย่างดีที่พูดถึงเรื่องราวส่วนตัว เกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่อ่อนไหวราวกับพระจันทร์เต็มดวง แต่กลับเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้และสามารถนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนประเด็นทางความรู้สึกเหล่านั้นได้บนเก้าอี้สองตัว ซึ่งแบกรับอยู่บนกิจการขายอุปกรณ์ไฟฟ้าและหลอดไฟในชั้นล่างสุด โดยอาคารแห่งนี้ได้ทำสัญญาเช่ากับกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมากมายมหาศาลในพื้นที่นี้ ประหนึ่งแสงจากดวงไฟขนาดใหญ่ที่สาดปกคลุมได้ในบริเวณกว้างขวาง แต่กลับมี “แสงนวล” จากตึกและดวงจันทร์เล็ก ๆของงานนิทรรศการลอยอยู่เหนือตึกอย่างท้าทายและเงียบเชียบในความมืด

แสงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สากลที่มีประวัติศาสตร์ความหมายและนัยยะทางปรัชญาที่น่าสนใจ ด้วยคุณลักษณะของแสงที่สามารถเป็นทั้งลำแสงพุ่งตรง แสงนำทาง ประกายแสงระยิบระยับ แสงจ้าที่ทำให้ตาพร่ามัว หรือแสงที่อาบไปทั่วอาณาบริเวณ แสงจึงเกี่ยวพันกับนัยยะที่แสดงถึงปัญญา ความฉลาด ความรู้ บ่อเกิดของความดีงาม ความเป็นจริงพื้นฐาน ความบริสุทธิ์ ศีลธรรม โดยจะตัวอย่างได้จากอุปมาทางศาสนาอย่าง แสง (ธรรม) ที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเหนือโลกในเรื่องนิพพานตามคติความเชื่อทางพุทธศาสนา หรือแสงอาทิตย์ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ที่คอยปราบเหล่าร้ายด้านมืด หรือคำอธิบายเรื่องวิวัฒนาการที่มีลักษณะชายเป็นใหญ่ก็ถูกอธิบายผ่านเรื่องแสง ตลอดจนเรื่องพลังจักรวาล พลังความคิดสร้างสรรค์ หรือการมองโลกในแง่ดี ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการส่องสว่างและแสงทั้งสิ้น

นอกจากนี้ในทางปรัชญาตะวันตกแล้วแสงยังเป็นส่วนสำคัญที่ถูกนำมาอภิปรายมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคกรีก ยุคกลางและสมัยใหม่เพื่อทำความเข้าใจสัตตะ (Being) ความจริง (truth) ความเป็นธรรมชาติ (naturalness) โดยจุดเริ่มต้นนั้นจะเห็นได้จากในบทกวีของพาร์มินิเดส (Parmenides poem) หรือในแนวคิดของเพลโต (Plato) ที่อภิปรายกรอบคิดทางปรัชญาดังกล่าวผ่านตัวอย่างเรื่องถ้ำที่เห็นว่าการรู้ได้ สัตตะและสารัตถะของสิ่งต่างปรากฏได้ภายใต้แสงจากพระอาทิตย์ที่ส่องสะท้อนเข้ามา หาใช่การดำรงอยู่ด้วยตัวมันเอง แต่อยู่ภายใต้แสงของความคิดเรื่องความดี (Idea of Good) เกียรติยศ (dignity) พละกำลัง (strength) ที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง (beings) เพราะแสงในฐานะที่เป็นความเป็นธรรมชาติ ทำให้ทุกอย่างปรากฏ และความเป็นจริงของธรรมชาติจึงได้ปกคลุมความเป็นไปของทุกอย่าง จึงทำให้ทุกอย่างถูกเข้าใจว่าถูกจำกัดอยู่ภายใต้สิ่งที่อยู่เหนือโลก (transcendency)[1]นอกจากนี้ในทางศาสนาทั้งพุทธและศริสต์ก็เกี่ยวข้องกับการใช้อุปมาเรื่องแสงในฐานะที่เป็นสิ่งส่องสว่างทางปัญญาและความคิดเพื่อขจัดความมืดบอดทางความคิดและจิตใจเพื่อเข้าสู่เส้นทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ หรือในศาสนาคริสต์ที่อุปมาพระเยซูเป็นประหนึ่งแสงที่ส่องสว่างไปยังผู้ศรัทธา (Christ will shine on you.)[2]

อย่างไรก็ตามแสงก็เป็นความรุนแรงได้ในฐานะที่เข้ามารุกล้ำ ก้าวก่าย (intrusive) สิ่งอื่น ๆ โดยเฉพาะแสงที่สว่างจ้าและปกคลุมไปทั่ว (omnipresent brightness) ที่บังคับให้สิ่งอื่นต้องเผยแสดงและปรากฏให้เห็นโดยไม่ได้สนใจว่าสิ่งเหล่านั้นยินยอมหรือไม่ มันปกคลุมและกลืนกินพื้นที่ไปทั่วโดยไม่เคยต้องสูญเสียตัวเองลง มันเอาชนะทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องออกแรงกำลัง มันสร้างขั้วตรงข้ามซึ่งเป็นความมืดมิดในฐานะที่เป็นความมืดบอดทางปัญญา การหลงทาง ความโง่เขลา ที่พร้อมจะถูกปัดเป่าขับไล่ไปเมื่อแสงได้สาดส่องไปถึงนอกจากนี้แสงยังได้สร้างให้เกิดพื้นที่ ระยะ การนำเสนอ ขึ้นมาไม่ว่าจะเพื่อสร้างการปรากฏ การควบคุมจัดแจง การขูดรีด การสยบยอม หรือสร้างความชอบธรรมให้แก่การฉายแสงไปยังที่แห่งใดก็ตาม โดยเฉพาะแสงที่มีกำลังความสว่างมหาศาล และผูกขาดอำนาจการกำหนดการปรากฏของสิ่งอื่น ๆเอาไว้

สำหรับผู้เขียนแล้วพื้นที่ของแสงนวลแล็บ เป็นเสมือนดวงไฟเล็ก ๆ ที่พยายามจะสว่างไสวต้านทานกำลังจากแสงอื่นที่สาดจ้าไปทั่วอาณาบริเวณผ่านการนำเสนองานศิลปะที่มีความเป็นส่วนตัว เรื่องราวความทรงจำของคนตัวเล็กตัวน้อย และความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางอารมณ์ ความคิดที่เกิดขึ้นกับผู้คนอย่างเหล่านี้ผ่านการนำวัสดุอย่างแสงออกได้อย่างน่าสนใจ

ผลงานแรกที่ผู้เขียนอยากเขียนถึงนั้นคือ Somewhere only we know โดย Surat Setsaeng ที่ชวนให้คิดถึงสภาวะย้อนแย้งของความเป็นแสงที่ถูกแบ่งแยกแนวทางการศึกษาออกเป็นสองลักษณะมาโดยตลอด กล่าวคือ แสงในฐานะที่เป็น วัตถุที่มีรูปทรง (lumen) และแสงในฐานะคุณสมบัติเชิงผัสสะที่รับรู้ด้วยการมองเห็น (the lux) โดยแสงในความหมายแรกนั้นเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เป็นรูปธรรมซึ่งสามารถประเมินและวัดได้ ในขณะที่แสงอย่างที่สองเชื่อว่าเราไม่สามารถมองเห็นแสงได้ หากแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในแสงมากกว่า โดยเชื่อว่าการสัมผัสได้ถึงแสงเป็นประสบการณ์การรับรู้และตอบสนองทางร่างกาย[3]

อย่างไรก็ตามงาน Somewhere only we know ได้ชี้ให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของสองความหมายเรื่องแสงที่ไม่ลงรอยได้อย่างแนบสนิท โดยผลงานชิ้นนี้คว้าจับเอาสภาวะลักลั่นย้อนแย้งระหว่างวัตถุที่ไร้แสงในตัวเอง/วัตถุที่มีแสงในตัวเอง การมองเห็นแสงในฐานะการตอบสนองทางกายภาพ/การมองเห็นแสงในฐานะที่เป็นวัตถุมีรูปทรง ออกมาเป็นหลอดไฟที่มีแสงในตัวเองทรงกลมแบนที่บรรจุภาพแสงสะท้อนของวัตถุไร้แสงในตัวเองที่อยู่ภายในโดยถูกติดตั้งกระจายสูงต่ำไปรอบ ๆผนัง บนโต๊ะสำนักงาน นอกจากนี้ผลงานดังกล่าวยังติดตั้งปะปนในพื้นที่ของชีวิตประจำวันในส่วนกิจการ และสามารถมองเห็นได้ในระดับสายตา เป็นดวงดาวที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ของชีวิต โดยดวงดาวเหล่านี้สามารถมองเห็นได้ในระดับสายตาสำหรับผู้ชมงานศิลปะ มิใช่ดวงดาวที่ต้องแหงนมอง

แสงสะท้อนของวัตถุไร้แสงที่ถูกบรรจุในหลอดไฟที่เรืองแสงนั้น ได้กลายเป็นวัตถุที่โอบล้อมความคิดเรื่องแสงในฐานะที่มีหลากหลายคุณสมบัติและคุณลักษณะได้เป็นอย่างดี เมื่อประกอบกับการจัดวางงานให้กระจายไปทั่วห้องทำงาน และจุดบังคับยืนบนชั้นลอยของผู้ชมแล้ว ทำให้ผู้เขียนรู้สึกได้ถึงการผนวกรวมกันระหว่างการรับรู้ถึงความยืดหยุ่นทางคุณสมบัติและรูปทรงของวัตถุที่ลื่นไหลไปตามบริบทของพื้นที่และเวลา และการดึงกลับเอาดวงดาวที่มีนัยยะถึงความฝัน เข้ามาปะปนในพื้นที่แห่งความเป็นจริงในชีวิตประจำวันโดยแสงจากดวงดาวจำลองเหล่านั้นส่องสะท้อนออกมาจากภาพของวัตถุสามัญธรรมดา

ผลงานชิ้นต่อมาเป็นของ Pam Virada ในชื่อ clouded, 2018 ซึ่งเป็นชั้นเหล็กวางของสีเทาสามชั้น โดยติดตั้งหลอดไฟไว้ส่วนบนโดยส่องแสงสีขาวลงมาบนเศษผงฝุ่นบนกล่องในชั้นถัดมา โดยมีอีกสองชั้นข้างล่างวางกล่องบรรจุหลอดไฟค้างสต็อกรุ่นเก่าที่ไม่สามารถใช้งานได้ในยุคสมัยนี้แล้ว ผู้เขียนชื่นชอบผลงานชิ้นนี้เป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะชี้เห็นถึงคุณสมบัติของความใหม่และเก่าของแสงในฐานะที่เป็นวัตถุแล้ว งานชิ้นนี้ยังเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก ความทึมเทา ความเศร้า (melancholy) ความนิ่งเงียบ และความเรียบโล่งของเส้นสายและสีที่จัดวางอย่างขับเน้นกับเรื่องราวที่กำลังบอกเล่าได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ ศิลปินได้ขูดเอาเศษฝุ่นใต้กล่องหลอดไฟค้างสต็อกตกรุ่นของกิจการแสงนวลการไฟฟ้าที่ทับถมในความมืดมิด บดบังอยู่ใต้กล่องหลอดไฟเหล่านั้นมานานนับทศวรรษออกมาสัมผัสกับแสงของหลอดไฟรุ่นใหม่ โดยได้สร้างความหมายและมุมมองการนำเสนอเรื่องแสงและเงาของฝุ่นในฐานะความทรงจำและการที่แสงจากหลอดไฟไม่เคยถูกขายออกไป มันยังคงเป็นหลอดไฟดวงใหม่เสมอแต่กลับไม่มีทางที่จะได้ส่องสว่างเพราะความนิยมของหลอดไฟประเภทนี้ไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้ว เงาของแสงในฐานะที่เป็นฝุ่นจึงเป็นเพียงตะกอนความทรงจำของสิ่งใหม่ที่ถูกทำให้เก่าและละทิ้งไว้ข้างหลัง การไม่มีที่ทางของวัตถุเหล่านี้เมื่อมันถูกทำให้ปรากฏบนชั้นภายใต้แสงหลอดไฟรุ่นใหม่ มันจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด อ้างว้างที่ยากจะอธิบาย นอกเสียจากจะยัดเยียดให้มันเป็นความเศร้า เมื่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทสังคมที่ก้าวไปข้างหน้า ได้ละทิ้งหลายวัตถุและความทรงจำไว้ข้างหลังให้กลายเป็นสิ่งซึ่งไม่มีความหมายและความสำคัญทั้ง ๆที่มันไม่เคยกระทั่งได้รับโอกาสให้แสดงความหมายและความสำคัญของมันด้วยซ้ำ

งานชิ้นสุดท้ายที่ผู้เขียนอยากเขียนถึงคืองานชื่อ sit like Jay (since 2551) โดย Jirapat Vatanakuljaras งานชิ้นนี้เป็นภาพถ่ายศิลปินในท่านั่งบนม้านั่งที่ถูกขยายใหญ่บนผืนผ้าไวนิล โดยติดตั้งให้ภาพหันหน้าออกไปยังหน้าต่างของอาคาร ประดับภายด้วยต้นปาล์มและเศษดินบนพื้นรอบ ๆ โดยภาพที่ศิลปินนำมาขยายนั้นเป็นรูปถ่ายศิลปินที่ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานของแม่ในวันที่ข้าวของทุกอย่างและรูปถ่ายอื่น ๆถูกขนย้ายไปหมดแล้ว โดยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ศิลปินจัดการกับเหตุการณ์และเรื่องราวเหล่านี้ด้วยการขยายภาพใบที่ถูกทิ้งไว้ให้ใหญ่ สาดไฟให้ภาพเรืองแสงออกมา เมื่อเล็ดลอดผ่านใบของต้นปาล์มแล้ว แสงเหล่านั้นขยายแฉกของเงาไปบนผนังรอบ ๆ ชวนให้นึกถึงภาพของปูชนียบุคคลที่วางไว้ในโรงแรมเก่าๆ หรือสถานที่ราชการ ที่กลับปรากฏภาพลูกชายคนสุดท้องในสีหน้าเก้ๆกังๆ ซึ่งแสงที่ฉายออกมาในงานนั้นเรียกร้องให้ถูกมองเห็น เรียกร้องให้อดีตและความทรงจำที่ศิลปินเข้าไปสะสางและจัดการเรื่องราวส่วนตัวปรากฏอย่างเอิกเริก ผู้เขียนประทับใจวิธีการจัดการความทรงจำส่วนตัวของศิลปินที่เจือปนไปด้วยอารมณ์ขันนั้น และความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้าอดีตเพื่อนำมายืดขยายด้วยแสง แสงในงานชิ้นนี้จึงไม่ได้ทำหน้าที่แต่เพียงส่องสว่างบนพื้นผิวไวนิลหรือบนวัตถุแต่มันส่องสว่างเพื่อทำให้สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกหลงลืมให้กลับมามองเห็นอีกครั้งจากสายตาของทั้งคนในและนอกอาคารแสงนวลการไฟฟ้า

นิทรรศการแสงนวล 2561 ได้นำเสนอผลงานศิลปะที่สะท้อนแง่มุมความเข้าใจเรื่องแสงไว้อย่างหลากหลายทั้งแสงในฐานะที่เป็นทั้งวัตถุและประสบการณ์การรับรู้ของมนุษย์ แสงและเงาในฐานะความทรงจำ หรือกระทั่งแสงที่เป็นเครื่องมือหยิบฉวยอดีตมาสร้างมิติและการรับรู้ใหม่ในปัจจุบัน นอกจากนี้โดยตัวของพื้นที่แสงนวลแล็บเองก็ทำหน้าที่เป็นแสงเล็ก ๆที่ส่องสว่างในความมืดมิดที่พยายามจะเล็ดลอดความสว่างออกจากข้อจำกัดและเงื่อนไขไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพของพื้นที่ เศรษฐกิจ การเมือง หรือสถาบันศิลปะที่แผ่กำลังไฟสว่างจ้ากลบแสงดวงไฟอื่น ๆและทำให้ตาพร่าพรางในนามของความรู้ ความจริง และความงามเชิงสถาบัน 

 

อ้างอิง

[1]Light as a Metaphor for Truth.Hans Blumberg - 1993 - In David Kleinberg-Levin (ed.), Modernity and the Hegemony of Vision. The University of California Press. pp. 30--62.

[2]"Light of Christ." Wikipedia. December 26, 2018. Accessed January 15, 2019. https://en.wikipedia.org/wiki/Light_of_Christ.

[3]Bille, Mikkel, and Tim Flohr Sørensen. "An Anthropology of Luminosity." Journal of Material Culture 12, no. 3 (2007): 266. doi:10.1177/1359183507081894.

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักวิทย์ฯ ค้านวาทกรรมต่อต้านวัคซีนในสหรัฐฯ หลังทำโรคหัดระบาดอีกครั้งในวอชิงตัน

$
0
0

นักวิทยาศาสตร์สุขภาพเตือนถึงอันตรายของวาทกรรม ‘แอนตีแว็กเซอร์ (Anti-Vaxxer)’ ต้านการรับวัคซีนที่ทำให้โรคหัดระบาดหนักในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ เมื่อไม่นานนี้ว่าจะส่งผลต่อสุขภาพของตนเองและคนอื่นๆ จากเดิมที่การเข้ามาของวัคซีนสามารถควบคุมโรคหัดได้ดีขึ้น

ที่มา:Pixabay

ในเทศมณฑลคลาร์ก รัฐวอชิงตันของสหรัฐฯ มีการประกาศเหตุฉุกเฉินเนื่องจากเกิดเหตุโรคหัดระบาด การระบาดในครั้งนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องตั้งแต่เด็กไม่ว่าด้วยเหตุผลจากความกลัว จากแนวคิดอุดมการณ์ ความประมาทเลินเล่อหรืออะไรก็ตามแต่ ผู้ไม่ได้รับวัคซีนเหล่านี้กลายเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้กับคนอื่นๆ และในสหรัฐฯ เองก็มีกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนอย่างจริงจังที่มักจะเรียกกันว่าแอนตีแว็กเซอร์ (Anti-Vaxxer)

นักวิทยาศาสตร์ 2 คน คือ อเล็ก เบเรโซว รองประธานกิจการวิทยาศาสตร์ และจอช บลูม ผู้อำนวยการเคมีและเภสัชศาสตร์ของสมาคมวิทยาศาสตร์และสุขภาพสหรัฐฯ นำเสนอบทความเพื่อวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน ในบทความระบุถึงอันตรายของโรคระบาดที่ยับยั้งได้ด้วยวัคซีนอย่างโรคหัด ว่าไม่ใช่โรคที่ไม่เป็นอันตรายแบบที่กลุ่มต่อต้านวัคซีนอ้างกัน

ข้อมูลของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อระบุว่าไวรัสโรคหัดเป็นไวรัสที่มีความสามารถในการติดต่อหนักที่สุดตัวหนึ่ง ผู้คนอาจติดเชื้อได้ตั้งแต่ก่อนร่างกายแสดงอาการผื่นขึ้นหรืออาการอื่นๆ นอกจากนี้แล้วคนที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่องวัคซีนเสื่อมอาจจะติดเชื้อได้ง่ายมากเพียงแค่เดินเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกับคนที่มีเชื้อเคยอยู่สองชั่วโมงก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็เคยเปิดเผยว่ามีผู้คนเสียชีวิต 110,000 รายทุกปีด้วยโรคนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ

ก่อนหน้าที่จะมีวัคซีน สหรัฐฯ เคยประสบปัญหาการระบาดหนักของโรคหัดมาก่อนโดยที่ในช่วงคริสตทศวรรษที่ 2450 มีชาวสหรัฐฯ เสียชีวิตราว 6,000 คนทุกปีจากโรคหัด แต่วัคซีนกลายเป็นชัยชนะของการสาธารณสุขที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ราว 20 ล้านคนต่อปีจากโรคนี้จนแทบทำให้โรคหมดไปจากสหรัฐฯ ในช่วงหลังปี 2543 กระนั้นก็ยังมีกลุ่มคนหันหลังให้ประดิษฐกรรมที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้

กลุ่มแอนตีแว็กเซอร์อ้างว่าถ้าหากวัคซีนได้ผลจริง คนที่ไม่ได้รับวัคซีนก็ไม่ควรจะต้องเป็นห่วงอะไร แต่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเพราะไม่มีวัคซีนใดที่จะได้ผลเสมอไปตลอดเวลา มีจำนวนมากที่อาจจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา อีกทั้งวัคซีนแต่ละชนิดก็มีการกำหนดอายุขั้นต่ำของเด็กที่จะสามารถรับวัคซีนได้เนื่องจากต้องรอให้ภูมิคุ้มกันของเด็กก่อตัวดีพอก่อน วาทกรรมต่อต้านวัคซีนที่แพร่กระจายในอินเทอร์เน็ตจึงเป็นเรื่องเท็จ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่ให้เด็กหลีกเลี่ยงการรับวัคซีนตามตารางแนะนำของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ

กลุ่มต่อต้านวัคซีนยังมักจะสร้างวาทกรรมผิดๆ เช่นว่า "วัคซีนทำให้เกิดโรคออทิสติค"หรือ "กลัวว่าเด็กจะได้รับวัคซีนมากเกินไป"ซึ่งเป็นเรื่องเท็จทั้งคู่ ในกรณีหลัง ปริมาณสารกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทานหรือ "แอนติเจน"ในวัคซีนนั้นมีน้อยมากเมื่อเทียบกับการกระตุ้นที่เกิดจากการที่เด็กคลานกับพื้นแล้วเลียมือตัวเอง

วาทกรรมอีกอย่างหนึ่งที่กลุ่มต่อต้านวัคซีนอ้างคือ "นโยบายฉีดวัคซีนละเมิดสิทธิส่วนบุคคล"ซึ่งเป็นตรรกะที่ผิด เพราะไม่มีสิทธิแบบใดที่จะทำอะไรตามอำเภอใจได้ไปทุกอย่างและการไม่รับวัคซีนของพวกเขาก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนอื่นๆ

เรียบเรียงจาก

WASHINGTON MEASLES OUTBREAK SHOWS ANTI-VAXXERS ARE LITERALLY MAKING US SICK | OPINION, Newsweek, Jan. 29, 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สองขั้นตอนง่ายๆ ปลอดภัยจาก 'บั๊ก'ดักฟังแม้ไม่รับสายในแอป 'เฟสไทม์'

$
0
0

เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวเรื่องข้อผิดพลาดหรือ "บั๊ก"ของโปรแกรมเฟสไทม์ โปรแกรมแอพพลิเคชันพูดคุยผ่านวิดิโอคอลของค่ายแอปเปิล ซึ่งทำให้ดักฟังได้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว สื่อนิวยอร์กไทม์นำเสนอวิธีแก้บั๊กตัวนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในแง่ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน

ที่มา:Pexels

1 ก.พ. 2562 เยาวชนอายุ 14 ปี คนหนึ่งค้นพบข้อผิดพลาดหรือ "บั๊ก"ในโปรแกรมแอพพลิเคชันสนทนาออนไลน์เฟสไทม์หลังจากที่เขาใช้แอพฯ นี้โทรหาเพื่อนๆ ในกลุ่มเฟสไทม์เพื่อวางแผนการเล่นวิดีโอเกม เขาค้นพบว่าโปรแกรมนี้มีช่องโหว่ทำให้คนที่เป็นฝ่ายติดต่อไปสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทางภาพหรือเสียงจากปลายทางได้โดยที่ผู้อยู่ปลายทางไม่ต้องกดรับ นั่นหมายความว่ามันอาจกลายเป็นเครื่องมือดักฟังที่ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวได้

พ่อแม่ของเยาวชนรายดังกล่าวซึ่งอาศัยอยู่ในแอริโซนาได้แจ้งร้องเรียนบั๊กนี้ไปยังบริษัทแอปเปิลตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. แต่ในตอนนั้นทางแอปเปิลไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลยแม้ว่าพวกเขาจะพยายามแจ้งเรื่องนี้ไปในหลายช่องทาง จนกระทั่งช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาทางแอปเปิลถึงได้แก้ปัญหาด้วยการปิดช่องทางการสื่อสารกลุ่มของเฟสไทม์ชั่วคราว

อย่างไรก็ตามสื่อนิวยอร์กไทม์ระบุว่าเรื่องนี้ป็นการแก้ปัญหาได้แบบชั่วคราว สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มระดับความปลอดภัยให้กับโทรศัพท์ของตัวเองนั้น นิวยอร์กไทม์ให้คำแนะนำเพื่อที่จะช่วยปิดระบบของเฟสไทม์ได้ดังนี้

ขั้นตอนแรกตรวจสอบว่าอุปกรณ์มือถือของคุณมีบั๊กตัวนี้อยู่หรือไม่ นิวยอร์กไทม์ระบุว่าบั๊กตัวนี้เกิดขึ้นกับกรอัพเดทครั้งหลังสุดของระบบปฏิบัติการ iOS เริ่มจากรุ่น 12.1 ที่ออกมาเมื่อเดือน ต.ค. ซึ่งเริ่มมีการพูดคุยแบบกลุ่มในเฟสไทม์

ผู้ใช้สามารถตรวจสอบรุ่นได้ด้วยการไปที่ "Settings" (การตั้งค่า) เลื่อนลงมาแล้วกด "General" (ทั่วไป)  จากนั้นก็กด "About" (เกี่ยวกับ) ในรายชื่อนี้จะมีระบุถึง "Version" (รุ่น) ของระบบปฏิบัติการอยู่ด้วย ซึ่งการอัพเดทครั้งหลังสุดจะอยู่ที่รุ่น 12.1.3 ถ้าหากผู้ใช้งานมีรุ่นอยู่ที่รุ่ย 12.1 ขึ้นไปอาจจะมีความเสี่ยง แต่รุ่น 12.0 ลงมาจะไม่มีความเสี่ยงบั๊กตัวนี้

สำหรับผู้ใช้งานระบบแมคอินทอชหรือ MacOS มีการอัพเดทระบบการพูดคุยแบบกลุ่มของเฟสไทม์ในรุ่นที่ 10.14.1 และรุ่นล่าสุดอยู่ที่ 10.14.1 ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบได้ด้วยการกดคลิกไอคอนของแอปเปิลที่มุมบนซ้ายมือแล้วคลิกคำว่า 'About This Mac" (เกี่ยวกับ Mac นี้)

ขั้นตอนที่สองปิดใช้เฟสไทม์ สำหรับ iOS สามารถปิดได้โดยเข้าไปที่ "Settings" (การตั้งค่า) เลื่อนลงมาจนเจอ "FaceTime"แล้วกดเลือกตัวนี้ จากนั้นก็เลื่อนปุ่มสวิตช์สีเขียวบนสุดให้เป็นสีเทาเพื่อปิดการใช้งาน การปิดใช้งานนี้จะทำให้ผู้ใช้ไม่ได้รับการโทร. จากโปรแกรมเฟสไทม์ใดๆ แต่จะยังสามารถใช้รับสายและโทร. ออกโดยทั่วไปได้

สำหรับผู้ใช้ Macs สามารถเปิดแอพพลิเคชัน เลือกที่ "FaceTime"แล้วกดที่มุมบนซ้ายของแอพฯ เลือก "Preferences"แล้วเลือก "Sign Out"

ขั้นตอนสุดท้ายคือรอให้แอปเปิลอัพเดทเพื่อแก้ไขบั๊กที่ทำให้ผู้คนดักฟังคนอื่นได้ตัวนี้ และสามารถเปิดโปรแกรมกลับมาอีกครั้งด้วยวิธีการแบบเดิม

เรียบเรียงจาก

Apple was warned about alarming FaceTime eavesdropping bug last week, The Verge, Jan. 29, 2019

How to Disable FaceTime to Avoid Eavesdropping Bug, The New York Times, Jan. 29, 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ปราบเด็กปอเนาะ=ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง

$
0
0

การใส่ไคล้เรื่องเอาคนเขมรมาฝึกในปอเนาะเพื่อเป็น RKK ไม่ใช่มีครั้งแรก แต่เริ่มเป็นข่าวลือมาตั้งแต่สมัยกรือเซะแล้ว(ตอนนั้นว่าพม่ารับจ๊อบจากงานประมงมาก่อเหตุหาเงินด้วย อย่าว่าตลกนะครับ เคยลือจริงๆ) ตอนยิงถล่มป้อมที่ยะหริ่งปีไหนจำไม่ได้(ขี้เกียจค้นข้อมูล)ก็ว่าเป็นเขมร แต่พอนักข่าวหูผึ่ง รุกเชิงข้อมูลหลักฐานมากๆ เข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไปจากฝ่ายความมั่นคง

ประเด็นคืออะไรรู้ไหมครับ เพราะฝ่ายทหารรู้ดีว่า การเดินทางไปร่ำเรียนศาสนาต่างบ้านต่างเมือง เป็นเรื่องปกติของชาวมุสลิม คนไทย คนมลายูไปเรียนที่อินโด มาเลย์ ไปปากีสถาน อินเดีย อาหรับ ก็เยอะแยะ การที่คนกัมพูชามาเรียนบ้านเราจึงเป็นเรื่องปกติ และมีมาตั้งแต่โบราณแล้ว เพราะการศึกษาศาสนาที่ปัตตานีรุ่งเรืองและแพร่หลายกว่า คุณลักษณะสำคัญของปอเนาะคือความเชื่อมั่นจากชื่อเสียงของบาบอ โต๊ะครู จากศิษย์รุ่นก่อนๆ คนพวกนี้ก็กลับไปบอกเล่าคนรุ่นหลัง หรือมีนักการศาสนาจากปัตตานีไปดะวะห์เผยแพร่ก็เป็นเรื่องปกติ

ผมเคยคุยกับนายทหารคนหนึ่งใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หลายปีแล้ว ถามแกจริงๆ จังๆว่าตกลงมีกลุ่มผู้ก่อเหตุชาวต่างชาติไหม แกบอกเป็นข้อมูลเก่าแล้ว ไม่มี ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีนักรบ RKK เป็นชาวต่างชาติ อย่าว่าแต่เขมรเลย มาเลย์ อินโด บ้านใกล้เรือนเคียงที่เข้าใจท้องถิ่นวัฒนธรรมเดียวกัน ก็ไม่มี

มันก็ตรงกับสามัญสำนึกคนปกติ อุดมการณ์เอกราชปัตตานีเป็นเรื่องชาตินิยม ไม่ใช่ศาสนา ใครจะมาตายเพื่อแผ่นดินคนอื่น ได้อะไร นี่ไม่ใช่ก่อการร้ายสากลที่จะอ้างศาสนาได้ง่ายๆ แล้วขบวนการเอกราชจะเสียงบประมาณไปจัดหานักรบต่างชาติให้มันสิ้นเปลืองทำไม ลำพังคนรุ่นใหม่ๆ ในพื้นที่ก็หาไม่ยาก เพราะถูกหล่อหลอมจากปัจจัยภายในและเงื่อนไขที่ฝ่ายรัฐกระทำ จับกุม คุมขัง ยิงตายข้างถนน ซ้อมทรมาน และความอยุติธรรมในอดีต

การดึงนักรบรุ่นใหม่ๆ ลงทุนในเม็ดเงินไม่เยอะขนาดนั้น ใช้กระบวนการข่าวลือบวกกับเอาข้อมูลอดีตมาโจมตี มีเครื่องมือมากมาย สร้างความรู้สึกไม่พออกพอใจ และระเบิดเป็นความเกลียดชังไม่ยาก

เรื่องปอเนาะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ เป็นวัฒนธรรมเชิงจิตวิญญาณของมุสลิมอุษาคเนย์ ทำไมหน่วยงานความมั่นคงถึงเล่นกับปอเนาะไม่เลิก เพราะรู้ทั้งรู้ว่าสร้างเงื่อนไขความไม่พอใจ คนไทยก็เฮให้ปิดไม่รู้สี่รู้แปด เข้าใจไหมครับ ปิดปอเนาะเท่ากับเข้าเงื่อนไขทำสงครามศาสนาได้ เพราะปอเนาะเป็นพื้นที่เดียวที่สงวนไม่ให้รัฐเข้าไปควบคุม ไม่ให้ภายนอกเข้าไปยุ่ง เพราะมันเป็นเรื่องจิตวิญญาณ

หลายปีมาแล้วที่รัฐเอาเม็ดเงินเข้าไปล่อเพื่อแลกกับการควบคุมปอเนาะให้อยู่ภายใต้รัฐ แต่เขาไม่เอา ให้เงินสนับสนุนไปทำโครงการน่ะได้ แต่ไม่ให้ควบคุม ปอเนาะมลายูมันลึกซึ้งกว่าที่คนไทยทั่วไปเข้าใจ ฝ่ายความมั่นคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะเข้าไปให้ได้ ทำโครงการ พาเด็กไปเที่ยว ไปจนถึงซุ่มจับตา บุกตรวจค้น ให้ข่าวปอเนาะบ่มเพาะขบวนการเอกราชปัตตานี พาเข้ารกเข้าพงไปใหญ่ ถามว่ามีไหม มีบ้างอยู่แล้ว โรงเรียนปอเนาะมีทุกชุมชน ย่อมมีกลุ่มคนที่ฝักใฝ่ความรุนแรงไปโผล่บ้าง แต่เป็นส่วนน้อย คนยังจำภาพปอเนาะของแกนนำ BRN เลยเหมารวมหมดว่าโต๊ะครู อุซตาสเป็นพวกสอนให้เด็กเกลียดรัฐ แต่ความจริงแต่ละปอเนาะเป็นเอกเทศ มีแนวทางบริหารจัดการแตกต่างกัน แม้แต่สำนักคิดทางศาสนาก็ยังต่างกันเลย อุซตาส โต๊ะครูส่วนใหญ่ไม่ได้มีเงินเดือนมากมาย(หลายแห่งไม่มีเงินเดือนด้วย เป็นพันธกิจทางจิตวิญญาณ) อยู่ด้วยเงินบริจาคไม่พอกิน เขาก็ต้องกรีดยาง รับจ้างเลี้ยงปากท้องครอบครัว เป็นคนธรรมดาที่ต้องดิ้นรนชีวิตเหมือนกัน

มีคนถามว่ารัฐจะควบคุมอะไร หลักใหญ่ใจความคือคุมทิศทางโรงเรียนตามนโยบายรัฐ คุมหลักสูตร สอนนั่นได้ สอนนี่ไม่ได้ ทำบัญชีครูและเด็กปอเนาะ ควบคุมเงินสนับสนุนที่เขาบริจาค ฯลฯ ใครจะยอม

การที่เด็กผู้ชายวัยรุ่นไปรวมตัวกัน เด็กปอเนาะไม่ใช่นักบวช เหมือนโรงเรียนประจำนั่นแหละ มีทะโมน แผลงๆ เล่นสนุกสนาน ออกกำลังกาย เป็นเรื่องปกติมากๆ ตอนผมไปถ่ายสารคดีในปอเนาะแห่งหนึ่งที่ปัตตานี น้องๆ เล่าวีรกรรมสนุกสนานมาก บังเกิดความรู้สึกย้อนไปตอนตัวเองบวชสามเณร นั่นคือนักบวชนะ แต่วัยเด็กในร่างมันซุกซนและมีพลังพลุ่งพล่านเกินกฏเกณฑ์ใดไปควบคุม ก็มีวีรกรรมแผลงๆ ไม่ต่างกัน เล่าแลกเปลี่ยนกันสนุกสนานมาก

ปอเนาะคือที่เรียนศาสนาของเยาวชน แต่อีกมุมมันคือสวนอีเดนในสวรรค์ เป็นเหมือนโอเอซิสในทะเลทราย เพราะเป็นที่ซ่อมแซมจิตวิญญาณและร่างกายของเด็กที่เคยหลงผิด ติดยา ติดคุก เคยก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ ปอเนาะหลายแห่งและโต๊ะครูหลายคนดำรงตนในสถานะแบบนี้ เปิดโอกาสให้ทุกคนซ่อมแซมจิตวิญญาณก่อนออกไปเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เป็นหัวหน้าที่ดีของครอบครัว เป็นบ่าวที่ดีของอัลเลาะห์

ฉะนั้น เรื่องการบุกจับกุมเด็กในปอเนาะอาจชนะในยุทธวิธี คือทำให้เป็นข่าว เห็นความเด็ดขาด เปิดตัวนายทหารสายเหยี่ยวคนใหม่ แต่เชิงยุทธศาสตร์นี่พลาดมาก ได้อะไร มีภาพเด็กถูกจับในตาข่ายเหมือนสัตว์ ลดทอนความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง เรื่องนี้สร้างเงื่อนไขเพิ่มแน่นอน มันทิ่มแทงความรู้สึก ถ้าฝ่ายความมั่นคงจริงใจในการแก้ปัญหาจริงๆ ต้องระมัดระวังในการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมกว่านี้ นอกเสียจากไม่ยี่หระ ไม่แคร์ และไม่กังวลความเสี่ยง


ที่มาภาพ:Facebook Sermsuk Kasitipradit

อ่านความเห็นของนักข่าวความมั่นคงรุ่นใหญ่คนหนึ่งแล้วได้แต่ถอนใจ ยังตามก้นทหารเหมือนเดิม ทั้งข้อมูลและการวิเคราะห์ ลงพื้นที่ก็ลงกับทหาร สายตาเป็นสีเขียวลายพรางไปหมด แล้วก็โจมตีประชาสังคม เอ็นจีโอ ที่เขาทักท้วงเรื่องความถูกต้องยุติธรรม หาว่าไม่แถลงการณ์ประณามบีอาร์เอ็น มีกึ๋นอยู่แค่นั้น ทั้งที่ในพื้นที่มีคนคอยเตือน คอยปราม มันก็ดีไม่ใช่เหรอ ถ้าเอาแต่อวย หรือไม่มีประชาสังคม เอ็นจีโอ คุณคิดว่าปัญหาจะไปสู่ทิศทางไหน อย่าเอาแต่ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน เชื่องกันประดุจสัตว์เลี้ยง กระตุกเชือกทีเดียวพากันลงเหวทั้งยวง เป็นสื่อประเภทไหนที่ไม่เคยสำนึกต่อเรื่องเหล่านี้ เอาอุดมการณ์คลั่งชาติมาใช้กับการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีรากฐานการเมือง เอาชาตินิยมไปแก้ปัญหาชาตินิยมไม่ได้หรอก

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน:Facebook ณรรธราวุธ เมืองสุข

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ประชาชนกว่า 200 ยื่นหนังสือค้านโรงไฟฟ้า เจอทหารขู่ใช้ ม.44 ห้ามชุมนุม

$
0
0

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย 2 หมู่บ้าน กว่า 200 คน รวมตัวยื่นหนังสือให้ กกพ. หยุดพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานโรงไฟฟ้าชีวมวล เครือมิตรผล เจอทหารขู่ใช้ ม.44 ห้ามชุมนุม ตัวแทนกลุ่มระบุแจ้งชุมนุมฯ ทุกครั้ง ไม่เข้าใจทำไมทหารพูดอย่างนี้

1 ก.พ. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (31 ม.ค.) เวลา 10.00 น.กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร และเครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.น้ำปลีก อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ กว่า 200 คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเขต 5 อุบลราชธานี โดยมี ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเขต 5 อุบลราชธานี ลงมารบหนังสือ

มะลิจิตร เอกตาแสง กรรมการกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง กล่าวว่า การเดินทางมาคณะกรรมการกำกิจการพลังงานเขต 5 อุบลราชธานีวันนี้เพื่อมายื่นหนังสือเรียกร้อง กกพ. หยุดการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงานโรงไฟฟ้าชีวมวล ของบริษัทในเครือมิตรผล หลังจากวันที่ 15 ม.ค. คณะกรรมการ กกพ.ได้ลงพื้นที่เพื่อมารับฟังข้อมูลข้อเท็จจริง แต่การลงพื้นที่ในครั้งนั้นไม่ได้มีความจริงใจที่จะลงพื้นที่จริง ดังนั้นชาวบ้านจึงมายื่นหนังสือให้ กกพ. ระงับการพิจารณาออกใบอนุญาตโรงไฟฟ้าชีวมวลก่อน เพราะ กกพ. ทำผิดข้อตกลงกับชาวบ้าน และเรียกร้องให้มีคำตอบกลับมาภายใน 7 วัน

“การเดินทางมาวันนี้ก็ยังมีทหารมาพูดในทำนองจะใช้มาตรา 44 กับผู้ที่จะมายื่นหนังสือเพื่อควบคุมการชุมนุม เราก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอกเพราะที่ผ่านมาเราก็แจ้งการชุมนุมเสมอ ทหารจะมากล่าวอย่างนี้ไม่ได้” มะลิจิตร กล่าว

ด้านปฏิภาน แก้วรินขวา ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเขต 5 อุบลราชธานี หลังลงมารับหนังสือกับกลุ่มที่คัดค้านก็ได้กล่าวว่า หนังสือที่ทางกลุ่มยื่นวันนี้ทางเจ้าหน้าที่จะรับหนังสือและส่งต่อไปให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานส่วนกลาง เนื่องจากตนไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ

หลังจากนั้นนวพร เนินทราย เลขากลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็งได้ อ่านแถลงการณ์ โดยมีเนื้อหาระบุดังนี้

หยุดพิจารณาออกใบอนุญาตโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 61 เมกะวัตต์ของบริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์(อำนาจเจริญ) จำกัด

ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานลงพื้นที่อย่าทำผิดข้อตกลงกับชาวบ้าน

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ได้เดินทางลงพื้นที่รับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีการคัดค้านโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 61 เมกะวัตต์ ของบริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (อำนาจเจริญ) จำกัด ในรัศมี 5 กิโลเมตร พื้นที่ตำบลเชียงเพ็ง จังหวัดยโสธร และพื้นที่ตำบลน้ำปลีก จังหวัดอำนาจเจริญ แต่แทนที่จะลงไปดูพื้นที่จริงและพบกับชาวบ้านที่รออยู่ในพื้นที่ กกพ. กลับลงพื้นที่ไปหากลุ่มสนับสนุนโรงไฟฟ้าชีวมวลก่อน กลุ่มชาวบ้านเรียกร้องมาโดยตลอดจึงมีเวลาน้อยในการชี้แจงข้อมูล และผลการศึกษาของคณะทำงานศึกษาข้อเท็จจริงการมีส่วนร่วมของจังหวัดยโสธรได้สรุปชัดแล้วว่าร้อยละ 90% ใน 5 หมู่บ้าน ต.เชียงเพ็งที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่เคยรับรู้ข้อมูลข่าวสารมาก่อน รวมถึงทำให้ไม่ได้ลงดูพื้นที่อ่อนไหวอย่างละเอียด และพื้นที่ๆ มีข้อพิพาทที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงต่อกลุ่มที่คัดค้านและสนับสนุนในหลายพื้นที่และหลายครั้งที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การเรียกร้องของชาวบ้านให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานลงพื้นที่จริงก็เพื่อจะได้รับรู้ถึงทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่ชุมชนสองฝั่งลำน้ำเซบายได้พึ่งพาอาศัยมาตลอดชั่วชีวิต เป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องออกมาปกป้องชุมชน ปกป้องทรัพยากร ปกป้องวิถีชีวิต แต่ กกพ. ทำผิดข้อตกลงกับชาวบ้านและแสดงถึงความไม่จริงใจโดยอ้างว่า “หลงทาง”

ดังนั้นวันนี้ทางกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง และเครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.น้ำปลีก จึงขอเรียกร้องให้

1.นายปฏิภาณ แก้วรินขวา ผู้อำนวยการฝ่ายสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานประจำเขต 5 ได้ลงพื้นที่ไปดูพื้นที่จริงตามชาวบ้านเรียกร้อง

2. ให้ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเขต 5 ทำหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานส่วนกลางให้เป็นลายลักษณ์อักษรว่าให้ระงับการพิจารณาออกไปอนุญาตโรงไฟฟ้าชีวมวลไว้ก่อน จนกว่าจะลงพื้นที่ และรอข้อสรุปจากคณะศึกษาข้อเท็จจริงกรณีโรงไฟฟ้าชีวมวล จังหวัดยโสธร ที่กำลังลงพื้นที่เก็บข้อมูลในประเด็นด้านทรัพยากร ด้านสุขภาพ และด้านการมีส่วนร่วม

3. ให้ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเขต 5 ชี้แจงข้อมูลที่ได้นำเสนอต่อส่วนกลางว่ามีประเด็นอะไรบ้าง

4. ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานวางตัวเป็นกลาง

มาวันนี้ถึงยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเพราะไม่มีอำนาจตัดสินใจแต่เราจะให้เวลา 7 วัน และพี่น้องก็จะเตรียมเดินทางไปชุมนุมหน้าทำเนียบแน่นอนเพื่อให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานยกเลิกการพิจารณาโรงไฟฟ้าชีวมวลอย่างเด็ดขาด

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ที่เก่าเวลาเดิม 'อานนท์'ยันยังจัดรำลึก 'สุรชัย แซ่ด่าน'หลังระบุ ตร.ไม่ให้จัด อ้างกระทบ ลต.

$
0
0

อานนท์ นำภา โพสต์ระบุ ตำรวจ สน.ลุมพินี อ้างว่า กกต. ได้ประกาศวันเลือกตั้งแล้ว เกรงจะกระทบกับการเลือกตั้ง จึงไม่ให้จัดงานรำลึกอาจารย์สุรชัยกับสหายที่แยกราชประสงค์ แต่เจ้าตัวยันยังจัดที่เก่าเวลาเดิม

1 ก.พ.2562 จากกรณีเมื่อ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen ประกาศผ่านเฟสบุ๊คแฟนเพจว่า จะจัดกิจกรรม กำหนดการไว้อาลัย สุรชัย แซ่ด่าน กับสหาย ในวันที่ 2 ก.พ.นี้ที่ สี่แยกราชประสงค์ โดยเวลา 18.00 น. วางดอกไม้แดง และ 19.00 น. จุดเทียน ร้องเพลงนักสู้ธุลีดิน  ขณะที่วันที่ 3 ก.พ.2562 ที่วัดแจ้งศิริสัมพันธ์ นนทบุรี  เวลา 10.00 -12.00 น. จะมีการจัดถวายเพล อุทิศส่วนกุศล นั้น

ล่าสุดวันนี้ (1 ก.พ.62) อานนท์ นำภา ทนายความและหนึ่งในผู้เตรียมจัดกิจกรรมดังกล่าว โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คตนเองว่า ล่าสุด ตำรวจ สน.ลุมพินี อ้างว่า กกต. ได้ประกาศวันเลือกตั้งแล้ว เกรงจะกระทบกับการเลือกตั้ง จึงไม่ให้จัดงานรำลึกอาจารย์สุรชัยกับสหายที่แยกราชประสงค์ 

"ผมขอยืนยันว่า คำสั่งของตำรวจลุมพินี เป็นการสั่งโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ไม่มีเหตุผล เจตนาเพียงไม่ให้เรารำลึกถึงการจากไปของผู้ตายเท่านั้น การพยายามทำลายประวัติศาสตร์ของฝ่ายประชาชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเราจะไม่ยอมนิ่งเฉยอีกต่อไป ผมจึงขอยืนยันจัดงานให้อาจารย์สุรชัยที่แยกราชประสงค์ในวันเสาร์ ที่ 2 กุมภาพันธ์ เวลา 17.00 -19.00 น. ตามที่นัดไว้เดิม" อานนท์ โพสต์ พร้อมย้ำด้วยว่า หากเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งผู้ใดบังอาจขัดขวาง ตนมีความจำเป็นต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการระลึกถึงอาจารย์สุรชัยกับสหายที่ตายไป เจอกันตามนัด เชื่อมั่นและศรัทธา

สำหรับการหายตัวไปของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือสุรชัย แซ่ด่าน (78 ปี) ภูชนะ (54 ปี) และสหายกาสะลอง (47 ปี) นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้ลี้ภัยจากเหตุการณ์รัฐประหาร 2557 นั้น พวกเขาหายออกจากที่พัก ขณะลี้ภัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยไม่มีใครติดต่อได้ตั้งแต่ 11 ธ.ค.2561 โดยล่าสุดผลตรวจสอบดีเอ็นเอของสองศพที่พบในแม่น้ำโขงนั้นตรงกับภูชนะและกาสะลอง

 

กิจกรรมดังกล่าวนอกจากตำรวจไม่อนุญาตจัดแล้ว 30 ม.ค.ที่ผ่านมา อานนท์ เองก็เพิงโพสต์ภาพบริเวณสี่แยกราชประสงค์ พร้อมข้อความว่า กทม. เอากระถางต้นไม้มาวาง และเอาป้ายแยกราชประสงค์ออกแล้ว 

โดยที่ พินิต อารยะศิลปะธร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร(กทม.) ชี้แจงไว้ว่า สำหรับบริเวณแยกราชประสงค์เดิมจะมีป้ายบอกแยกเพียงด้านเดียวเท่านั้น จากการตรวจสอบพบว่ามีการนำป้ายไวนิลเลียนแบบป้ายราชประสงค์เดิมมาติดตั้งเพิ่มอีกด้าน เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจเขตปทุมวัน ลงพื้นที่เพื่อไปจัดเก็บป้ายไวนิลดังกล่าวออกเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

“มึงลองมาไล่ดูสิ” ประยุทธ์สบถกลางเวทีแถลงผลงาน 4 ปี ย้ำไม่ได้ท้าทาย

$
0
0

พล.อ.ประยุทธ์ หลุดพูด “มึงลองมาไล่ดูสิ” หลังมีกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเตรียมขึ้นบัญชีนายกฯ พปชร. อ้าง โอบาม่า สี จิน ผิง ไม่เคยมีใครลาออกสักคน ย้ำตอนเลือกตั้งปี 54 อภิสิทธิ์ แข่งกับยิ่งลักษณ์ แต่อภิสิทธิ์แพ้ แปลว่า การเป็นรัฐบาลไม่ได้ทำให้ได้เปรียบ

ที่มาภาพจาก คลังภาพรัฐบาลไทย

1 ก.พ. 2562 เดลินิวส์ออนไลน์รายงานว่า ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงผลการดำเนินงานปีที่ 4 ของรัฐบาล โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนขอพูดถึงหลักการในการตัดสินใจลาออกหรือไม่ลาออก ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการรับหรือไม่รับเป็นหนึ่งในรายชื่อบัญชีนายกฯ ซึ่งการรับหรือไม่รับเสนอชื่อในบัญชีนั้น เป็นเรื่องของนโยบายว่ารับได้หรือไม่ หากรับได้ก็จะดูว่าปรับแก้อะไรได้บ้าง ถ้าแก้ไม่ได้ก็ไม่เข้ามาอยู่บ้านดีกว่า ดังนั้นหลักการที่จะพิจารณาว่าจะลาออกหรือไม่ลาออก จำคำพูดตนไว้ว่าทั่วโลกทั้งที่เป็นระบอบประชาธิปไตยและสังคมนิยม ผู้นำและทุกรัฐบาลเมื่อมีการเลือกตั้งไม่มีใครลาออก เช่น บารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐ ในการลงเลือกตั้งครั้งที่ 2 และสี จิน ผิง ประธานธิบดีจีน รวมถึงประธานาธิบดีที่อยู่ในอาเซียน มีใครลาออกหรือไม่ ตอบมา ดังนั้นอย่าไปเขียนแบบนี้อีก

"หลักการมันเป็นแบบนี้ รัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่มีฉบับไหนเขียนว่าเมื่อมีการเลือกตั้งผู้ที่อยู่ในรัฐบาลหากมีการเลือกตั้งต้องลาออก ใช่ไหมฝ่ายต่างประเทศ อย่าเอาเรื่องอื่นมาบังคับผมมากนัก ต้องดูประเทศชาติและหลักการว่าอย่างไร รัฐธรรมนูญไทย 2475 ถึงปัจจุบันก็ไม่ได้กำหนดว่าให้ลาออก และนายกฯ ก็ไม่มีใครลาออกเลยใช่หรือไม่ ปี 54 ใครเป็นนายกฯ ลาออกหรือเปล่า ก็ไม่ออก แล้วยังไปหาเสียง ครม.อีก ผมยังไม่เคยทำเลย ไม่ได้ไปแบบเขาเพราะยังไม่ไปร่วมกับพรรคการเมือง และต้องดูอีกทีว่าทำได้หรือไม่ ปี 2557 นายกฯ อีกคนกับครม.ลาออกไหม ไม่ออก จึงอย่ามาพูดส่งเดช ที่ออกไปก็เรื่องปลากระป๋อง เพราะมีความผิดก็ต้องออกไปสิ แต่ 4 รัฐมนตรียังไม่มีความผิดอะไรเลย ขอลาออกเพราะอยากไปทำการเมืองอย่างเต็มที่ ทั้งที่อยู่ได้ตามกฎหมาย จึงอย่าไปไล่ล่ากันมากนัก เดี๋ยวจะไล่ล่ารัฐมนตรีออก จะไล่นายกฯ ออก กฎหมายเขามาแบบนี้ มึงมาไล่ดูสิ ผมไม่ได้ท้าทาย แต่ผมไม่ออก"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อปี 54 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งตนจะไม่พูดชื่อแล้ว ที่ได้แข่งขันกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำไมแพ้ เป็นรัฐบาลหรือเปล่า แสดงว่าการเป็นรัฐบาลไม่น่าจะทำให้ได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นมา ขึ้นอยู่กับรัฐบาลมีผลงานหรือไม่มีผลงาน หากไม่มีประชาชนก็ไม่เลือกอยู่แล้ว เขาก็ไปคาดหวังสิ่งใหม่ๆ ที่พูดออกมาทั้งจริงบ้างและไม่จริงบ้าง นี่คือการเมืองไทย แต่นักการเมืองประเทศอื่นก็เคารพกติกาไม่มีใครมาถกเถียงในเรื่องนี้ ประเทศเราจะพูดอะไรสักอย่างก็ไม่เคยมองตัวเอง ว่าเคยพูดและทำอะไรเสียหายไว้บ้าง ที่เสียหายก็เยอะอยู่แล้วเคยพูดหรือไม่ พูดแต่สิ่งที่จะทำ จึงขอให้ไปคิดเอาเอง แต่กลับมาชี้นิ้วว่าตนทำผิดเสมอ ผิดกติกา เพื่อประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น และย้ำว่า 4 รัฐมนตรีที่ลาออกตนไม่ได้กดดัน เพราะรู้ว่าตามกฎหมายไม่ต้องออกก็อยากให้ทำงาน แต่เมื่อทั้ง 4 คนตัดสินใจลาออกก็ต้องปล่อยให้ไปทำงาน และอย่ามาคิดว่าออกเพราะกลัว เขาไม่ได้กลัวอะไร แล้วก็จะมากดดันตน ย้ำว่ากดดันไม่ได้ ตนเคารพกฎหมาย 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อีกทั้งมีคนบอกว่าทำไมมีการโจมตีรัฐบาลและคสช.มากขึ้น ซึ่งการเมืองไทยก็เป็นแบบนี้ ปฏิรูปไม่ได้ มีกระบวนการโจมตีเป็นขั้นตอน ทั้งอยากเลือกตั้ง เลื่อนเลือกตั้ง และห้ามเลื่อนเลือกตั้งอะไรต่างๆ ซึ่งยังไปเป็นเครื่องมือให้คนเหล่านี้อยู่ได้ อย่างไรก็ตามทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตนแต่อยู่ที่กระบวนการทางกฎหมายและโรดแม็พ แต่ในวันที่ 24 ก.พ. มีงานพระราชพิธี จึงต้องขยับออกไปอีก หากอยากเข้ามาก็ต้องยอมรับกติกาตรงนี้ได้ ทั้งนี้รัฐบาลรักษาการและรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มแตกต่างที่ไม่สามารถโยกย้ายข้าราบการโดยไม่จำเป็น หากไม่จำเป็นก็ไม่อยากย้ายและห้ามใช้งบประมาณโดยมีผลผูกพัน ซึ่งหากไม่จำเป็นก็ไม่ใช่ แต่บางอย่างมีความจำเป็น เช่นปี 2557 ไม่มีงบฯใช้ ไม่มีเงินจ่ายข้าราชการ ตนก็ต้องเข้ามาเร่งทำงบฯ 57 และ 58 ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญมาตรา 264 และ 265 ระบุไว้ว่า ให้นายกฯ และหัวหน้าคสช.อยู่ต่อจนมีรัฐบาลใหม่ ดังนั้นจะลาออกไม่ได้ หากนายกฯ ลาออก ครม.ก็ต้องออกทั้งหมด แล้วใครจะอยู่จัดงานและทำสิ่งที่ตนพูดมาทั้งหมด เข้าใจหรอไม่ ดังนั้นอย่ามาถามย้ำและไม่ต้องมาไล่ตน

ต่อมา ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า เวลา 16.30 น. ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับสื่อมวลชนก่อนพบอดีต 4 รัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มาเทียบเชิญให้อยู่ในบัญชีนายกฯของพรรค ถึงกรณีที่ใช้วาจาไม่สุภาพในการแถลงผลงานปีที่ 4 ของรัฐบาลว่า “ที่เมื่อเช้าพูดไม่เพราะนั้น ขอโทษด้วยก่อนแล้วกัน เพราะบางทีก็เผลอไผลไปบ้าง เราก็ไม่ได้ว่าทุกคน แต่คนที่ไม่ดีก็มีอยู่ ซึ่งคงหมายความถึงเรื่องนั้นมากกว่า บางทีก็อารมณ์ขึ้นบ้าง แต่เราพูดด้วยเหตุด้วยผล ก็ต้องขอโทษด้วย”

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คาบ้าน คนโหวตให้ 'เพื่อไทย' 94% พลังประชารัฐ 6% ในโพลล์เพจ 'เชียร์ลุง'

$
0
0

ผลโพลล์เพจเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเพจ 'เชียร์ลุง' 7 วัน คนโหวตพรรคเพื่อไทย 94% ขณะที่พรรคพลังประชารัฐได้เพียง 6% ยอดรวม 6.4 หมื่น โหวต

1 ก.พ.2562 แม้ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ องค์กรที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จะได้รับชัยชนะอยู่บ่อยครั้งเมื่อมีการสำรวจความนิยมผ่านโพลล์ต่างๆ แต่หลายครั้งเช่นกันที่มีการตั้งโพลผ่านโซเชียลมีเดียผลคะแนนกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม

ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'เชียร์ลุง'ที่มียอดถูกใจกว่า 3 หมื่น ที่เพิ่งตั้งมาเมื่อ ก.ย.61 ส่วนใหญ่เนื้อหาการโพสต์สนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตั้งโพลล์สำรวจความนิยมว่า "เลือกตั้ง 2562 คุณคิดว่า พรรคใหญ่ 2 พรรคนี้พรรคไหนจะมีคะแนนนำ"ระหว่าง พปชร. หรือพรรคพลังประชารัฐ กับ พท. หรือ พรรคเพื่อไทย

จนวันนี้เป็นเวลา 7 วัน สิ้นสุดการโหวตแล้ว ผลปรากฎว่า ได้ 6.4 หมื่น โหวต พรรคเพื่อไทย ได้ถึง 94% ขณะที่พรรคพลังประชารัฐได้เพียง 6% เท่านั้น

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผบ.ทบ. ยันกองทัพว่าตัวเป็นกลาง หลัง 4 แกนนำ พปชร. แห่ขันหมากสู่ขอประยุทธ์

$
0
0

ผบ.ทบ. ยืนยันกองทัพเป็นกลางทางการเมือง หลังพล.อ.ประยุทธ์ มีท่าทีสนใจลงสนามการเมือง ด้าน 4 แกนนำพรรคพลังประชารัฐแห่ขันหมากสู่ขอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นว่าที่นายกฯ ในบัญชีรายชื่อของพรรคแล้ว กอบศักดิ์ ระบุวันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นที่สุด

ภาพจากทวิตเตอร์ปรัชญา นงนุช

1 ก.พ. 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจุดยืนของกองทัพหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะเข้าสู่สนามการเมือง โดยจะเป็นหนึ่งในรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคพลังประชารัฐเตรียมเสนอ โดยพล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า ไม่ขอพูดเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่าที่ผ่านมากองทัพ ซึ่งเป็นหน่วยงานความมั่นคง ได้วางตัวเป็นกลางมาตลอด การตัดสินใจลงสนามการเมืองจึงเป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเอง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังเป็นหัวหน้า คสช. ด้วย ซึ่งเหล่าทัพต่างๆ ก็เป็นสมาชิกของ คสช. จากนี้กองทัพจะแบ่งบทบาทอย่างไร พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า กองทัพมีจุดยืนของกองทัพเอง การทำงานของกองทัพนั้นก็ประกาศให้ประชาชน และพรรคการเมืองทุกพรรคทราบอยู่แล้ว เช่น การส่งคนไปช่วยดูแล ติดตาม ในเรื่องการรักษาความปลอดภัย ไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ ก็ทำเช่นเดียวกันทั้งหมด กองทัพก็จะมีจุดยืนเป็นกลาง

ต่อมาเวลา 16.15 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 4 อดีตรัฐมนตรี แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค เดินทางถึงทำเนียบฯ พร้อมถือแฟ้มนโยบายพรรคและหนังสือยินยอมให้เสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

โดยอุตตม กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้านหน้าทำเนียบฯ เพียงสั้นๆ ว่า "เป็นสินสอดที่มาสู่ขอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งแฟ้มที่นำมามีน้ำหนักมากพอสมควร ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเทียบเชิญนายกฯ ภายในห้องสีม่วง

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เวลา 15.59 น.ที่พรรคพลังประชารัฐ 4 แกนนำพรรคพลังประชารัฐ นำโดย อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค , สนธิรัตน์ รุจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค , สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค และกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค ได้เดินทางออกจากพรรค เพื่อไปเทียบเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ให้มาอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ที่ทำเนียบรัฐบาล

ทั้งนี้กอบศักดิ์ กล่าวก่อนเดินทางไปยังทำเนียบด้วยว่า เป็นอีกวันหนึ่งที่ตื่นเต้นมา เพราะวันนี้กำลังจะไปเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ มาเข้าเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อของพรรค ด้านอุตตม กล่าวก่อนเดินทางออกจากพรรค ว่า ทางเราโดยมีการเตรียมนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ กฎ ระเบียบต่างๆ ของพรรค และหนังสือยินยอมให้เสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐนตรี ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ไปมอบให้ด้วย ได้เตรียมเอกสารให้ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว

"ท่านเซ็นเอกสารวันไหนก็แล้วแต่ท่าน ซึ่งทางเรามีความคาดหวังว่าท่านจะตอบรับ"อุตตม กล่าว

เรียบเรียงส่วนหนึ่งจาก: ผู้จัดการออนไลน์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แม้หายใจร่วมกัน แต่เด็กยากจนเสี่ยงสุด 'ยูนิเซฟ'ร้องรัฐมีมาตรการชัดเจนเด็ดขาด แก้ไขปัญหาฝุ่นที่ต้นตอ

$
0
0

องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่มากขึ้นในไทย ชี้แม้ว่าทุกคนหายใจโดยใช้อากาศร่วมกัน แต่เด็กยากจนเสี่ยงมากสุด เพราะไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกัน ร้องรัฐมีมาตรการที่ชัดเจนและเด็ดขาด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ

1 ก.พ.2562 จากสถานการณ์ปัญหาระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่มากขึ้นในประเทศไทยนั้น ล่าสุด องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ เรื่องมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและผลกระทบต่อเด็ก โดยแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว พร้อมระบุด้วยว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็กดังกล่าวผ่านเข้าไปในสมองของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่อยู่ในครรภ์มารดา ฝุ่นละอองเหล่านี้จะทำลายเซลล์สมอง ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสติปัญญา

"มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น ยังมีความเสี่ยงมากที่สุดต่อเด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจน ถึงแม้ว่าทุกคนหายใจโดยใช้อากาศร่วมกัน แต่เด็กจากครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องกรองอากาศ หรือหน้ากาก N95 อีกทั้งเด็ก ๆ เหล่านี้อาจต้องใช้เวลาอยู่ข้างนอกมากกว่าด้วย" องค์การยูนิเซฟฯ ระบุ

องค์การยูนิเซฟฯ ยังเรียกร้องให้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีมาตรการที่ชัดเจนและเด็ดขาด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ซึ่งรวมถึงการควบคุมการปล่อยอากาศเสีย การลงทุนในพลังงานทดแทน ระบบขนส่งมวลชน และการจัดการของเสียทางเคมีและการเกษตรที่ได้ประสิทธิภาพ

โดยมีรายละเอียดของแถลงการณ์ดังนี้

 

แถลงการณ์จากยูนิเซฟ ประเทศไทย เรื่องมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและผลกระทบต่อเด็ก

กรุงเทพฯ 1 กุมภาพันธ์ 2562 - องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยแสดงความกังวลเกี่ยวกับระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะเด็ก ๆ

ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่สูงนี้ ส่งผลกระทบต่อเด็กอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ปกติแล้ว เด็กมีอัตราการหายใจถี่กว่าผู้ใหญ่ นั่นหมายความว่าเด็กจะสูดอากาศที่มีมลพิษเข้าไปมากกว่าผู้ใหญ่ ยิ่งเด็กอายุน้อยเท่าไร อัตราการหายใจเข้าต่อนาทีก็ยิ่งถี่มากขึ้นเท่านั้น และเนื่องจากอวัยวะของเด็กกำลังพัฒนา เด็กจึงมีความเปราะบางต่อผลกระทบต่าง ๆ มากกว่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เมื่อฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ผ่านเข้าไปในสมองของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่อยู่ในครรภ์มารดา ฝุ่นละอองเหล่านี้จะทำลายเซลล์สมอง ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเรียนรู้ ความเป็นอยู่ และความสามารถในการประกอบอาชีพในระยะยาวด้วย

นอกจากนี้ มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น ยังมีความเสี่ยงมากที่สุดต่อเด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจน ถึงแม้ว่าทุกคนหายใจโดยใช้อากาศร่วมกัน แต่เด็กจากครอบครัวที่ยากจนไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องกรองอากาศ หรือหน้ากาก N95 อีกทั้งเด็ก ๆ เหล่านี้อาจต้องใช้เวลาอยู่ข้างนอกมากกว่าด้วย

มาตรการเร่งด่วนที่ทางองค์การอนามัยโลกแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อเด็กและบุคคลทั่ว ได้แก่ พยายามอยู่ในบ้านเมื่อฝุ่นละอองมีอัตราสูง ทำห้องนอนให้สะอาดโดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ควรเป็นห้องที่มีหน้าต่างน้อย ๆ หรือพยายามไม่เปิดประตูและหน้าต่าง และหากจำเป็นต้องออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน ควรสวมหน้ากากอนามัย รุ่น N95 ที่ขนาดพอดี

อย่างไรก็ตาม แนวทางเร่งด่วนเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความเสี่ยงต่อเด็ก ๆ ในระยะสั้น การลดระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กให้ได้นั้น จะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเพียงทางเดียวที่จะช่วยปกป้องสุขภาพของเด็กได้

องค์การยูนิเซฟเล็งเห็นถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยสถานการณ์ปัจจุบันนี้เป็นเหมือนการตอกย้ำว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีมาตรการที่ชัดเจนและเด็ดขาด เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ซึ่งรวมถึงการควบคุมการปล่อยอากาศเสีย การลงทุนในพลังงานทดแทน ระบบขนส่งมวลชน และการจัดการของเสียทางเคมีและการเกษตรที่ได้ประสิทธิภาพ

มีเพียงแนวทางการแก้ปัญหาระยะยาวเท่านั้นที่จะช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ และเรียนรู้ได้อย่างไม่จำกัด การแก้ปัญหาวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของรัฐ ร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับเด็ก

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

อุ้มกลับ? ผู้ลี้ภัยการเมืองเวียดนามหายตัวในไทย 1 สัปดาห์แล้ว ทางการไทยปัดเอี่ยว

$
0
0

เฉื่องซวีเญิ๊ต อดีตนักโทษการเมืองเวียดนามหายตัวไปขณะทำเรื่องขอสถานะผู้ลี้ภัยกับ UNHCR ในไทย ญาติระบุ ติดต่อไม่ได้มาหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังมีการพบเห็นตัวเขาครั้งสุดท้ายที่สำนักงาน UNHCR เมื่อ 25 ม.ค. 2562 ทางการไทยปัดคุมตัว ในอดีตเคยมีผู้ลี้ภัยเวียดนามถูกลักพาตัวกลับไปประเทศต้นทางแล้วหลายคนไม่เว้นแม้แต่ในเยอรมนี

เฉื่องซวีเญิ๊ต (ที่มา: Teu Blog)

1 ก.พ. 2562 สื่อเดอะเวียดนามมีส รายงานว่า เฉื่องซวีเญิ๊ต (Truong Duy Nhat) อดีตนักโทษทางการเมืองของเวียดนามหายตัวไปในไทย หลังมีการพบเห็นครั้งสุดท้ายที่สำนักงานของ UNHCR เมื่อ 25 ม.ค. 2562 หรือวันศุกร์ที่แล้ว

หนัดเดินทางออกจากเวียดนามมาอยู่ที่ไทยได้ 21 วันแล้วเพื่อจดสถานะเป็นผู้ลี้ภัย ก่อนหน้านี้เขาถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาสองปีเมื่อปี 2557 จากข้อหาลว่งละเมิดเสรีภาพประชาธิปไตยและผลประโยชน์ของรัฐ จากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและเหล่าผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเวียดนามบนบล็อกส่วนตัวของเขาที่ชื่อ “Another Point of View (มุมมองอีกด้าน)” โดยหนัดถูกจับตัวตั้งแต่ปี 2556 และถูกกักขังระหว่างไต่สวน

เพื่อนและครอบครัวของเขายืนยันว่าไม่ได้ข่าวคราวของหนัดตั้งแต่เสาร์ที่ผ่านมา ครอบครัวยืนยันว่าหนัดไม่ได้ถูกทางการไทยจับกุมตัว และไม่ได้ถูกกักตัวที่สถานกักตัวคนต่างด้าว ซ.สวนพลูแต่อย่างใด โทรศัพท์ของหนัดก็ไม่ได้ถูกปิด แต่เมื่อโทรไปแล้วไม่มีคนรับ ขณะนี้ภรรยา ซึ่งปัจจุบันยังอยู่เวียดนามและลูกสาวที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศแคนาดาต่างเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา

ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า องค์กรที่ทำงานด้านผู้ลี้ภัยที่อำนวยความสะดวกให้กับหนัดเองก็ไม่สามารถติดต่อหนัดได้ โดยพวกเขาไม่พบหนัดในห้องโรงแรมที่จองเอาไว้

การหายตัวไปของผู้ลี้ภัยชาวต่างแดนในเวียดนามไม่ใช่เรื่องใหม่ ในปี 2559 ฉิ่งเซวินแทง (Trinh Xuan Thanh) อดีตผู้บริหารบริษัทน้ำมันของรัฐชื่อเปโตรเวียดนาม หายตัวไปจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีที่เขาลี้ภัย หลังถูกรัฐบาลเวียดนามตัดสินจำคุกตลอดชีวิตจากข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชัน ทางการเยอรมันเชื่อว่าการลักพาตัวดังกล่าวเป็นภารกิจลับที่กระทำโดยทางการเวียดนาม ในปี 2561 มีการนำชาวเวียดนามคนหนึ่งขึ้นศาลที่เบอร์ลิน โดยเลห์นาร์ด  ผู้เป็นอัยการระบุว่า ชาวเวียดนามคนดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ยืมรถสองคันเพื่อใช้ในการลักพาตัว ซึ่งโดยหลักฐานแล้วตัวอัยการเชื่อว่าปฏิบัติการดังกล่าวถูกวางแผนและลงมือโดยหน่วยงานลับของเวียดนามผ่านความร่วมมือของสมาชิกในสถานทูตเวียดนามประจำกรุงเบอร์ลิน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลด้านลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและเวียดนาม

ในปี 2551 เลชี้ตฺเวะ (Le Tri Tue) นักกิจกรรมที่ต่อต้านรัฐบาลเวียดนามก็หายตัวไปจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา แม้ว่าจะได้รับการคุ้มครองในฐานะผู้ลี้ภัยโดยองค์การสหประชาชาติแล้วก็ตาม

ในปี 2548 ทิกญ์ชี้หลึก (Thich Tri Luc) พระสงฆ์ชาวเวียดนามที่ต่อต้านรัฐบาลก็ถูกลักพาตัวขณะลี้ภัยที่กัมพูชา ปฏิบัติการกระทำกันโดยเจ้าหน้าที่เวียดนามและกัมพูชาแม้หลึกได้รับการรับรองสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจาก UNHCR แล้วก็ตาม โดยเขาถูกลักพาตัวแล้วนำตัวกลับเวียดนามโดยไม่เต็มใจ

แปลและเรียบเรียงจาก

Former Political Prisoner, Truong Duy Nhat, Disappeared In Thailand After Seeking Refugee Status With UN, The Vietnamese, Feb. 1, 2019

Vietnamese on trial in Berlin over kidnapping of ex-oil exec, Reuters, Apr. 24, 2018

Vietnamese Dissident’s Disappearance Probed, The Cambodia Daily, May 19, 2007

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live