Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live

‘Shoot it Rights’ เวิร์คชอปถ่ายภาพสารคดีสิทธิฯ ให้คนในพื้นที่เล่าเรื่องตัวเอง

$
0
0

กลุ่มช่างภาพ ‘เรียลเฟรม’ ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย จัดเวิร์คชอปเล่าเรื่องด้วยภาพถ่าย หลากหลายประเด็นและความสนใจด้านสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่ชุมชนมุสลิม ความเป็นหญิงที่ดี จนถึงกลุ่มเด็กรักการซิ่งรถ ฯลฯ

 

“เราทำงานภาพมาเยอะประมาณหนึ่ง อย่างหนึ่งที่เราเห็นปัญหาคือเราเป็นคนพูดแทนเขา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพูดด้วยตัวเองมันจะมีพลังมากกว่า”

ยศธร ไตรยศ หนึ่งในสมาชิกเรียลเฟรม (Realframe) กลุ่มช่างภาพอิสระที่มีจุดร่วมเหมือนกันคือการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านรูปถ่ายที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของโครงการเวิร์คชอป ‘Shoot it Rights 2’ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว

‘Shoot it Rights 2’ คือเวิร์คชอปถ่ายภาพที่ประกาศรับสมัครผู้สนใจการถ่ายภาพและประเด็นในเชิงสิทธิมนุษยชน โดยเรียลเฟรมร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล และคณะ ICTม.ศิลปากร มีวัตถุประสงค์ในการถ่ายทอดวิธีคิดและกระบวนการทำงานเล่าเรื่องด้วยภาพถ่ายอย่างมืออาชีพ ควบคู่กับการตระหนักถึงความสำคัญของสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน ทั้งในฐานะผู้ผลิตผลงานภาพถ่ายและในฐานะของผู้บริโภคที่รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อหลายๆ ช่องทางในปัจจุบัน

นอกจากนี้ หลังจากเวิร์คชอปเสร็จ ยังมีการจัดแสดงผลงานชุดภาพถ่ายของผู้เข้าร่วม เมื่อวันที่ 12-13 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ชุมชนแพร่งภูธร กรุงเทพฯ

 

ทักษะเข้าสังคม สิ่งจำเป็นในการถ่ายภาพสารคดี

ยศธรเล่าว่า ครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างจากครั้งที่แล้วมาก เพียงแต่มีเนื้อหาบางอย่างที่เราปรับให้มันเหมาะกับการเอาไปใช้มากขึ้น มีการบรรยายในประเด็นเช่น การเลือกประเด็นที่จะทำงาน โดยธิติ มีแต้ม จากเว็บไซต์ 101world การใช้ภาพในการสื่อสาร โดยวิทิต จันทามฤต ซึ่งเป็นช่างภาพที่ถนัดเล่าเรื่องด้วยภาพในสไตล์ร่วมสมัย ไม่ใช่แค่สไตล์สารคดีแบบคลาสสิครวมถึงเรื่องวิธีการสื่อสารแบบข่าวและสารคดี โดยอ.สุชาดา จักรพิสุทธิ์จากเว็บไซต์ TCIJ และเรื่องมานุษยวิทยาในการทำงานภาพถ่าย โดย สมัคร์ กอเซ็ม ซึ่งเป็นทั้งนักมานุษยวิทยาและศิลปิน

“เด็กรุ่นใหม่ใช้สื่อหรือแพลตฟอร์มที่หลากหลายขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการแบบไหนเราเชื่อว่ามันสามารถเล่าเรื่องได้ ถ้าเขารู้จักเลือกใช้เราบอกกับทุกคนเสมอว่า 60-70% ของการทำงานสารคดีหรือการเล่าเรื่องมันเป็นเรื่องทักษะการทำงานกับสังคม ซึ่งเป็นทักษะทางมานุษยวิทยาหรือสังคมวิทยา อีก 30-40% ถึงเป็นเรื่องฝีมือหรือทักษะการถ่ายภาพ ซึ่งเราพบว่าน้องๆ หลายคนมีปัญหากับการทำงานกับคน มีปัญหากับการเอาตัวเองไปปะทะคนแปลกหน้า” ยศธรกล่าว

หากอธิบาย รูปถ่ายสารคดีอาจแบ่งง่ายๆ เป็นสารคดีแบบคลาสสิค คือการติดตามตัวละครหรือซับเจคที่เราเลือกไป อีกแบบคือแบบร่วมสมัยหรือคอนเซ็ปต์ชวล ซึ่งเป็นการใช้ส่วนผสมของงานศิลปะเข้ามา ไม่ต้องเล่าเรื่องตรงๆ เปิดพื้นที่ให้ตีความมากขึ้น ไม่ต้องปะทะกับตัวละครโดยตรง เล่าผ่านสิ่งรายล้อมของเขามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นถ่ายแค่มนุษย์ 

ซึ่งยศธรมองว่าแนวโน้มคนรุ่นใหม่จะสนใจแบบที่สองมากขึ้น และอีกเหตุผลคือด้วยระยะเวลาของค่ายที่มีจำกัด การตามใครสักคนเพื่อถ่ายอาจต้องใช้เวลานาน มีผลให้การทำแบบคลาสสิคเป็นไปได้ยาก ขณะที่แบบร่วมสมัยถ้าวางแผนดี ไอเดียชัด จะใช้เวลาทำงานน้อยกว่า

 

คนเก็บขยะ-คนไร้บ้าน ไม่ใช่ทั้งหมดของภาพถ่ายสารคดี

เมื่อให้เขาเล่าถึงปัญหาที่พบ ยศธรเล่าว่าบางครั้งผู้เข้าร่วมยังขาดประสบการณ์และมุมมองการรับรู้ที่มีต่อสังคม เช่น การทำให้บางอย่างกลายเป็นสิ่งดราม่าเกินไป 

“เวลาเราถามเขาว่าถ้าอยากจะไปตามถ่ายใคร มันจะเป็นคนเก็บขยะหรือโฮมเลสขึ้นมา 4-5 คน ซึ่งไม่ได้ผิด ตัวละครบางคนน่าสนใจจริงๆ แต่มันสะท้อนให้เห็นมุมมองของเขาที่มีต่อสังคมยังมีน้อย หรือบางทีเขาคิดว่าคนกลุ่มนี้จะต้องมีอะไรดราม่า มีอะไรที่สังคมจะตื่นเต้นกับมัน แต่เขาไม่ได้อยากเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ไปพร้อมกับกระบวนการทำงาน ปัญหาสังคมที่เราบอก ไม่ได้จำกัดแค่สิทธิมนุษยชน แต่เราเปิดกว้างต่อทุกประเด็นที่เขาจะตั้งคำถามกับมันได้ เช่น ประเด็นความเหลื่อมล้ำประเด็นการศึกษา” ยศธรกล่าว

หรืออีกแบบหนึ่งคือ ยศธรมองว่าการยึดกับหลักสิทธิมนุษยชนมากเกินไปก็จะทำงานลำบาก ถ้าตั้งการ์ดว่าการทำทุกอย่างเป็นการละเมิดไปหมด เช่น การถ่ายคนในที่สาธารณะ หรือการเรียกคนที่เราถ่ายว่าซับเจ็ค 

“ในความเห็นเรามองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรายังเห็นเขาเป็นคน และทุกคนก็เป็นซับเจ็คของใครก็ได้ทั้งนั้น มันขึ้นกับว่าเราทำงานอะไร ด้วยเจตนาอะไร เพื่ออะไร แค่นั้น คิดว่ามองแบบนี้ดีกว่า ทำงานได้ง่ายกว่า” 

 

เมื่อคนในพื้นที่ลุกขึ้นพูดจะมีพลังมากกว่า

เนื่องจากเวิร์คชอปครั้งนี้ต้องการคนที่แตกต่างหลากหลายเข้าร่วม ซึ่งได้คัดเลือกผู้เข้าร่วมจากทั้งผลงานและประเด็นที่สนใจ จึงได้ความแตกต่างหลากหลายทั้งแง่อาชีพ พื้นที่ อายุ เช่น ผู้เข้าร่วมจากชายแดนใต้ ผู้เข้าร่วมปกาเกอะญอ นักศึกษา นักเคลื่อนไหว 

“เราทำงานภาพมาเยอะประมาณหนึ่ง อย่างหนึ่งที่เราเห็นปัญหาคือเราเป็นคนพูดแทนเขา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพูดด้วยตัวเองมันจะมีพลังมากกว่า เพราะเขาเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ เพียงแค่เขาเล่าในมุมมองเขา ซึ่งที่เขาเผชิญอยู่ มันอาจตรงประเด็นกว่า อิมแพคกว่า

ในยุคนี้ที่คุณสามารถทำงานแล้วผลิตสื่อออกมาได้เอง ถ้าคุณมีเครื่องมือที่ถูกต้อง เราว่าภาพถ่ายมันเป็นเครื่องมือที่คลาสสิคที่ยังใช้ได้ ยังอยู่เหนือกาลเวลา ถ้าเขาลุกขึ้นมาเล่าเรื่องด้วยตัวเองผ่านเครื่องมือในสมัยนี้ที่ราคาถูกลง มีวิธีคิดที่ดี ก็จะสามารถทำงานออกมาได้หลากหลายกว่าเราอีก

เราเชื่อว่าที่ผ่านมามีคนทำประเด็นอะไรเยอะแยะไปหมด แต่มันขาดแค่เรื่องการสื่อสาร ถ้าเขาทำสื่อเป็น ใช้ภาพเล่าเรื่องเป็น จะทำให้งานเหล่านี้ไปไกลได้มากกว่าที่เป็น” ยศธรกล่าว

 

มูลีด ลาเต๊ะ: ความเป็นอยู่ของมุสลิมในเมือง

มูลีด ลาเต๊ะ หนึ่งในผู้เข้าร่วมเวิร์คชอปจากปัตตานีเล่าว่า เรียนจบด้านการถ่ายภาพ ปัจจุบันเป็นช่างภาพงานแต่งงานและงานรับปริญญา สนใจเข้าร่วมเพราะอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยากเรียนรู้การถ่ายภาพเพิ่มเติม โดยประเด็นที่เขาสนใจคือ ความเป็นอยู่ของมุสลิมในเมืองหลวงทั้งเรื่อง การกิน การใช้ การทำงาน การละหมาด ซึ่งเขาเห็นว่าคล้ายกับที่ปัตตานี ต่างกันตรงที่คนมุสลิมที่กรุงเทพฯ บางคนไม่ไปละหมาด 

“เป็นครั้งแรกที่มากรุงเทพฯ แรกๆ ก็กลัวจะมากรุงเทพฯ รถมันเยอะ พอมาก็ไปคนเดียว เดินคนเดียวได้ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิดไว้ พูดไทยก็ไม่ค่อยแข็งแรง แต่เราได้ลงพื้นที่ที่เราไม่เคยไป ที่นี่อยู่ร่วมกันได้ คนมุสลิมกับคนไทยพุทธ แต่ที่บ้านคนมุสลิมจะอยู่กับคนมุสลิม คนไทยพุทธก็จะอยู่กับคนไทยพุทธ น่าสนใจที่ที่นี่อยู่ร่วมกันได้ อยู่ชุมชนเดียวกัน อยู่ติดๆกัน” มูลีดกล่าว

มูลีดมีแผนว่าหลังจากเวิร์คชอปนี้ กลับไปจะลองนำสิ่งที่ได้เรียนไปทำงานของตัวเองดู ซึ่งประเด็นที่มูลีดสนใจคือคนที่เคยโดนควบคุมตัวในค่ายทหารในจังหวัดปัตตานี ซึ่งเขาอยากไปนั่งคุยกับถึงรายละเอียดเหตุการณ์ ก่อนและระหว่างที่ถูกควบคุมตัว และหลังจากออกมาแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

 

 

ศุภกานต์ ผดุงใจ: ความเป็นผู้หญิงที่ดี

ศุภกานต์ ผดุงใจ นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์เล่าว่า เวิร์คชอปนี้ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำงาน ทั้งเรื่องการถ่ายภาพและคอนเทนต์ โดยประเด็นที่เธอทำนั้นเริ่มจากสิ่งใกล้ตัว คือประเด็นความเป็นหญิงที่ดีในสังคมไทย

“เราเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมา เริ่มตั้งคำถามกับความเป็นหญิงที่ดีในสังคมไทยแบบโรงเรียนหญิงล้วน ทำไมต้องใส่เสื้อทับ ทำไมกระโปรงต้องห้ามสั้น ซึ่งพอเราหาคำตอบ เราพบว่าจริงๆ แล้วโรงเรียนก็มีเหตุผลเพราะไม่อยากให้เด็กโป๊ แต่สังคมอาจมีค่านิยมของผู้หญิงที่ดีเพียงแบบเดียวซึ่งเหมือนกับโรงเรียนหญิงล้วน เป็นเรื่องที่เราไม่โอเคเท่าไหร่ เพราะสำหรับเราคำนิยามของผู้หญิงที่ดีมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละคำนิยามไม่ได้ผิด เพียงแต่คำนิยามของเราอาจจะไม่ตรงกับของโรงเรียน ภาพที่ออกมาจะใช้สัญลักษณ์แทนความหมายมากกว่า ซึ่งเป็นแนวคอนเซปต์ชวลมากกว่าจะเป็นแบบสารคดี” ศุภกานต์กล่าว

 

สุภาพร ธรรมประโคน: ชุมชนคนรักการซิ่งรถ

สุภาพร ธรรมประโคน ผู้เข้าร่วมเวิร์คชอป ‘Shoot it rights 1’ ปีที่แล้ว ซึ่งได้นำผลงานมาร่วมแสดงในงานครั้งนี้ด้วย โดยผลงานของเธอเล่าเรื่องของแก๊งค์เด็กซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่เราอาจคุ้นเคยในนาม ‘เด็กแว๊น-สก๊อย’ เล่าให้ฟังถึงการเวิร์คชอปที่เคยเข้าร่วมว่า ช่วยในเรื่องของเทคนิค องค์ประกอบ การเล่าเรื่อง ทำให้ความคิดบางอย่าง มุมมองบางอย่างเปลี่ยนเช่น ความเข้าใจคน มองคนให้ลึกขึ้นในความเป็นปัจเจกมนุษย์คนหนึ่ง หรือการเล่าเรื่อง ที่บางครั้งไม่ต้องสื่อตรงๆแบบภาพข่าว แต่บางอย่างสื่อผ่านสัญลักษณ์หรือภาษากายได้ 

สุภาพรเล่าถึงกระบวนการถ่ายภาพชุดนี้ว่า เธอลงพื้นที่แถวปากน้ำ สมุทรปราการ ซึ่งเป็นแถวบ้านเพื่อน และลองขับรถตระเวนดูตามร้าน หลังจากพบร้านหนึ่งที่มีการรวมกลุ่มของเด็กเหล่านี้เยอะพอสมควร เธอจึงเดินเข้าไปทำความรู้จัก—อย่างง่ายดายขนาดนั้น

 “คือต้องอาศัยความกล้าระดับหนึ่ง แต่เราก็อยากรู้จักพวกเขาจริงๆ คิดว่าการทำความรู้จักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับช่างภาพ บางทีจำเป็นมากกว่าการถ่ายภาพ 

ถ้าคุยกันครั้งหนึ่งมันอาจไม่ได้เข้าใจอะไรมากไปกว่าเขาชื่ออะไร อยู่ที่ไหน เราอยากเข้าใจเขามากกว่านี้ เขาเป็นใคร ทำไมเขาชอบแบบนี้ เหมือนการทำความรู้จักเพื่อนคนหนึ่ง พอเรารู้จักเพื่อนเราจะได้เห็นมิติชีวิตเขาในหลายด้าน ที่ไม่ใช่แค่เขาซิ่งรถ เราเห็นมิตรภาพบนท้องถนนที่มันเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ซึ่งมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจกันเอง

ตอนแรกเขาปิดกั้นมากๆ มีคำถามเยอะมาก เราพยายามตอบ เขาก็ไม่เข้าใจ แต่เราเข้าใจว่าบางอย่างต้องใช้เวลา เราลงไปหาแก๊งค์นี้หลายครั้งมาก จนสุดท้ายเขายอมพูดกับเรา เราตามเขาไปทุกที่ แลกเปลี่ยนกับพวกเขาเยอะมาก เขาไม่ได้เรียกตัวเองว่าแวนซ์หรือสก๊อย เขาบอกว่าเขาก็แค่คนที่รักรถซิ่งคนหนึ่ง บางอย่างเราอาจมีความเห็นไม่ตรงกับเขา แต่สุดท้ายเขาก็เปิดใจกับเราจริงๆ เขาถามว่าเราจะเอารูปพวกนี้ไปทำร้ายเขาไหม เพราะเขาก็อยู่ในพื้นที่สีเทา เราก็เล่าให้ฟังว่าสิ่งที่เราทำเป็นยังไง”สุภาพรเล่า

หลังจากนั้นเธอยังเข้าไปคุยกับครอบครัวของเด็กเหล่านี้ ซึ่งก็ไม่ค่อยอยากให้ลูกทำอะไรแบบนี้ แต่ด้วยบริบทสังคมที่เขาอยู่ ชุมชนนั้น การซิ่งรถจริงเป็นเสมือนสังคมของพวกเขา

“บางทีสังคมโยนความผิดให้เขา ว่าการทำแบบนี้ไม่โอเค แต่เขารักที่จะซิ่ง เพียงแค่ไม่มีพื้นที่ให้เขา แถวนั้นมีแค่ถนนแถวบ้าน เขาก็ซิ่งกันอยู่ตรงนั้น พอเราถามว่าคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง น้องบอกว่าอยากให้มีสนามแข่ง อย่างในกรุงเทพฯ ตอนนี้ก็มีแค่ไม่กี่ที่ เวลาจัดงานแข่งพวกเขาก็ไปทุกครั้ง แต่บางทีมันไกล ถ้าผู้ใหญ่เพิ่มพื้นที่ให้เขา สนับสนุนไปเลย ก็น่าจะเป็นไปได้" 

สุภาพพรเห็นว่าการถ่ายรูปของเธอเป็นการบอกเล่าว่ามีกลุ่มคนเหล่านี้ในสังคม ไม่ได้อยากทำลายอคติที่คนอื่นมองพวกเขา เพราะบางครั้งเธอเห็นว่ามันก็เป็นแบบนี้จริงๆ

“อยากให้รู้ว่ามีพวกเขาในสังคม มีวัฒนธรรมของเขา มีโลกของเขา เหมือนที่เรามีโลกของเรา มีความชอบของเรา ไม่ได้อยากทำให้คนรู้สึกเกลียดหรือรัก แต่อยากให้เห็นความจริงว่ามันเป็นแบบนี้แต่เราจะอยู่ร่วมกันยังไง บางทีต้องอาศัยความเข้าใจ เข้าใจเขาที่มีหลายมิติ โดยไม่ให้อคติบดบัง” สุภาพรกล่าว

 

 

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาการทำงานในภาคประมง

$
0
0

ประเทศไทยแสดงความมุ่งมั่นที่จะดูแลความเป็นอยู่และสภาพการทำงานที่ยอมรับได้ของแรงงานประมงบนเรือประมงโดยให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการทำงานในภาคประมง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ได้ให้สัตยาบันและยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

1 ก.พ.2562 เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 21. 00 น.(ตามเวลาในประเทศไทย) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา พร้อมด้วย จรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ 
ยื่นสัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง พ.ศ.2550 (ค.ศ.2007) ต่อ กาย ไรเดอร์ (Mr.Guy Ryder) ผู้อำนวยการใหญ่ ILO เป็นผู้ต้อนรับและรับสัตยาบันสาร ณ ห้อง Cabinet สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส

เว็บไซต์องค์การแรงงานระหว่างประเทศ  รายงานว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาการทำงานในภาคประมง พ.ศ.2550 (ฉบับที่ 188) ซึ่งคุ้มครองการทำงานและสภาพความเป็นอยู่ของแรงงงานบนเรือประมง

รายงานจาก ILO ระบุว่า อนุสัญญาการทำงานในภาคประมงมีข้อกำหนดที่มีผลผูกมัดเกี่ยวกับการทำงานบนเรือประมงที่รวมถึงความปลอดภัยในการประกอบอาชีพและสุขภาพ การดูแลทางการแพทย์ขณะที่ออกทะเลและที่ชายฝั่ง เวลาพักผ่อน ข้อตกลงการทำงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและการประกันสังคม อนุสัญญาฉบับนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่าเรือประมงมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับแรงงานประมงบนเรือ

อุตสาหกรรมการประมงพาณิชย์และอาหารทะลไทยมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลรายใหญ่รายหนึ่งของโลก ภาคการประมงและการแปรรูปอาหารทะเลของไทยมีการจ้างงานมากกว่า 600,000 คนในปี 2560 โดยเป็นแรงงานข้ามชาติจดทะเบียนจำนวน 302,000 คน ภาคการประมงอย่างเดียวมีการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติมากกว่า 57,000 คนที่ทำงานบนเรือประมงพาณิชย์ประมาณ 10,550 ลำในปี 2560

อนุสัญญาการทำงานในภาคประมงจะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย ตั้งแต่ 30 มกราคม 2563 หนึ่งปีหลังจากการให้สัตยาบัน

โครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่งของ ไอแอลโอ ซึ่งได้รับทุนจากสหภาพยุโรปจะให้การสนับสนุนรัฐบาลไทย องค์กรนายจ้างและองค์กรลูกจ้างในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมประมงพาณิชย์ของไทยต่อไป

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ผสานวัฒนธรรม'ขอ จนท.หยุดใช้มาตรการทหารทุกรูปแบบในโรงเรียน แนะให้ใช้หน่วยงานพลเรือน

$
0
0

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ เรียกร้อง หยุดการใช้มาตรการทหารทุกรูปแบบในโรงเรียน เสนอว่าควรเปลี่ยนมาตรการในการตรวจสอบ และควบคุมโดยใช้หน่วยงานพลเรือนแทนกำลังทหาร และเข้ามารับบทบาทหลักในการพัฒนาการศึกษาระดับท้องถิ่นให้ได้คุณภาพมาตรฐานเพื่อผลประโยชน์เด็กและเยาวชนและจะมีผลในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประชาชน ชุมชนกับเจ้าหน้าที่รัฐในระยะยาว   

ภาพจาก Wartani

1 ก.พ.2562 จากกรณีคืนวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารติดอาวุธอย่างน้อย 6 คนจากหน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 42 บุกเข้ามาในบริเวณสถาบันศึกษาปอเนาะมัดรอสาตูลฟาละห์ จ.ปัตตานี โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า พร้อมปิดล้อมตรวจค้นและจับกุมบุคคลกว่าสิบคน ต่อมาได้รับการปล่อยตัวแล้ว  โดยมีรายงานว่ามีการตรวจดีเอ็นเอบุคคลทั้งสิ้นจำนวนรวมกว่า 30 คน  นอกจากนี้ยังมีนักเรียนชาวกัมพูชาอายุ 18-40 ปีที่ไม่มีหนังสือเดินทางหรือหนังสือเดินทางหมดอายุอีกเป็นจำนวน 11 คน

วานนี้ (31 ม.ค.62) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการณ์ เรียกร้อง หยุดการใช้มาตรการทหารทุกรูปแบบในโรงเรียน โดยเสนอว่าควรเปลี่ยนมาตรการในการตรวจสอบ และควบคุมโดยใช้หน่วยงานพลเรือนแทนกำลังทหาร และเข้ามารับบทบาทหลักในการพัฒนาการศึกษาระดับท้องถิ่นให้ได้คุณภาพมาตรฐานเพื่อผลประโยชน์เด็กและเยาวชนและจะมีผลในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประชาชน ชุมชนกับเจ้าหน้าที่รัฐในระยะยาว   

รายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมแถลงการณ์ : หยุดการใช้มาตรการทหารทุกรูปแบบในโรงเรียน แนะให้ใช้หน่วยงานพลเรือน

เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2562  ช่วงเวลาประมาณเวลา 22.30 น. ณ สถาบันศึกษาปอเนาะมัดรอสาตูลฟาละห์ เลขที่4 หมู่ 4 ตำบลถนน อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าทีได้ปิดล้อมตรวจค้นและจับกุมบุคคลกว่าสิบคน หนึ่งในผู้ถูกจับกุมคือ นายสะอูดี เลาะแม็ง อายุ 50 ปี เจ้าของสถาบันศึกษาฯ ซึ่งต่อมาได้รับการปล่อยตัวแล้ว  โดยมีรายงานว่ามีการตรวจดีเอ็นเอบุคคลทั้งสิ้นจำนวนรวมกว่า 30 คน  นอกจากนี้ยังมีนักเรียนชาวกัมพูชาอายุ 18-40 ปีที่ไม่มีหนังสือเดินทางหรือหนังสือเดินทางหมดอายุอีกเป็นจำนวน 11 คน 

ในช่วงเวลาดังกล่าว เจ้าหน้าที่ทหารติดอาวุธอย่างน้อย 6 คนจากหน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 42 บุกเข้ามาในบริเวณสถาบันศึกษาฯโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และบังคับให้เจ้าของโรงเรียนค้นห้องพักของนักเรียนทุกห้องแต่ไม่ได้พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้ารายงานว่า การตรวจค้นและจับกุมเกิดจากเบาะแสในพื้นที่ว่ามีบุคคลต้องสงสัยฝึกฝนการ “ต่อสู้ด้วยมือเปล่า” ติดต่อกันหลายวันในเวลากลางคืน ณ สถาบันศึกษาปอเนาะแห่งนี้ ซึ่งภายหลังนายอับดุลอาซิส ยานยา นายกสมาคมสถาบันการศึกษาปอเนาะ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ออกมายืนยันว่า กิจกรรมต้องสงสัยนี้เป็นเพียงการละเล่นพื้นบ้านของชาวกัมพูชาเท่านั้น อย่างไรก็ดีขณะนี้นักเรียนชาวกัมพูชาทั้ง 11 คนยังคงถูกควบคุมตัวเพื่อการสืบสวนอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

ทั้งนี้ภาพถ่ายที่ปรากฏตามข่าวแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่บางคนปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมอย่างรุนแรงและใช้กำลังเกินกว่าเหตุ    อันถือเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวในสถานศึกษาซึ่งควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพลเรือนในทุกสถานการณ์ แม้กระทั่งในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางอาวุธ

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอชื่นชมเจตนารมณ์อันดีของหน่วยเฉพาะกิจทหารพราน 42 ที่ต้องการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้ทางมูลนิธิฯ ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ปฏิบัติการทางทหารในการควบคุมจัดการโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของการรักษาความปลอดภัยแต่สาธารณะชน ดังนี้

1.        แม้เจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลที่เป็นเหตุให้สงสัยกิจกรรมยามกลางคืนของนักเรียนสถาบันศึกษาปอเนาะมัดรอสาตูลฟาละห์ เจ้าหน้าที่ก็ควรดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากบุคคลต่างๆ รวมทั้งเจ้าของหรือผู้ดูแลโรงเรียนโยวิธีที่ละมุนละม่อมและได้ผลเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ชุมชนรอบข้างโดยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารตามอำนาจกฎอัยการศึกดังที่เกิดขึ้น

2.        การติดตามจับกุมบุคคลย่อมกระทำได้หากเกิดการกระทำความผิดซึ่งหน้าและผู้ต้องสงสัยพยายามหลบหนี อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของพยานที่มูลนิธิฯได้รับมา แม้ว่าเด็กนักเรียนกำลังเล่นกันในโรงเรียนเป็นปกติ เจ้าหน้าที่กลับสั่งให้นักเรียนคว่ำหน้าและเอามือไขว้หลัง รวมทั้งการใช้ปืนยิงแบบแห่ในการควบคุมตัวนักเรียน การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ

3.        การเผยแพร่ภาพถ่ายเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นภาพถ่ายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ต่อสื่อมวลชนในทางสาธารณะ ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หากรูปภาพและข้อมูลได้รับการเผยแพร่โดยยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน อาจเป็นก่อให้เกิดการตีตราผู้ที่ปรากฏอยู่ในภาพได้และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนคนเหล่านั้นได้

4.        การควบคุมตัวเด็กไม่ว่าชนชาติใดที่มีอายุอายุต่ำกว่า 18 ปี แม้เป็นการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ก็ควรดำเนินการโดยอิงจากพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553  ปัจจุบันเด็กนักเรียนทั้งหมดยังคงอยู่ในการควบคุมตัวของหน่วยทหารที่ค่ายอิงคยุทธบริหารโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา มูลนิธิฯจึงมีความกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเด็กอย่างเหมาะสมตามตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิที่เด็ก และสิทธิที่พึงมีในกระบวนการยุติธรรม

5.        นอกจากนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานทหารพยายามดำเนินการหลายมาตรการเพื่อควบคุมโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนตาฎีกาจำนวนมากโดยการตรวจตราและตรวจค้น บางกรณีถึงหน่วยงานความมั่นคงขอชั่วโมงการเรียนการสอนในชั้นเรียน หรือการจับกุมครูโรงเรียนตาฎีกา หลายโรงเรียนไม่มีครูตาฏีกาผู้ชาย หรือกรณีล่าสุดมีการจับกุมครูตาฎีกาหญิง เป็นต้น มาตรการดังกล่าวสร้างความหวาดกลัวไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและความขัดแย้งต่อรัฐมาโดยตลอด

มูลนิธิฯ จึงขอเสนอว่าควรเปลี่ยนมาตรการในการตรวจสอบ และควบคุมโดยใช้หน่วยงานพลเรือนแทนกำลังทหาร และเข้ามารับบทบาทหลักในการพัฒนาการศึกษาระดับท้องถิ่นให้ได้คุณภาพมาตรฐานเพื่อผลประโยชน์เด็กและเยาวชนและจะมีผลในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประชาชน ชุมชนกับเจ้าหน้าที่รัฐในระยะยาว  

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เฟสบุ๊คมีมาตรการรับเลือกตั้งไทย ห้ามต่างชาติโฆษณาหาเสียง มีทีมตรวจข่าวลวง

$
0
0

เฟสบุ๊คประกาศมาตรการรองรับการเลือกตั้งในไทย ห้ามโฆษณาเกี่ยวกับพรรคการเมือง การเลือกตั้งไทยที่ส่งมาจากต่างประเทศ ให้มีทีมงานตรวจตราเนื้อหาไม่เหมาะสม ข่าวปลอมตลอด 24 ชม. 

(ที่มาภาพ: pexels)

1 ก.พ. 2562 เฟสบุ๊ค เครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่เปิดเผยในห้องข่าว หรือเฟสบุ๊คนิวส์รูมว่ามีมาตรการปกป้องการเลือกตั้งในไทยที่จะมีขึ้นใน 24 มี.ค. 2562 โดยระบุว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมา เฟสบุ๊คเรียนรู้จากการเลือกตั้งทุกครั้ง และได้เพิ่มศักยภาพในการลบบัญชีเฟสบุ๊คปลอม ลดข่าวลวง ขัดขวางผู้ไม่ประสงค์ดี สนับสนุนการเลือกตั้งที่มีข้อมูลเพียงพอและมีส่วนร่วม รวมถึงความโปร่งใสของโฆษณาด้วย ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อคุ้มครองความสมบูรณ์ของการเลือกตั้ง และเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าพวกเขามีเสียงในกระบวนการทางการเมือง

มาตรการที่เฟสบุ๊คนำมาใช้กับการเลือกตั้งไทยคือ การห้ามลงโฆษณาเกี่ยวกับการเลือกตั้งในประเทศไทยที่มาจากต่างประเทศ โดยวางแผนว่าจะเริ่มใช้ตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. เป็นต้นไป ประเภทโฆษณาที่อ้างอิงถึงพรรคการเมือง สัญลักษณ์ การหาเสียง นักการเมือง คำขวัญพรรค หรือการรณรงค์ไปจนถึงข่มขู่ไม่ให้ไปเลือกตั้ง โดยเฟสบุ๊คจะใช้ระบบตรวจตราทั้งแบบอัตโนมัติและโดยมนุษย์เพื่อพิจารณาโฆษณาที่ไม่ควรได้ลง

เฟสบุ๊คจะมีทีมงานดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงในการรับมือไม่ให้มีการใช้แพลตฟอร์มในทางที่ผิด และมีแผนจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อประสานงานเรื่องข้อมูลปลอม หรือข่าวปลอมกับศูนย์ใหญ่ที่สหรัฐฯ

ในกรณีข่าวปลอมนั้น เฟสบุ๊คมีมาตรการอยู่แล้วว่าแบ่งแนวทางปฏิบัติเป็นสามระดับ หนึ่ง ลบเนื้อหาที่ะเมิดมาตรฐานของชุมชนเฟสบุ๊ค สอง หากเนื้อหานั้นไม่ได้ละเมิดมาตรฐานชุมชน แต่เข้าข่ายว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวหรือเป็นเนื้อหาที่ล่อการคลิก (คลิกเบท) ก็จะลดอัตราการเข้าถึง และท้ายสุดที่ทำอยู่ตอนนี้คือการให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริบทของเนื้อหาและเจ้าของเนื้อหานั้น

ที่ผ่านมาเฟสบุ๊คตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2559

ไทม์ไลน์เฟซบุ๊กปล่อยข้อมูลรั่ว 50 ล้านคน จากแอพฯ ทายบุคลิกสู่ผลเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ

เดอะการ์เดียนสรุป 5 เรื่องที่ได้รู้จากการไต่สวน 'มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก'ในสภาคองเกรส

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เถรวาทในเอเชียอาคเนย์ การกอบกู้มรดกวัฒนธรรมจากจิตรกรรมพุกาม

$
0
0

โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ศ.ดร.เสมอชัย พูลสุวรรณ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในบริบทวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ (คริสต์ศตวรรษที่ 11 – ปัจจุบัน) ร่วมกับคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) จัดการประชุมวิชาการ “เถรวาทในเอเชียอาคเนย์: ศิลปะ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรม”  เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยในโครงการและนิทรรศการ "สนามโครงการ": 3D Scanning กับการศึกษาจิตรกรรมฝาผนังและสนามชาติพันธุ์-วัฒนธรรม

ศ.ดร.เสมอชัย พูลสุวรรณ 

ศ.ดร.เสมอชัยกล่าวว่า โครงการของตนสนศึกษาภาพจิตรกรรมพุกามมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปี ซึ่งนับเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่สำคัญ งานวิจัยนี้จึงเป็นการทำความเข้าใจของประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในประเทศไทยด้วยการย้อนไปในอดีต ซึ่งเราต้องรับรู้ภายใต้กรอบภูมิศาสตร์อีกแบบหนึ่ง และเครือข่ายความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ไม่ใช่รัฐชาติที่เกิดใหม่

พุกามมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทของเอเชียอาคเนย์ระหว่างยุครุ่งเรืองในคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 ที่มีอิทธิพลทางศาสนาอย่างกว้างขวางและเผยแผ่เข้ามาในดินแดนไทย มีเครือข่ายจากความสัมพันธ์ของพุกามในหลายพื้นที่ เช่น หริภุญชัยในภาคเหนือ และลพบุรี ราชบุรี ในภาคกลาง ความเสื่อมสภาพของโบราณสถานในพุกามนั้น ศ. ดร.เสมอชัยระบุมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติดังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดบนรอยเลื่อนสกายที่สร้างความเสียหายระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามการเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งแต่โบราณสถานยังคงอยู่ ก็แสดงให้เห็นว่ามีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมก่อสร้างที่ก้าวหน้าพอสมควรในอดีต ขณะที่ภาพจิตรกรรมก็ได้เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาและคุณภาพของวัสดุ ส่วนความเสียหายจากมนุษย์ การบูรณะโบราณสถานในอดีตมักใช้ปูนขาวทาทับทำให้ภาพจิตรกรรมเปลี่ยนรูปไป

ภาพจิตรกรรม

“เราต้องเข้าใจถึงความซับซ้อนของวัฒนธรรมพุทธศาสนาและผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันของภูมิภาคนี้ในภาพรวมก่อนที่จะถูกแบ่งแยก เราให้ความสำคัญของภาพจิตรกรรมที่วัดเตนมาซี โบราณสถานขนาดใหญ่ของเมืองพุกาม ประเทศเมียนมา ในหลายด้านทั้งการเป็นตัวอย่างของแบบแผนการเขียนภาพที่ซับซ้อน ซึ่งจะทำให้เข้าใจความคิดของผู้สร้างงานว่าคิดและตัดสินใจอย่างไรจึงได้แสดงออกเช่นนั้น รวมถึงการที่ภาพจิตรกรรมเหล่านั้นได้รับความเสียหายจากกระแสการตื่นตัวของการสร้างพิพิธภัณฑ์ในทวีปยุโรปช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถึงช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ได้ทิ้งปัญหาว่าปัจจุบันเราควรมีวิธีการจัดการมรดกทางวัฒนธรรมที่เหมาะสมอย่างไรกับที่มาอันไม่ชอบธรรม”

ภาพจำลองวัดเตนมาซี

แบบสามมิติ

จากการตั้งคำถามของ ศ. ดร.เสมอชัย ถึงความชอบธรรมที่จะรักษามรดกทางวัฒนธรรมต่อไป จึงเป็นโจทย์ร่วมสมัยที่มีความท้าทายเป็นอย่างมาก ทั้งในมิติด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซึ่งบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายควรใส่ใจและใคร่ครวญให้ดี ไม่ว่าจะเป็นประเทศต้นทางทางวัฒนธรรม นักวิชาการ พิพิธภัณฑ์ผู้ครอบครอง และองค์กรวัฒนธรรมระดับโลกอย่างยูเนสโก

คณะวิจัย

          คณะวิจัยได้ถอดรหัสภาพชาดกในอาคารซึ่งมีอดีตพุทธ 28 พระองค์ตามคัมภีร์พุทธวงศ์ ตำแหน่งการเขียนภาพ ผนังทั้งสี่ด้าน โดยด้านบนมีภาพของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตามลำดับการอุบัติบนโลก ส่วนด้านล่างมีภาพเขียนเล่าเรื่องราวเหตุการณ์เสด็จออกบรรพชาด้วยพาหะนะที่แตกต่างกัน จารึกแต่ละพระองค์มีชื่อบาลีของพระพุทธเจ้า ชนิดของต้นมหาโพธิ์ ความสูงของพระวรกาย อายุของพระพุทธเจ้า และพาหนะทรง ซึ่งพบว่ามีบางส่วนคลาดเคลื่อนไปจากหลักฐานเดิม โดยเฉพาะภาพการแสดงพาหนะทรงของพระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรกซึ่งในคัมภีร์พุทธวงศ์ไม่ได้ระบุอย่างละเอียด ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่าพุกามน่าจะมีคัมภีร์หลายเวอร์ชัน

          คณะวิจัยได้เห็นตัวอย่างวัตถุวัฒนธรรมที่ตกเป็นจำเลยในยุคล่าอาณานิคม โดยเฉพาะภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมากที่ถูกกะเทาะและลักลอบนำออกไปจากพุกามอย่างเป็นระบบโดยชาวต่างชาติ  และนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยาที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ซึ่งคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยศิลปากรนำโดย ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเครื่องมือสแกนภาพสามมิติและโดรนสำรวจพื้นที่ผนังภายในทั้งหมด โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินความเสียหายจากบาดแผลร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้บนผนัง เพื่อคำนวณว่ามีภาพจิตรกรรมกี่ชิ้นที่หายไป แต่ละชิ้นมีขนาดและขอบเขตอย่างไร ทั้งภาพเกี่ยวกับจักรวาล ชาดก พุทธประวัติและปรินิพพาน รวมถึงภาพทั่วไป เพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำข้อมูลภาพจำลองสามมิติแปะกลับเข้าไปในตำแหน่งที่สูญหายไปอีกครั้งให้ครบถ้วนในโลกดิจิทัล รวมถึงสร้างข้อสันนิษฐานว่าด้วยโปรแกรมการเขียนภาพที่สมบูรณ์ การวางระบบให้ภาพมีความสัมพันธ์กัน และปรับโครงสร้างภาพให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้งบนพื้นฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ และแม้ภาพจิตรกรรมที่วัดเตนมาซีจะมีแบบแผนการเขียนภาพพิเศษบางอย่าง แต่เราก็จะวิเคราะห์ให้ได้ว่าภาพที่หายไปนั้นคืออะไร และเปรียบเทียบกับโบราณสถานแห่งอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน

ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ

          การศึกษางานวิจัยนี้ทำให้เกิดความเข้าใจที่ลุ่มลึกมากขึ้น ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกเอเชียอาคเนย์ที่เกี่ยวข้องกับพุกามยุคโบราณจนมาถึงปัจจุบันที่พุกามกำลังจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เราจึงควรมีส่วนร่วมในความภาคภูมิ และมีบทบาทในการร่วมสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการด้วยการช่วยกอบกู้มรดกทางวัฒนธรรมด้วยพื้นฐานความรู้และเทคโนโลยีของเรา อันจะส่งผลดีทั้งต่อภูมิภาคและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เปรียบเสมือนการทอดสะพานสู่เพื่อนบ้านในโดเมนของวิชาการ

          ในขั้นตอนต่อไปเราก็จะเรียนรู้ไปด้วยกันแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” เราควรมองประวัติศาสตร์อย่างสร้างสรรค์ และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีต่อกัน คิดให้มากกว่าเส้นพรมแดนประเทศ เพื่อนำไปสู่ความร่วมมืออีกหลายด้านในภายภาคหน้า โดยงานวิจัยของเราได้ปูความสัมพันธ์กับกรมโบราณคดีของเมียนมา ซึ่งจะเป็นช่องทางความร่วมมืออย่างยั่งยืนต่อไป

นิทรรศการ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'อนาคตใหม่'เปิด 10 ลำดับแรกปาร์ตี้ลิสต์  'ปิยบุตร' อัด 'ประยุทธ์'ควรออกจากการเมืองไปเลย

$
0
0

'อนาคตใหม่'เปิด 'ทีมธนาธร' 10 ลำดับแรกปาร์ตี้ลิสต์-พร้อมทำหน้าที่ รมต. 'ปิยบุตร' อัด 'ประยุทธ์' ไม่ใช่แค่ลาออกนายกฯ-หัวหน้า คสช. แต่ควรออกจากการเมืองไปเลย

เปิด 10 ปาร์ตี้ลิสต์-ว่าที่ รมต.

1 ก.พ.2562 พรรคอนาคตใหม่ นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ร่วมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 10 ลำดับแรกของพรรค ซึ่งเป็น "ทีมธนาธร"และวางตัวไว้ว่าจะเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่เป็นความเชี่ยวชาญของแต่ละคน ได้แก่ 1.ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 2.ปิยบุตร แสงกนกกุล 3.วรรณวิภา ไม้สน 4.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 5.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ 6.พล.ท.พงศกร รอดชมภู 7.นพรรณิการ์ วานิช 8.สุรเชษฐ ปวีณวงศ์วุฒิ 9.ธัญญวาริน สุขะพิสิษฐ์ และ10.พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์

ธนาธร กล่าวว่า การเปิดตัวครั้งนี้ คือ มิติใหม่ทางการเมือง เป็นสิ่งที่ตนเองภูมิใจมาก เพราะการเมืองแบบเก่า พรรคการเมืองอื่นๆ จะไม่เปิดตัวคนที่วางตัวไว้ว่าจะเป็นรัฐมนตรีเช่นนี้  ที่เขาทำคืออาจจะมีกลุ่มก๊วนไปหา ส.ส.ในสังกัดให้ได้สัก 10-20 คน จากนั้นนำไปต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี พอบรรลุข้อตกลง ได้เก้าอี้มาก็จะนำไปมอบให้กับนายทุนพรรค หรือหัวหน้ามุ้ง หัวหน้าก๊วนนั้นๆ แต่พรรคอนาคตใหม่ยืนยันไม่ทำแบบนั้น รัฐมนตรีของเราคือคนธรรมดา พิจารณาตามความเหมาะสม พิจารณาตามความรู้ความสามารถ นี่คือคนที่ทำงานจริง คือคนที่ประสบความสำเร็จในงานสายงานของตนเอง และที่สำคัญคือ คนที่รู้สึกว่าประเทศไทยจะอยู่แบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ทั้งหมดพร้อมจะมาอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น  

ยันส่งครบ-ย้ำท้าประยุทธ์ดีเบต

ธนาธร กล่าวว่า นี่เป็นเพียงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 10 ลำดับแรก วางตัวไว้เป็นรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตามเรามั่นใจว่าจะได้ ส.ส.เยอะกว่านี้แน่นอน ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ตั้งใจจะส่ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100-150 คน วันนี้ หลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคจะมีข้อสรุป นอกจากนี้ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้สมัครแบบแบ่งเขตแต่ละจังหวัดจะเดินทางไปสมัครตามที่ กกต.จัดสถานที่ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ จะมีการแถลงข่าวภาพรวม ส.ส.ทั้ง 350 เขต และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดอย่างแน่นอน และเรายืนยันว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่พรรคการเมืองของคนภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง ไม่ใช่พรรคของคนภาคเหนือ ไม่ใช่พรรคของคนภาคใต้ แต่เราเป็นพรรคของคนทั้งประเทศ จึงอยากย้ำว่า เราไม่ได้มาเล่นๆ แต่เราเอาจริง

ธนาธร กล่าวย้ำกรณีการท้าดีเบตกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า วันนี้ตนเองอยู่ในฐานะแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคอนาคตใหม่ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ศักดิ์และศรีของเราเท่ากัน จึงอยากเชิญมาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อให้ประชาชนเป็นคนตัดสินว่าจะเลือกแบบไหน 

'ปิยบุตร' ชี้เป็นตัวแทนคนทุกกลุ่ม

ปิยบุตร กล่าวว่า การคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ เราเปิดกว้างสำหรับคนทุกกลุ่ม และทั้ง 10 รายชื่อนี้ เป็นตัวแทนกลุ่มคนที่จะเข้าไปผลักดันนโยบายในด้านนั้นๆ  เช่น คุณวรรณวิภาเรื่องแรงงาน คุณพิธาเรื่องเกษตรก้าวหน้า คุณกุลธิดาเรื่องการศึกษา พล.ท.พงศกร เรื่องปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัยเป็นประชาธิปไตย คุณพรรณิการ์เรื่องการต่างประเทศและสื่อสารมวลชน คุณสุรเชษฐ์เรื่องโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม คุณธัญญ์วารินเรื่องวัฒนธรรมและความหลากหลายทางเพศ คุณพิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจสมัยใหม่ นี่คือทีมธนาธร ที่พร้อมจะดำเนินนโยบายตามที่พรรคได้เคยเสนอไป เป็นคนหน้าใหม่ทางการเมือง แต่ไม่ได้ใหม่ประสบการ เพราะนี่คือคนที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับในแวดวงของตนเอง 

"เราอยากรื้อฟื้นคำว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะที่ผ่ามา ประชาชนเป็นแค่คนที่เดินเข้าไปกากบาทในคูหาเลือกตั้ง ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล วางตัวรัฐมนตรีกลายเป็นเรื่องของพรรคการเมืองกลุ่มก๊วนต่างๆ  แต่เราเปิดมิติใหม่ ยืนยันว่านี่คือตัวแทนของคนทุกสาขาอาชีพ ที่จะเข้าไปเป็นตัวแทนของประชาชน เข้าไปต่อสู้เพื่อประโยชน์ของกลุ่มคนนั้นๆ จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน เพศหลากหลาย ซึ่งคนเหล่านี้ไม่มีใครพูดแทนได้ ต้องไปพูดเอง นี่คือคนที่จะไปเป็นปากเสียงแทน และพร้อมบริหารประเทศแทน ตอนนี้แม้ยังไม่ไปถึงจุดนั้น แต่ทั้งหมดจะทำหน้าที่เกาะติด คอยตรวจสอบในเรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญ"นายปิยบุตร กล่าว 

อัด 'ประยุทธ์'ควรออกจากเวทีการเมือง 

ปิยบุตร กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ เข้าสู่เวทีการเมือง โดยรับทาบทามเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ในนามพรรคพลังประชารัฐ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เพิ่งเข้ามาในเวทีการเมือง แต่มานานแล้ว เพียงแต่ไม่ใช่เข้าตามตรอกออกตามประตู หากแต่เป็นการรัฐประหารยึดอำนาจเข้ามา จึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาเถียงกันว่า จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในฐานะนายกคนในหรือนายกคนนอก พล.อ.ประยุทธ์คือนายกคนนอกนานแล้ว การที่พรรคพลังประชารัฐเทียบเชิญเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ให้ลงเลือกตั้ง นั้นก็เพื่อชุบตัว ซึ่งทุกคนก็มองกลไกนี้ออก เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเพิ่งเกิด ประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศไทยเคยเกิดขึ้นแล้วที่ทหารยึดอำนาจ จากนั้นใช้การเลือกตั้งชุบตัว นั่้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ นี่คือเรื่องของการสืบทอดอำนาจ

"วันนี้ ถ้าถามว่าเพื่อความเหมาะสม พล.อ.ประยุทธ์ ควรลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือตำแหน่งหัวหน้า คสช.หรือไม่ สำหรับผมแล้ว คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรออกจากการเมืองไปเลยด้วยซ้ำ เพราะ 5 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่าการบริหารประเทศล้มเหลว คือถ้าคุณอยากชุบตัวโดยผ่านการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทำไม แค่เพียง 6 เดือนหลังยึดอำนาจไม่ทำ ทำไมไม่จัดให้มีการเลือกตั้ง ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ยาวถึง 5 ปี สร้างความเสียหาย ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือแค่ออกจากหัวหน้า คสช. แต่ควรออกจากการเมืองไปเลย"ปิยบุตร กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักข่าวกัมพูชาถูกทำร้ายร่างกายเพราะทำข่าวการตัดไม้-จับปลาผิดกฎหมาย

$
0
0

นักข่าวจากสมาคมสื่อกัมพูชาเพื่อเสรีภาพ ถูกทำร้ายเพราะทำข่าวการตัดไม้และการลอบจับปลาอย่างผิดกฎหมายในเสียมเรียบ โดยที่นักข่าวเล่าว่ามีผู้นำชุมชนในละแวกนั้นที่กำลังดื่มเหล้าอยู่เข้ามาคุกคามเขาในตอนที่ทำข่าวเรื่องนี้

ซิม ชีพวิเชียร พิเสธ (ที่มา: vodhotnews)

1 ก.พ. 2562 สมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) รายงานว่า มีผู้นำชุมชนในพื้นที่ทำร้ายนักข่าวรายหนึ่งที่กำลังทำข่าวการตัดไม้และลอบจับปลาอย่างผิดกฎหมายในจังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ในวันที่ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา

นักข่าวคนที่ถูกจับกุมชื่อ ซิม ชีพวิเชียร พิเสธ เป็นนักข่าวจากสมาคมสื่อกัมพูชาเพื่อเสรีภาพ เขาถูกโจมตีในขณะที่กำลังถ่ายภาพและทำข่าวการจับปลาอย่างผิดกฎหมายในชุมชนเบิงเปียรัง จังหวัดเสียมเรียบ รวมถึงมีการเข้าไปในพื้นที่เพื่อต้องการรายงานข่าวเกี่ยวกับการตัดไม้อย่างผิดกฎหมายที่ส่งผลทางลบต่อการประมงแม่น้ำด้วย

ซิมเล่าว่า คง มังกุล ผู้นำชุมชนที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ในบริเวณนั้นเข้ามาหาเขาแล้วก็ตะคอกใส่ รวมถึงท้าชกต่อยกับเพื่อนร่วมงานของซิม เหตุเกิดขึ้นในช่วงเวลาราว 1 ทุ่มของวันนั้น ส่วน คง ปฏิเสธการกล่าวหาของพิเสธ แต่ก็กล่าวยืนยันว่ามีลูกน้องของเขาประมาณ 10 รายที่ทำร้ายซิมเพื่อแก้แค้นกรณีการรายงานข่าวของซิม

เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ยังไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นนี้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีการจับกุมในเหตุเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง

ทั้งนี้ ซิม ยังวางแผนจะฟ้องร้อง คง กับลูกน้องของเขา โดยยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องนี้

รายงานสถานการณ์สื่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จัดทำโดย SEAPA ที่เผยแพร่ครั้งแรกในเดือน พ.ค. 2561 พบว่าเสรีภาพสื่อในภูมิภาคนี้ได้รับการจัดอันดับจากองค์กรสื่อนานาชาติอย่างองค์กรสื่อไร้พรมแดน (RSF) ในกลุ่มอันดับล่างๆ การทำงานในฐานะสื่อเป็นเรื่องเปราะบางต่อคนทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2560 SEAPA ได้บันทึกเหตุการณ์การข่มขู่ ไปจนถึงการโจมตีสื่อรอบภูมิภาคได้ถึง 128 กรณีด้วยกัน

กรณีการละเมิด หรือคุกคามสื่อนั้นถูกแบ่งเป็นการกำกับควบคุมผ่านกฎหมาย การเซ็นเซอร์เนื้อหาทั้งจากทางการและการเซ็นเซอร์ตัวเอง การดำเนินคดีกับสื่อ การข่มขู่ การทำร้าย และการฆ่า ซึ่งห้าประเภทนี้เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งสิ้น

ประเทศฟิลิปปินส์นำโด่งมาเป็นอันดับหนึ่ง หลังการขึ้นมาของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต กลุ่มฐานเสียงของเขา รวมถึงรัฐบาลเองต่างสร้างความเกลียดชังต่อสื่อมวลชนทั้งในโลกออนไลน์และโลกความเป็นจริง ทั้งยังมีการฆ่านักข่าวด้วย ซึ่งถือเป็นกรณีที่ไม่ได้รับรายงานจากประเทศอื่นในภูมิภาค รองลงมาเป็นพม่าที่มีกรณีการดำเนินคดี จับกุมและกักขังนักข่าวรวม 11 กรณี อันดับสามเป็นประเทศไทย ที่มีกรณีการเซ็นเซอร์ ระงับใบอนุญาตประกอบการอาชีพสื่อ และแบนเนื้อหาบางประการรวม 7 กรณี

อย่างไรก็ตาม จาก 128 กรณีที่มีการบันทึก มีถึง 86 กรณีที่การคุกคามสื่อเกิดจากการกระทำของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นประมุขรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นตำรวจ ทหาร หรือหน่วยงานด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร การรายงานข่าวในเชิงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือการบริหารรัฐ ถูกเจ้าหน้าที่ภาครัฐมองเป็นเรื่องการต่อต้านรัฐบาล นำเสนอข่าวมีอคติและไม่ยุติธรรม หรือไม่ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นการแทรกแซงจากต่างชาติ

นอกจากนั้น วาทกรรมเรื่องข่าวปลอม (Fake News) ที่เกิดขึ้นจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีสื่อที่นำเสนอข่าวที่ไม่พึงประสงค์ ยิ่งโหมกระพือการโจมตีสื่อทั้งในทางวจีกรรมและทางกฎหมายที่มีมานานแล้ว

เรียบเรียงจาก

[Cambodia] Journalist attacked while covering illegal forest clearing, fishing in Siem Reap, SEAPA, Feb. 1, 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'มึงลองมาไล่ดูสิ'ชาเลนจ์ ตร.รวบ 'เพนกวินและเพื่อน'หลังแขวนกระเทียมไล่ประยุทธ์หน้าทำเนียบ

$
0
0

ก็มาดิครับ! หลัง พล.อ.ประยุทธ์ หลุดพูดท้า “มึงลองมาไล่ดูสิ” ด้าน 'เพนกวินและเพื่อน'ประกาศรับชาเลนจ์ แขวนกระเทียมไล่ประยุทธ์หน้าทำเนียบ ก่อนโดน ตร.คุมตัวทั้งสองคนไปยังสน.ดุสิตทันที ระบุผิด พ.ร.บ.ชุมนุม

2 ก.พ.2562 จากกรณีวานนี้ (1 ก.พ.62)พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. หลุดพูด “มึงลองมาไล่ดูสิ” หลังมีกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐทาบทามให้อยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรค นั้น

ต่อมา พริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ธนวัฒน์ วงค์ไชย (บอล) อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศรับคำท้าดังกล่าว

"บอลขอรับคำท้าจากคุณประยุทธ์ครับ เดี๋ยวบอลและเพื่อนๆ จะออกไปไล่คุณประยุทธ์อย่างแน่นอน แล้วเจอกันนะครับ" ธนวัฒน์ กล่าว พร้อมระบุด้วยว่า  2 ก.พ.นี้ เวลาบ่ายโมงเป็นต้นไป เราจะไปเชิญคุณประยุทธ์ให้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมกัน พร้อมกับมอบของขวัญให้คุณประยุทธ์ ส่วนตัวบอลเตรียมพริก กระเทียม และเกลือไปมอบให้

"ขอรับคำท้าให้มาไล่ของท่านนายกครับ จริง ๆ ก็ไล่มานานแล้วแต่ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้ท้า รอบนี้ท่านอุตส่าห์ท้าน่าจะต้องจัดเต็ม เดี๋ยวพบกัน เร็ว ๆ นี้" พริษฐ์ กล่าว

ล่าสุด วันนี้ (2 ก.พ.62) มติชนออนไลน์ รายงานว่า 13.00 น.ที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก แขวงและเขตดุสิต กรุงเทพฯ พริษฐ์  และธนวัฒน์ พร้อมประชาชนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาจัดกิจกรรมเชิญชวนพล.อ.ประยุทธ์ ออกจากตำแหน่ง โดยมีการอ่านจดหมายเชิญพล.อ.ประยุทธ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและมอบของที่ระลึกแก่พล.อ.ประยุทธ์

ต่อมา พ.ต.อ.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์ ผกก.สน.ดุสิตได้ชี้แจงว่า การจัดกิจกรรมที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น ไม่สามารถทำได้เด็ดขาดตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ที่ต้องจัดห่างจากทำเนียบรัฐบาล 50 เมตร อีกทั้งพริษฐ์ยังไม่ได้แจ้งการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ดังนั้นหากทำกิจกรรมทางการเมืองจะถือว่าทำผิดกฎหมายทันที

มติชนออนไลน์ รายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากการพูดคุยทาง พริษฐ์ ได้ยกเลิกการชุมนุมบริเวณดังกล่าว และเดินเคลื่อนไปทำกิจกรรมข้างทำเนียบรัฐบาลห่างจากจุดเดิมประมาณ 20 เมตร โดยได้อ่านแถลงการณ์และแขวนพริก เกลือและกระเทียบ กับกำแพงรั้วของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นของที่เตรียมมามอบให้เป็นของที่ระลึกแก่พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากแขวนของดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถือว่าเป็นการแสดงกิจกรรมทางการเมืองถือว่ากระทำผิดกฎหมายจึงคุมตัวทั้งสองคนไปยังสน.ดุสิตทันที

พริษฐ์กล่าวว่า ตนขอยืนยันในสิทธิของประชาชนต้องแสดงความคิดเห็นต่อนายกรัฐมนตรี ต่อรัฐบาล ประชาชนมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นได้ กฎหมายอารยประเทศไม่ได้ห้ามการชุมนุมแบบนี้ มีแต่กฎหมายนี้เท่านั้นที่ทำได้

พริษฐ์ โพสต์แจ้งผ่านเฟสบุ๊คด้วยว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา "จัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า"ตาม พรบ.การชุมนุมสาธารณะ โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท พวกเราให้การปฏิเสธเพราะไม่ต้องการยอมรับกฎหมายที่ปิดกั้นเสรีภาพทางการชุมนุมของประชาชน เรายืนยันว่าการรวมกลุ่มชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธเป็นสิทธิของประชาชน มิควรจะต้องขอนุญาตใคร มิเช่นนั้น ต่อไปจะจับกลุ่มคุยกันเรื่องการเมืองอยู่ริมถนนก็อาจจะต้องขออนุญาตรัฐบาลก่อน ต่อไป ตนอาจจะต้องขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล ซึ่งนี่จะเป็นคดีการเมืองคดีแรกในชีวิตตน

"ผมอยากให้การโดนดำเนินคดีของเราเป็นหนึ่งในตัวอย่างชี้วัดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะ "ฟรี"และ "แฟร์"ได้อย่างไร ขนาดแค่มาอ่านจดหมายเท่านี้ยังถูกจับได้ ยังคงยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องลดอำนาจรัฐบาลของตนเป็น "รัฐบาลรักษาการณ์"และ "ยกเลิกอำนาจ ม.44"ไม่เช่นนั้นก็ขอให้ "ลาออก"จากทั้งตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า คสช."พริษฐ์ โพสต์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: สู่เสรีอิสระสุรชัย

$
0
0

ไม่มีศพ สุรชัย จะให้แห่
ไม่มีแม้ วันใหม่ ให้คาดหวัง
ไม่มีแล้ว คนเล่า ให้เราฟัง
ไม่มีทั้ง ความจริง ที่ดิ่งจม

เหลือแต่ความ สูญเสีย เลียบาดแผล
เหลือเพียงแต่ ความลับ ที่ทับถม
เหลือหลักฐาน ที่โชว์ ความโสมม
เหลือความขม ขื่นใจ ให้เหมือนเดิม

เสียกำลัง ครั้งใหญ่ ในแนวรบ
ให้จุดจบ จงเป็น เช่นจุดเริ่ม
แม้ใครหยาม เหยียบย่ำ รอซ้ำเติม
กลับยิ่งเพิ่ม แค้นคับ ทับทวี

ทั้งชีวิต หลอมผ่าน การต่อสู้
ทุกอณู พร้อมตาย ในหน้าที่
ทอดร่างกาย หยั่งราก ฝากธุลี
สู่เสรี อิสระ สุรชัย...

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ภรรยาและเพื่อนวางดอกไม้รำลึกสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์และผู้ลี้ภัยอีก 2 ราย

$
0
0

นักกิจกรรมทางการเมืองรวมทั้งภรรยาของสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ วางดอกไม้รำลึกหลัง "สุรชัย"และเพื่อนผู้ลี้ภัยรวม 3 คนหายตัวไปไม่ทราบชะตากรรม ก่อน 2 รายหลังจะพบเป็นศพลอยในแม่น้ำโขง "สมยศ พฤกษาเกษมสุข"เผยจะไปยื่นหนังสือทวงถามความเป็นธรรมที่ทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจง

2 ก.พ. 2562 เมื่อเวลา 17.30 ที่แยกราชประสงค์ นักกิจกรรมทางการเมืองหลายคนร่วมจัดกิจกรรมรำลึกถึงสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ วัย 78 ปี และเพื่อนผู้ลี้ภัยอีก 2 คนคือภูชนะ อายุ 54 ปี และกาสะลอง อายุ 47 ปี โดยทั้งหมดซึ่งลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้านหลังรัฐประหาร คสช. ได้หายตัวไปติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 และ 2 รายหลังพบเป็นศพในแม่น้ำโขงเมื่อปลายเดือนธันวาคมดังกล่าว 

โดยมีการยืนสงบนิ่งไว้อาลัย 1 นาที ก่อนวางดอกไม้เพื่อรำลึก โดยผู้วางดอกไม้ลำดับแรกคือปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยาของสุรชัย ตามมาด้วยสมยศ พฤกษาเกษมสุข

โดยสมยศ พฤกษาเกษมสุข กล่าวว่า ในวันที่ 7 ก.พ. จะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้เสียชีวิตทั้งสามคน และทวงคืนศพของสุรชัยที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะผู้ลี้ภัยทั้งสามคนออกจากประเทศไปหลังจากรัฐประหารพฤษภาคม 2557 และทั้งสามคนหายตัวไปตั้งแต่ 11 ธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปเยือนประเทศลาว จึงเป็นเหตุให้สงสัยว่ารัฐบาลทหารมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ หากรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่าการเดินทางไปเยือนประเทศลาวนั้นไปทำอะไรบ้าง และไปเพื่ออะไร รวมทั้งต้องมีเหตุผลว่า เดินทางไปลาวแล้วมีผู้ลี้ภัยเสียชีวิตเกิดจากอะไร หากรัฐบาลไม่เกี่ยวข้องก็ต้องหาตัวฆาตกรมาลงโทษ

โดยสมยศยังสวมหมวกดาวแดงมาร่วมกิจกรรมด้วย โดยเขากล่าวว่าหมวกดังกล่าวถือเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของสุรชัย เป็นสัญลักษณ์ของนักต่อสู้ผู้ไม่เคยยอมจำนน "จึงใส่หมวกดาวแดงมาเพื่อรำลึกถึงอาจารย์สุรชัย และสหายอีกสองคน"

ทั้งนี้มีนักกิจกรรมหลายคนเข้าร่วมทั้งอานนท์ นำภา, พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ, โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ, สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และชลธิชา แจ้งเร็ว นอกจากนี้ยังมีผู้ร่วมกิจกรรมคนอื่นๆ ได้นำป้ายไวนิล "แยกราชประสงค์"มาติดตั้งแทนป้ายจราจรที่ถูกถอดออกไปด้วย

ต่อมาในเวลา 19.00 น. จะมีการจุดเทียน และร้องเพลงเดือนเพ็ญ กับเพลงนักสู้ธุลีดิน ก่อนยุติกิจกรรม ด้านทนายอานนท์กล่าวว่าจะมีการทำบุญให้สุรชัยในวันอาทิตย์นี้ที่วัดแจ้งศิริสัมพันธ์ ย่านนนทบุรีด้วย

อนึ่งก่อนเริ่มกิจกรรมเมื่อเวลา 17.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบควบคุมพื้นที่รอบๆ รวมทั้งบริเวณทางเดินเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีชิดลม และสถานีสยาม ซึ่งผ่านบริเวณที่ชุมนุม มีการกั้นทางเดินเพื่อห้ามประชาชนใช้สัญจรด้วย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สำนักพระราชวังแถลง 'พระองค์โสม'พระโลหิตออกที่พระสมอง-ความดันพระโลหิตสูง

$
0
0

2 ก.พ 2562 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์สำนักพระราชวังเรื่อง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 

คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ ได้รายงานว่า เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2562 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ ทรงมีพระอาการปวดพระเศียร ร่วมกับพระวรกายด้านซ้ายอ่อนพระกำลังอย่างฉับพลัน คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ มีพระโลหิตออกที่พระสมอง และความดันพระโลหิตสูง คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยพระโอสถ และติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิด คณะแพทย์ได้กราบทูลขอประทานพระอนุญาตให้ประทับที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และทรงงดพระกรณียกิจสักระยะหนึ่ง จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ศาลจำคุกตลอดชีวิต 3 จำเลยมือระเบิดสายบุรีปี 60 ทนายยันอุทธรณ์คดีต่อไป

$
0
0

ศาลจังหวัดปัตตานี สั่งจำคุกตลอดชีวิต 3 จำเลย ขณะที่ 2 จำเลย จำคุก 14 ปี และ ยกฟ้อง 2 ราย เหตุระเบิดสายบุรีปี 60 ด้านทนายยันอุทธรณ์คดีต่อไป

ที่มาภาพเหตุการณ์ http://news.ch3thailand.com/local/52954

2 ก.พ.2562 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) รายงานว่า วานนี้ (1 ก.พ.62) เวลา 10.30 น. ที่ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร จ.ปัตตานี พ.อ.ธนาวีร์  สุวรรณรัตน์ รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณีคนร้ายลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4412 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 เป็นเหตุทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต 4 นาย เหตุเกิดในพื้นที่ถนนสายเจาะกือแย-สายบุรี หมู่ที่ 1 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2560 หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่  ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยได้จำนวน 5 ราย ได้ส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายแล้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปัตตานี (ชั้นต้น) ได้มีคำสั่งพิพากษาคดีดำหมายเลขที่ 4445/60 จากเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4412 ในฐานความผิด ก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ฆ่าและพยายามฆ่า เจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าโดยไต่ตรองไว้ก่อน พรบ.อาวุธปืน และวัตถุระเบิด โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง จำเลย ทั้ง 5 รายคือ จำเลยที่ 1 มะยูโซ๊ะ มะยะเด็ง, จำเลยที่ 2 อามีน เฮาะยา, จำเลยที่ 3 มาหะมะซอรี สะแม, จำเลยที่ 4 อานัส อาแด และจำเลยที่ 5 อับดุลปาตัช  สามะ มีผลคำสั่งพิพากษา ของศาลจังหวัดปัตตานี (ชั้นต้น) ดังนี้

จำเลยที่ 1 , จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 พิพากษาให้ประหารชีวิต แต่ทั้ง 3 คน ได้รับสารภาพในชั้นซักถามและเป็นการประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ “จำคุกตลอดชีวิต”

ส่วน จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5  ศาลพิพากษาให้จำคุก 31 ปี แต่ทั้ง 2 คน ได้รับสารภาพในชั้นซักถามและเป็นการประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษ เหลือ “จำคุก 14 ปี”

ผลสรุปการดำเนินคดีดังกล่าว รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า ได้มีการออกหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 18 หมาย ผู้ต้องหาถูกวิสามัญ 2 ราย และ สามารถจับกุมได้ 7 ราย ศาลพิพากษาลงโทษ 5 ราย อยู่ระหว่างสืบพยาน 1 ราย คือ มะรอตือปี กาแปะ ส่วนอีก 1 รายคือ ฟัครุดดีน อูมา ศาลยกฟ้อง

ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว พ.อ.ธนาวีร์ กล่าวว่า เป็นไปตามพยานหลักฐานและลักษณะฐานความผิด และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมุ่งบังคับใช้กฎหมายด้วยความรอบคอบ, รวบรวมพยานหลักฐานอย่างรัดกุม เพื่อนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนนำไปสู่คำพิพากษาดังกล่าว ทั้งนี้ ยังได้ติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับหลักการบังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และปฏิบัติทุกขั้นตอนของการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดเป็นเงื่อนไขใหม่ที่อาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น

เบนาร์นิวส์รายงานด้วยว่า ญาติของนักโทษคนหนึ่ง กล่าวโดยไม่ประสงค์จะระบุตัวตน กล่าวว่า "เคารพการตัดสินของศาล ก็ต้องเป็นไปตามที่ศาลสั่ง ผิดถูกคิดว่า เขาน่าจะรู้ตัวเองดี เราจะบอกอะไรก็ยาก เพราะทำทุกอย่างแล้ว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ศาลตัดสินแบบนี้ก็ต้องยอมรับ"

ญาติของนักโทษรายดังกล่าว และทนายความอนุกูล อาแวปูเตะ ยืนยันว่าจะอุทธรณ์คดีต่อไป

"กรณีนี้ ทนายมุสลิมได้ดูแลคดีอย่างเต็มที่ พร้อมเตรียมดำเนินการยื่นเรื่องขออุทธรณ์ต่อศาล"ทนายความอนุกูล กล่าวแก่เบนาร์นิวส์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'สัญญาใจ'กลไกส่งผู้ป่วยข้ามชายแดนของ รพ.แม่สาย ย้ำสิทธิมนุษยชนอนุญาตให้รักษาตัว

$
0
0

สรพ. ลงพื้นที่ชมการพัฒนาคุณภาพรพ. แม่สาย ขณะที่ ผอ.รพ.เผยส่งผู้ป่วยข้ามชายแดนใช้สัญญาใจ ด้านบุคลากรขยายความสัญญาใจคือเครือข่ายที่โรงพยาบาลมี ทั้งล่ามประสานงาน ทั้งกู้ภัย ผู้ป่วยข้ามแดนมาก็รักษาให้ตามหลักสิทธิมนุษยชน ส่วนเรื่องปัญหาภาระค่าใช้จ่ายหรือความรุนแรงยังไม่น่าหนักใจเท่าบุคลากรไม่เพียงพอ

บรรยากาศการเข้ารับบริการการรักษาในโรงพยาบาลแม่สาย

2 ก.พ.2562 ที่โรงพยาบาลแม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตัวแทนจากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) นำโดย นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี ได้เข้าเยี่ยมชมการพัฒนาคุณภาพตามมาตรฐาน HA ในพื้นที่โรงพยาบาลแม่สายเมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยภายในพิธีเปิดการเยี่ยมชม นพ.ศิริศักดิ์ นันทะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สายได้กล่าวถึงเส้นทางการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลซึ่งรวมถึงกระบวนการจัดการการรักษาผู้ป่วยที่ข้ามชายแดนจากฝั่งเมียนมาร์ที่ข้ามมาใช้บริการหรือถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลแม่สาย

ส่งผู้ป่วยข้ามชายแดนด้วยสัญญาใจ ในขณะที่ยังไร้ MOU จากเบื้องบน

ผอ.รพ.แม่สาย กล่าวว่าโรงพยาบาลแม่สายมีผู้มาใช้บริการทั้งที่เป็นชาวไทย ชาวเมียนมาร์ และชาวลาวซึ่งกลุ่มนี้นานๆ จะมาสักครั้ง โรงพยาบาลทางฝั่งเมียนมาร์ซึ่งตั้งใกล้เคียงกับโรงพยาบาลแม่สายได้แก่โรงพยาบาลท่าขี้เหล็กซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐ และโรงพยาบาลเอกชนคือ โรงพยาบาลอาเชวต่อว์ (A Shwe Taw) และโรงพยาบาลมยาทาฮาร์ (Mya Tha Har) ซึ่งในการส่งผู้ป่วยข้ามแดนนั้น นพ. ศิริศักดิ์กล่าวว่ายังต้องใช้สัญญาใจ เพราะยังไม่มีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ

ผู้สื่อข่าวประชาไทได้สอบถามเพิ่มเติมในประเด็นการดูแลรักษาชาวต่างชาติแถบชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็กจาก ณหทัย พันโททัย พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลแม่สายว่า “สัญญาใจ” ที่ นพ.ศิริศักดิ์กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ใช้ในการส่งต่อผู้ป่วยข้ามแดนคืออะไรนั้น ณหทัยอธิบายว่า สัญญาใจในที่นี้เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวของทางทีมโรงพยาบาลแม่สายกับทางล่ามประสานงานซึ่งจะติดต่อกับโรงพยาบาลทางฝั่งเมียนมาร์ อีกกลุ่มหนึ่งก็คือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับทีมกู้ภัยเมียนมาร์อย่างหน่วยกู้ภัยอะลินหย่อง ด้วยความสัมพันธ์แบบแนวราบนี้เองที่ทำให้มีการส่งผู้ป่วยข้ามแดนกันได้สะดวกระดับหนึ่งแม้จะยังไม่มีข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการส่งตัวกรณีโรคระบาดตามชายแดนอย่าง HIV หรือวัณโรคปอด เธอให้ข้อมูลว่าเริ่มพัฒนาเป็นระบบที่ดีขึ้น มีระบบส่งตัว มีการติดต่อประสานงานโดยตรงระหว่างแผนกที่ดูแลเรื่องโรคดังกล่าวในไทยกับในเมียนมาร์

ภาพถ่ายรวมหมู่ที่ระลึกในการเยี่ยมชมการพัฒนาคุณภาพ รพ.แม่สาย

ข้ามแดนไม่ถูกต้องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิทธิมนุษยชนอนุญาตให้คนเข้ารักษาตัวได้

ในแง่ของการจัดการดูแลรักษาผู้ป่วยซึ่งข้ามแดนมาก็ยังมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึงคือสถานะของผู้ข้ามแดน ณหทัยให้ข้อมูลว่า บางรายที่ข้ามแดนมาอย่างถูกต้องก็ใช้บัตรข้ามแดนในการเข้ารับบริการ หรือบางรายไม่มีบัตรข้ามแดนก็ให้แจ้งชื่อตนและชื่อบิดามารดาของตนเพื่อระบุตัวบุคคล

อย่างไรก็ดีผู้สื่อข่าวได้ถามต่อว่าในประเด็นที่ผู้มาเข้ารับการรักษาข้ามแดนมาอย่างผิดกฎหมาย ทางโรงพยาบาลแม่สายจะดำเนินการอย่างไรนั้น ณหทัยกล่าวว่า ในแง่ของการรักษานั้น ทางโรงพยาบาลก็รักษาตามสิทธิมนุษยชนอยู่แล้วซึ่งจะเป็นคนละเรื่องกับกฎหมายการข้ามแดน แต่ที่จริงแล้วตามแนวชายแดนก็มีจุดผ่อนปรนซึ่งผู้คนสามารถข้ามแดนมาเองได้อย่างปางห้า

ณหทัยเล่าต่อไปว่าทางโรงพยาบาลแม่สายให้การดูแลรักษาคนที่ข้ามแดนมาอย่างเท่าเทียมกับคนไทย ไม่ได้มีการแยกการเข้ารับการบริการตามสัญชาติหรือชาติพันธุ์แต่จะคัดกรองผู้เข้ารับการดูแลรักษาตามอาการ ซึ่งคนที่ข้ามแดนมาก็ทั้งกลุ่มคนเมียนมาร์ที่พูดไทยคล่องไปจนถึงกลุ่มคนที่พูดไทยได้ไม่มากซึ่งบางรายก็จะพาล่ามมาเองหรือบางรายที่ไม่มีเงินก็มาหาล่ามแถวฝั่งไทย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่เข้ามารับการรักษาอย่างคะฉิ่น ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง และกลุ่มอื่นๆ รวมราวสิบชาติพันธุ์ อย่างไรก็ตามเรื่องภาษาก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะบางคนสามารถพูดได้ห้าถึงหกภาษา หรือถ้าสื่อสารกันไม่ได้จริงๆ ก็ภาษาอังกฤษ        

ความรุนแรงผ่านไปแล้ว แต่ปัจจุบันปัญหาคือภาวะกดดันและบุคลากรที่ไม่เพียงพอ

สำหรับประสบการณ์ด้านการรับมือผลกระทบจากการปะทะกันระหว่างกองกำลังตามตะเข็บชายแดน ณหทัยเล่าว่าเหตุการณ์ครั้งสำคัญคือตอนที่กองกำลังว้าแดงปะทะกับกองทัพไทยในปี 2544 ซึ่งใกล้กับโรงพยาบาลมากจนต้องมีการจัดคนคอยเฝ้าระวังภัยและคอยรับผู้ป่วยและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะ ในสถานการณ์อย่างนั้นไม่สามารถปิดโรงพยาบาลทิ้งไว้เฉยๆ ได้เพราะบทบาทหน้าที่ของผู้ให้การรักษา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นมาก็ไม่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของกองกำลังติดอาวุธอีกเลย

ส่วนเรื่องระบบการรักษาที่ข้ามแดนอย่างนี้ ณหทัยเห็นว่ายังต้องพัฒนาต่อไป เพราะตอนนี้ยังจัดการเป็นระบบได้แค่สองโรค ซึ่งยังเหลือระบบอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนาอย่างเช่น ระบบผู้ป่วยไร้ญาติ ผู้ป่วยเร่ร่อน

โจทย์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโรงพยาบาลชายแดนอย่างโรงพยาบาลแม่สายคือการจัดการโรคติดต่อตามชายแดน ซึ่งณหทัยเล่าว่าความยากของมันก็คือพื้นที่ของโรคติดต่อมันไม่ได้มีแค่พื้นที่ของฝั่งไทยแต่มันอยู่ในพื้นที่ของฝั่งเมียนมาร์ซึ่งทำให้การวางระบบจัดการโรคยากกว่าการจัดการโรคระบาดในเขตอธิปไตยของไทย ตอนนี้จึงวางระบบจัดการได้แค่สองโรคซึ่งเป็นระบบที่ดูแลผ่านองค์กรเฉพาะทาง ส่วนไข้เลือดออกก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ทางโรงพยาบาลก็ป้องกันต่อไป

สำหรับภาพฝันของการรักษาที่ข้ามแดนกันไปมาระหว่างไทยกับเมียนมาร์คือการที่ข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศในด้านสาธารณสุขได้รับการดำเนินการได้เร็วขึ้นเพื่อร่วมกันรับมือกับโรคระบาดอื่นๆ ได้อย่างทันท่วงที

ในส่วนของการแบกรับค่ารักษาค้างชำระนั้น ณหทัยให้ข้อมูลว่า โรงพยาบาลแม่สายเองก็แบกรับไว้เยอะมากเช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นที่เป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะค่ารักษาที่ได้จากกลุ่มคนที่มีเงินจ่ายก็คอยพยุงการแบกรับส่วนนี้ไว้ซึ่งก็เหมือนกันทุกที่ อันที่จริงแล้วชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่ข้ามชายแดนมารักษากับโรงพยาบาลแม่สายนั้นค่อนข้างที่จะมีฐานะ

“แถบนี้เขามีเงิน ไม่เหมือนทางโรงพยาบาลแถวแม่สอดหรือระนองที่ขาดทุนเพราะต้องแบกรับค่ารักษาจากคนงาน” ณหทัย กล่าว

ส่วนปัญหาที่โรงพยาบาลยังคงเผชิญอยู่คือการที่บุคลากรไม่เพียงพอในทุกด้านนั้น ณหทัยเห็นว่าส่วนหนึ่งมาจากภาวะการทำงานที่ถูกกดดัน ต้องระวังเรื่องการถูกฟ้องร้อง ยิ่งคนรุ่นใหม่ที่มาเป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็จะอยู่ไม่นาน สถานการณ์ด้านบุคลากรในโรงพยาบาลจึงมีลักษณะเวียนเข้าเวียนออก

“มันสุ่มเสี่ยงนะทำงานตรงนี้ ก็เหมือนเอาขาก้าวเข้าไปในตารางแล้วหนึ่งข้าง ประชาชนก็คาดหวังสูงว่ามาตรวจแล้วจะต้องรู้โรคทันทีและได้รับการรักษาที่แม่นยำ” ณหทัย กล่าว

 

สำหรับ กาญจนพงค์ รินสินธุ์ ผู้รายงานฉบับนี้ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ซึ่งฝึกงานกับประชาไท จากหลักสูตรอาเซียนศึกษา สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กรุงเทพโพลล์ ระบุ 70% อยากเลือก ส.ส. ที่ช่วยและแก้ปัญหาให้ชุมชนได้ 96% จะไปเลือกตั้ง

$
0
0

กรุงเทพโพลล์ ระบุประชาชนส่วนใหญ่ 70% อยากเลือก ส.ส. ที่ช่วยเหลือชุมชน แก้ปัญหาให้ชุมชนได้
87.8% ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในวันที่ 24 มี.ค.62 ขณะที่ 53.8 % ได้เห็นการหาเสียง ในพื้นที่ของตนเองแล้ว ส่วน 96% ตั้งใจว่าวันที่ 24 มี.ค.นี้ จะไปเลือกตั้ง

 

2 ก.พ.2562 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ  ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ส.ส. แบบไหนที่โดนใจคนไทย” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,199  คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 87.8 ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในวันที่ 24 มี.ค. 62 ขณะที่ร้อยละ 12.2 ไม่ทราบ

เมื่อถามว่าเคยเห็นรูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมือง การหาเสียง ในพื้นที่ของตนเองหรือไม่อย่างไร ส่วนใหญ่ร้อยละ 53.8 เคยเห็น โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 24.2 เห็นการติดป้ายหาเสียง รองลงมาร้อยละ 22.0 เห็นการเดินเท้าพบปะประชาชน ร้อยละ 21.1 เห็นการใช้รถหาเสียง และร้อยละ 17.4 เห็นการหาเสียงผ่านสื่อโซเชียล ขณะที่ร้อยละ 46.2 ยังไม่เคยเห็น

เมื่อถามต่อว่า “ผู้สมัคร ส.ส. แบบไหน ที่ท่านอยากเลือก” พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 70.0 อยากเลือกคนที่ช่วยเหลือชุมชน แก้ปัญหาชุมชน รองลงมาคือ ร้อยละ 60.1 อยากเลือกคนมีความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ก้าวไกล และร้อยละ 52.1อยากเลือกคนไม่มีประวัติด่างพร้อยด้านการทุจริต     

สุดท้ายเมื่อถามว่าจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส.ส. ที่คาดว่าจะจัดขึ้นในวันที่ 24  มีนาคม 2562 ที่จะถึงนี้หรือไม่ พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 96.0 ตั้งใจว่าจะไป ขณะที่ร้อยละ 0.9 ตั้งใจว่าจะไม่ไป โดยในจำนวนนี้ ร้อยละ 0.4 ต้องเรียน ทำงาน ติดธุระ และมีร้อยละ 0.2 เท่ากันที่ให้เหตุผลว่า  เบื่อหน่ายการเมืองและเลือกไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์ให้เลย  ส่วนที่เหลือร้อยละ 3.1 ไม่แน่ใจ
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กสม.ห่วงวิกฤตการณ์ฝุ่น ขอรัฐบาลปฏิบัติตามพันธกรณีสากลคุ้มครอง ปชช.จากภัยมลพิษ

$
0
0

กสม. ฉัตรสุดา ห่วงใยวิกฤตการณ์ฝุ่นละออง ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการมีสุขภาพและสุขลักษณะทางสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชนขอรัฐบาลปฏิบัติตามพันธกรณีสากลคุ้มครองประชาชนจากภัยมลพิษ

 

2 ก.พ. 2562 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รายงานว่า ฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏวิกฤตการณ์ปัญหาฝุ่นละอองในอากาศขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน หรือ ฝุ่น PM 2.5 ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพและปริมณฑล มาชั่วระยะเวลาหนึ่งจนถึงปัจจุบันนั้น ตนในฐานะประธานคณะทำงานด้านสิทธิผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก การศึกษา และการสาธารณสุข มีความห่วงใยต่อวิกฤตการณ์ฝุ่นละอองดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีการดำรงชีวิต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิทธิในการมีสุขภาพที่ดีของประชาชนจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองเป็นการเร่งด่วนในหลายมาตรการแล้ว แต่เพื่อให้สิทธิในการมีสุขภาพและสุขลักษณะทางสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน ได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริงตามหลักกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม โดยที่ข้อ 12 (1) และ (2) แห่งกติกาดังกล่าวระบุไว้ว่า “รัฐภาคีแห่งกติกานี้รับรองสิทธิของทุกคนที่จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการโดยรัฐภาคีแห่งกติกา เพื่อบรรลุในการทำให้สิทธินี้เป็นจริงอย่างสมบูรณ์จะต้องรวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อการปรับปรุงในทุกด้านของสุขลักษณะทางสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรม” นั้น

ฉัตรสุดา กล่าวเรียกร้องว่า ตนจึงขอให้รัฐบาลและภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ฝุ่นละอองที่เกิดขึ้น เพื่อคุ้มครองสิทธิในการมีสุขภาพและสุขลักษณะทางสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน ดังต่อไปนี้

1. ขอให้รัฐบาลพิจารณายกวิกฤตการณ์ฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติ และเร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยควรกำหนดแผนการต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น แผนการควบคุมมลพิษทางการจราจร แผนการเตือนภัยและป้องกันวิกฤตการณ์ฝุ่นละออง แผนการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ตลอดจนแผนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยบูรณาการการทำงานและองค์ความรู้ร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ

2. ขอให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาออกมาตรการในการดูแลสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่สำคัญ ตลอดจนให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อดูแลสุขภาพของตนเอง

3. ขอให้ประชาชน ร่วมกันติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์และแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองร่วมกับหน่วยงานของรัฐ โดยป้องกันตนเองจากมลพิษที่เกิดขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพ

“วิกฤตฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นปัญหาใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ตลอดจนสิทธิในความเป็นอยู่ที่ดี มีอากาศที่บริสุทธิ์หายใจ และได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย จึงขอให้รัฐบาลให้ความสำคัญและเร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว รวมทั้งวางแผนระยะยาวเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวต่อไปในอนาคต” ฉัตรสุดา กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สธ.ไทย จับมือ 'เคนย่า' พัฒนาหลักประกันสุขภาพ

$
0
0

เคนย่ายกไทยเป็นผู้นำระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ลงนามเอ็มโอยูร่วมกันให้ไทยช่วยพัฒนาหลังเพิ่งตั้งไข่เมื่อ ธ.ค.ปีที่แล้ว

2 ก.พ.2562 เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเซนทารา เซ็นทรัลเวิลด์ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกความเข้าใจส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขกับสาธารณรัฐเคนยา โดยมี ซิสิลี เค อาริอุคิ รมว.สาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยา ร่วมลงนาม

นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ไทยและเคนยา มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการมานานกว่า 50 ปี และไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ที่มีเกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพ เพื่อช่วยเคนยาสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดี

รมว.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า ขณะนี้โลกได้เรียนรู้แล้วว่า ระบบหลักประกันสุขภาพ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงระบบสังคมกับระบบเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน โดยองค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้เป็นเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี 2030 ซึ่งไทยยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในการให้ความร่วมมือเคนยา เพื่อสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีคุณภาพต่อไป

ขณะที่  ซิสิลี กล่าวว่า เคนยาเพิ่งเริ่มต้นนำร่องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทั้งรัฐบาลไทย และจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการถ่ายทอดความรู้ และแนวทางการนำนโยบายไปปฏิบัติ ทั้งนี้ ไทยถือเป็นผู้นำด้านระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และหลายประเทศทั่วโลกกำลังเดินตาม

รมว.สาธารณสุขสาธารณรัฐเคนยา กล่าวอีกว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันฉบับนี้ จะเสริมสร้างความเข้มแข็งทั้งในด้านความรู้เกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การจัดการด้านการเงินในระบบหลักประกันสุขภาพ การประเมินผลเทคโนโลยี-นโยบายด้านสุขภาพ รวมถึงการบริหารทรัพยากรบุคคลในระบบสุขภาพ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และขยายระบบหลักประกันสุขภาพในเคนยาให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป

ทั้งนี้ ประเทศเคนยา นำร่องระบบหลักประกันสุขภาพสำหรับประชากร 3.2 ล้านคน เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2561ใน 4 พื้นที่ และกำลังวางแผนขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป โดยขณะนี้หลายประเทศในแอฟริกา อยู่ระหว่างเริ่มต้นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตามเป้าหมายที่องค์การสหประชาชาติประกาศให้เป็นเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2030 โดยมีองค์กรระหว่างประเทศอย่าง องค์การอนามัยโลก ธนาคารโลก ให้การสนับสนุน และมีไทยเป็นจุดหมายสำคัญ ที่ทุกประเทศในแอฟริกาให้ความสนใจ ในฐานะต้นแบบของประเทศรายได้ปานกลาง แต่สามารถสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ประสบความสำเร็จระดับโลก

นอกจากนี้ รมว.สาธารณสุขสาธารณรัฐเคนยา ยังมีกำหนดการนำคณะดูงานด้านระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ สปสช. ในวันที่ 2 ก.พ.62 อีกด้วย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'เอกชัย'แขวนฝรั่งประตูทำเนียบ บอกกินคู่กันกับ 'พริก-เกลือ'ที่ นศ.เอามาไล่ประยุทธ์

$
0
0

เอกชัย หงส์กังวาน นำฝรั่งมาแขวนประตูทำเนียบ หลังวานนี้นักศึกษาถูกจับเพราะเอา 'พริก-เกลือ'มาไล่พล.อ.ประยุทธ์

ภาพขวา ภาพโดย : สงวน คุ้มรุ่งโรจน์

3 ก.พ.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมือง นำฝรั่งไปแขวนไว้ตรงประตูหลังจากวานนี้กลุ่มนักศึกษาที่นำโดย พริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ธนวัฒน์ วงค์ไชย (บอล) อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำพริก เกลือ และกระเทียม มาไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.

"เมื่อวานนี้กลุ่มนักศึกษานำพริก-เกลือมามอบให้กับ คสช. แต่ถูกตำรวจยึด วันนี้ผมจึงเอาฝรั่งสดมาฝากให้กินคู่กัน" เอกชัย กล่าว 

สำหรับกรณีวานนี้ โพสต์ทูเดย์รายงานว่า พริษฐ์ พร้อมเพื่อนนักศึกษาเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่ออ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมทำกิจกรรมแขวนพริก เกลือ กระเทียม บริเวณรั้วทำเนียบ ก่อนถูกตำรวจจับคุมตัวดำเนินคดีข้อหาจัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้าตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ข้อหา "จัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า"และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และจะคุมตัวส่งฟ้องต่อศาลแขวงดุสิตในวันที่ 4 ก.พ.นี้. 

ทั้งนี้ เมื่อ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ หลุดพูด “มึงลองมาไล่ดูสิ” หลังมีกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐทาบทามให้อยู่ในบัญชีนายกฯ ของพรรค

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผู้ลี้ภัยเขียนหนังสือในที่กักกันชนะรางวัลวรรณกรรมออสเตรเลีย ชาวเน็ตจี้ รบ. ปล่อยตัว

$
0
0

เบห์รูซ บูชานี ชาวอิหร่านเชื้อสายเคิร์ดผู้ขอลี้ภัยในออสเตรเลียกลายเป็นนักเขียนที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมวิกตอเรียนไพรซ์ จากหนังสือที่เขาเขียนด้วยโปรแกรมส่งข้อความ WhatsApp ขณะอยู่ในสถานกักกัน หลังจากที่ทางการออสเตรเลียปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าลี้ภัยในประเทศ เรื่องนี้ทำให้มีคนวิจารณ์ผ่านทางทวิตเตอร์ว่าออสเตรเลียกำลังทำอะไรย้อนแย้งในตัวเองและเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ขอลี้ภัยเหล่านี้

(ซ้าย) เบห์รูซ บูชานี (ที่มา: Facebook/ Behrouz Boochani)

2 ก.พ. 2562 ชาวอิหร่านเชื้อสายเคิร์ดชื่อเบห์รูซ บูชานี เคยหนีออกจากประเทศหลังทางการอิหร่านพยายามจับกุมเขาจากงานข่าวที่เขาทำ บูชานีพยายามเดินทางเข้าออสเตรเลียทางเรือสองครั้ง ในครั้งแรกเรือที่เขาโดยสารมาอับปางลงโดยที่บูชานีได้รับการช่วยชีวิตจากชาวประมงอินโดนีเซีย ส่วนครั้งที่สอง เหตุเกิดเมื่อปี 2556 กองทัพเรือออสเตรเลียสกัดจับเรือที่เขาโดยสารมาพร้อมผู้ขอลี้ภัย 75 ราย หลังจากนั้นบูชานีก็ถูกส่งตัวไปที่สถานกักกันเกาะมานัส พื้นที่ในเขตของปาปัวนิวกินีแต่มีออสเตรเลียเป็นเจ้าของสถานกักกัน

ที่นั่น บูชานีเขียนหนังสือของตัวเองจนได้รับรางวัลวรรณกรรมวิคตอเรียนไพรซ์ ซึ่งถือเป็นรางวัลวรรณกรรมที่สำคัญที่สุดของออสเตรเลีย แต่เขาก็ไม่สามารถไปรับรางวัลในเมลเบิร์นด้วยตัวเองได้เพราะไม่สามารถออกจากสถานกักกัน

บูชานีได้รับรางวัลจากผลงานชื่อ "No Friend but the Mountains" (ไม่มีใครเป็นเพื่อนนอกจากภูเขา) โดยชนะทั้งรางวัลหลักที่มีเงินรางวัล 100,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 2.3 ล้านบาท) และชนะในสาขาหนังสือที่ไม่ใช่เรื่องแต่ง (Non-Fiction) เป็นเงินรางวัล 25,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 560,000 บาท)

บูชานีเขียนเรื่องนี้ด้วยภาษาฟาร์ซีจากในที่สถานกักกันใจกลางเกาะมานัส (ปัจจุบันเป็นสถานกักกันที่ปิดตัวไปแล้ว) เขาเขียนมันด้วยโปรแกรมส่งข้อความโทรศัพท์มือถือที่ชื่อ WhatsApp โดยส่งไปให้กับผู้แปลงานของเขา อย่างไรก็ตามหลังจากที่ถูกคุมขังในเกาะมานัสในปี 2556 บูชานีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกอีกเลยเช่นเดียวกับผู้ต้องขังรายอื่นๆ

เรื่องนี้ทำให้บูชานีพูดว่าการที่เขาได้รับรางวัลเป็น "ความรู้สึกที่ย้อนแย้ง"และบอกว่าเขาไม่อยากเฉลิมฉลองความสำเร็จนี้ในขณะที่ต้องเห็นประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากรอบตัวเขาทนทุกข์ นอกจากนี้บูชานียังให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ขอลี้ภัยโดยบอกว่า "พวกเราไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไร พวกเราแค่ต้องการขอลี้ภัย"

การให้รางวัลในครั้งนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทวิตเตอร์ว่าออสเตรเลียแสดงออกแบบ "มือถือสากปากถือศีล"และ เป็น "การกระทำที่ไม่สอดคล้องกับความคิด"ในขณะเดียวกันก็แสดงความยินดีกับบูชานี หนึ่งในผู้ที่วิจารณ์ในเรื่องนี้เป็นผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ Omar Sakr ผู้ที่เป็นนักเขียนเหมือนกัน เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องย้อนแย้งที่ออสเตรเลียยกย่องเรื่องราวและผลงานของ "คนที่พวกเขากำลังกระทำทารุณ"คนที่ยังถูกคุมขัง คนที่พวกเขาทำให้อยู่ในสภาพเป็นคนไร้รัฐ และเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวคนเหล่านี้

เรียบเรียงจาก

Boochani: Asylum seeker on Manus wins Australian literature prize, Aljazeera, Feb. 2, 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รักษ์โลกและหลอดดูด | หมายเหตุประเพทไทย #247

$
0
0

จากกระแส "ลด ละ เลิก"ผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยเฉพาะถุงและหลอดพลาสติก หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ คำ ผกา และประภาภูมิ เอี่ยมสม ผู้ออกตัวว่าไม่ถนัดเรื่องสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ จะพาไปรู้จักวัฒนธรรมหลอดดูดตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไปจนถึง Marvin Stone ผู้ประดิษฐ์หลอดกระดาษในปี 1895 และต่อมาจะกลายเป็นหลอดที่ทำจากพลาสติก ไปจนถึง Joseph Friedman ผู้ประดิษฐ์หลอดงอ หรือ "Bendy Straw"ในปี 1937 ซึ่งแรกเริ่มใช้ป้อนของเหลวสำหรับผู้ป่วย ก่อนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกินดื่ม รวมทั้งวิวัฒนาการของหลอดพลาสติกสำหรับกินชาไข่มุก ฯลฯ

ส่วนเรื่องการลดใช้พลาสติก มาตรการในระดับปัจเจกบุคคลทั้งการใช้ถุงผ้า พกแก้วน้ำ พกกล่องข้าว ไม่ใช้หลอด ฯลฯ ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นวิถีปฏิบัติแบบศาสนา เพราะการผลักดันเพื่อเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างมีความจำเป็น ทั้งการออกมาตรการของรัฐเพื่ออุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ แล้วเก็บภาษีผลิตภัณฑ์ที่สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมและกระทบกับชีวิตสัตว์โลกน่ารักทั้งหลาย

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
YouTube เพลยลิสต์ หมายเหตุประเพทไทย
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: คนผู้ต้องถูกปิดปาก

$
0
0

ความเหลื่อมล้ำนำที่หนึ่งถึงฝุ่นพิษ     ภายใต้ฤทธิ์เดชใดใคร่ไถ่ถาม

เหลื่อมล้ำมากลากไปฆ่าพยายาม     คำตอบตามความเป็นจริงไม่อิงนิยาย

จิตใจร้อนแล้งล่ามองหาเหยื่อ     ต้องเชือดเนื้อเถือหนังสั่งเป้าหมาย

วิกฤติเหตุเมตตามาล้มตาย     วิกฤติร้ายทุนนิยมผสมเผด็จการ

ความร่มเย็นเป็นสิ่งดีมีสาเหตุ     หากอาเพศพาหายพ่ายสังหาร

ความแหนหวงช่างหน่วงหนักในจักรวาล     อำนาจพาลพาพลัดพราก ฉากผองเรา

เราคือเหล่าผลผลิตชีวิตนี้       คำสอนมีเมตตา กรุณา ฝ่ายุคเศร้า

กาลเวลาพาเหลื่อมล้ำเงื่อนงำเงา     มอมเมาเขลาครอบคลุมในกลุ่มชน

ก่อกำเนิดฝุ่นธุลีอันมีพิษ     ราวผลิตฤทธีให้มีผล

กำเนิดเกิดหน้ากากปิดปากคน     อยู่ในเมืองเวทมนตร์อนธการ

คนต้องใส่หน้ากากกระดากกะโหลก     ลมโสโครกจะเข้าปอดลอดฝาบ้าน

พายุลมเหลื่อมล้ำกระหน่ำนาน     เฝ้ารังควานการอยู่เป็นเร้นฆาตกรรม

ทุนนิยมผสมเผด็จการผ่านไม่ง่าย     กี่คนพ่ายแพ้ภัยให้เหยียบย่ำ

จับแพะชนแกะมาให้หมานำ     เป็นเวรกรรมของกูมีย่ำยีกัน

เป็นบุญคุณฝุ่นธุลีที่ชี้เหตุ     สภาวะนิเวศน์ในเขตขัณฑ์

ถูกปิดปากอยากพูดความจริงสิ่งนานครัน     เผด็จการเมามันดื้อรั้นเอย.

                                           

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live