Quantcast
Channel: ประชาไท Prachatai.com
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live

พุทธิพงษ์ ลาออก เตรียมลงสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พปชร.

$
0
0

พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงลาออกจากตำแหน่ง เตรียมลงสนามการเมืองอีกครั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ

ที่มา เฟสบุ๊คแฟนเพจ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ (บี) 

5 ก.พ. 2562 ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลาประมาณ 09.15 น. พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงลาออกจากตำแหน่งแล้ว โดยให้มีผลทันที 

พุทธิพงษ์กล่าวว่า ตนได้เรียนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทราบแล้วว่าจะขอยุติบทบาทและลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีผลภายในวันนี้ (5 ก.พ.) ส่วนผู้ที่จะมารับหน้าที่ต่อจากตนนั้น นายกรัฐมนตรีจะมอบหมายในวันนี้

พุทธิพงษ์กล่าวต่อว่า การลาออกของตนไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เพราะไม่ได้มีข้อบังคับ แต่โดยส่วนตัวเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าไปเป็นผู้สมัครพรรคการเมืองหนึ่งก็ต้องการทำงานของว่าที่ผู้สมัคร คาดว่าจะสมัครบัญชีรายชื่อในอนาคตอันใกล้ อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตาม ตนไม่สามารถทำงานทั้ง 2 ด้านได้ และเพื่อป้องกันความสับสน รวมทั้งตนตั้งใจชัดเจนว่าต้องการใช้เวลาในการทำงานการเมืองจะเหมาะสมกว่า

ทั้งนี้ พุทธิพงศ์เป็นประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ของพรรคพลังประชารัฐ และมีรายชื่อเป็นผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคด้วย

ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมว่า พุทธิพงศ์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้ฉายาว่า 4 เสือ กปปส. ซึ่งประกอบด้วย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ(ปัจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ) สกลธี ภัททิยกุล (ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าราชการ กทม.) ชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมมพร และตัวเขาเอง

พุทธิพงศ์ ได้รับการแต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 ก.ย. 2561 ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ต่อมาในรับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแทน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หลังถูกย้ายไปทำหน้าที่รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เด็กไร้รากเหง้าแม่สอด 46 คนได้สัญชาติไทย เผยได้สัญชาติทำให้เห็นอนาคตมากขึ้น

$
0
0

เด็กไร้สัญชาติ 46 คนที่เกิดในไทยและถูกทอดทิ้งในโรงพยาบาลแม่สอดและคลินิกหมอซินเธีย อายุ 10-18ปี ในการดูแลของมูลนิธิช่วยเหลือทางสังคมเพื่อเด็กและสตรี ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยแล้ว

 

5 ก.พ. 2562 สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิช่วยเหลือทางสังคมเพื่อเด็กและสตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 4 ก.พ. 2562 ได้นำเด็กนักเรียนซึ่งเป็นเด็กที่เกิดในไทยและถูกทอดทิ้งในโรงพยาบาลแม่สอดและคลินิกหมอซินเธีย จำนวน 46 คน เข้ารับบัตรประจำตัวประชาชน จากภัทรดนัย อุทัยรัตน์ ปลัดอำเภอหัวหน้างานทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

“เด็กเหล่านี้เป็นการได้สัญชาติไทยตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 ธันวาคม 2559 เพื่อแก้ไขปัญหาเด็กไร้รากเหง้าที่ยังไร้สัญชาติ โดยถือว่าเด็กเป็นผู้ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดเนื่องจากเกิดในราชอาณาจักรไทย ที่ผ่านมาก็มีเด็กชายอดุลย์ สามอ่อน หนึ่งในหมูป่าที่ติดในถ้ำขุนน้ำนางนอนได้รับสัญชาติไทยตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ไปแล้ว” สุรพงษ์กล่าว

ภัทรดนัย อุทัยรัตน์ กล่าวว่า รัฐบาลและกรมการปกครองได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องสัญชาติตลอดมา หลังจากที่ทางอำเภอแม่สอดได้รับคำร้องในเดือนกันยายน 2560 ก็ได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง และเสนอให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา ซึ่งกลุ่มนี้เป็นเด็กอายุ 10-18 ปี เป็นอำนาจอนุมัติของนายอำเภอ นายอำเภอแม่สอดให้ความสำคัญและรีบเร่งดำเนินการตามกฎหมายให้ นอกจากนี้มีเด็กอายุมากกว่า 18 ปี อีก 5 รายที่ต้องมีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ปัจจุบันได้ตรวจสอบเสร็จแล้วกำลังจะส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาอนุมัติต่อไป

ด้านสุรพงษ์ กองจันทึก กล่าวเพิ่มเติมว่า เด็กเหล่านี้เป็นคนไทยโดยการเกิดจึงมีสิทธิเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือสมัครลงรับเลือกตั้งเป็นส.ส. หรือรับราชการ ทั้งทหาร ตำรวจ หรือแม้เป็นแพทย์  นอกจากเด็กที่เกิดในประเทศไทยแล้ว ยังมีเด็กที่ไม่สามารถพิสูจน์การเกิดและสัญชาติได้ ที่อยู่ในการดูแลของสถานสงเคราะห์ตามกฎหมาย ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพิ่งผ่านกฎหมายแก้ไขพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาในการแก้ไขปัญหานี้ โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนด  ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานจะมีการประกาศใช้เป็นกฎหมายในราชกิจจานุเบกษา

ส่วนวนารี จรณพงษ์ อายุ 15 ปี กล่าวว่า แม้ตนจะเกิดในประเทศไทย เดิมไม่ได้รับการแจ้งเกิดเลยยังไม่ได้สัญชาติไทย  ถึงตนจะชอบร้องเพลง แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้เป็นนักร้องตามฝัน และตั้งใจว่าคงเรียนหนังสือถึงชั้นมัธยม 3 เพราะคิดว่าตนเองไม่มีอนาคต  แต่พอได้รับสัญชาติไทย ทำให้มีความหวังว่าจะเป็นนักร้องประกอบอาชีพนี้ได้ และตั้งใจจะเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยจะพยายามเรียนให้ถึงปริญญาเอกซึ่งเป็นระดับสูงสุด

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กกต. ชี้ ‘ประยุทธ์’ ยังจัดรายการศาสตร์พระราชาได้ เพราะเป็นการทำหน้าที่ปกติ

$
0
0

เลขขาฯ กกต. แถลงภาพรวมการสมัคร ส.ส. วันที่ 2 มีคนสมัครเพิ่ม 546 คน รวมยอดทั้งหมด 6,474 คน มากกว่าปี 54 สามเท่าตัว พร้อมชี้ประยุทธ์ยังจัดรายการศาสตร์พระราชาได้ และพรรคประชาชนปฎิรูปสามารถอ้างคำสอนพระพุทธเจ้ามาหาเสียงได้ เพราะเป็นเรื่องที่ดี

5 ก.พ. 2562 พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมภา เลขาธิการ กกต. แถลงภาพรวมการเปิดรับสมัคร ส.ส. ทั่วประเทศจนถึงครึ่งเช้าของวันที่สองว่า การรับสมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้รับรายงานจากทั่วประเทศว่ามีผู้สมัครเพิ่มขึ้นจากวันแรก 546 คน มีพรรคการเมืองที่ยื่นสมัครรวม 60 พรรค รวมมีผู้สมัคร 6,474 คน สูงขึ้นกว่าปี 54 ถึง 3 เท่า สำหรับการรับสมัครระบบบัญชีรายชื่อของวันนี้ มีพรรคการเมืองยื่นสมัครจำนวน 4 พรรคประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย ไทยรักษาชาติ เสรีรวมไทย และพรรคพลังธรรมใหม่ รวมการสมัครสองวันมีสมัครแล้ว 6 พรรคการเมือง ส่วนเงินค่าสมัครส.ส.กกต.จะนำเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองใช้สำหรับกิจกรรมของพรรคการเมืองตามกฎหมาย ทั้งนี้อยากให้พรรคตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะส่งสมัครให้ครบถ้วนเนื่องจากเมื่อจ่ายค่าสมัครแล้วไม่สามารถขอค่าสมัครคืนได้ รวมทั้งการยื่นสมัครก็ไม่ควรแห่กันมาในวันสุดท้ายพร้อมกันวันเดียวเพราะถ้าตรวจเอกสารให้ไม่ทันเวลา 16.30 น.ของวันสุดท้ายของการรับสมัครคือวันที่ 8 ก.พ. กกต.ก็จะไม่สามารถรับสมัครได้ ไม่สามารถทดหรือต่อเวลาได้

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ยังเตือนเรื่องของการติดตั้งป้ายหาเสียงว่า ขอให้พรรคการเมืองและผู้สมัครปฏิบัติตามกฎหมาย สำรวจป้ายของตนเองว่ามีการติดตั้งกีดขวางทางเท้าหรือการจราจรหรือไม่ เพราะมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาว่ามีผู้สมัครติดตั้งป้ายบริเวณทางเท้าทำให้ต้องลงมาเดินบนถนนแแทนเกรงจะเกิดอันตราย จึงขอให้เร่งแก้ไข

"อย่ามองว่ากฎหมายเป็นเรื่องจุกจิก ขอให้มองที่ความรับผิดชอบต่อสังคม การติดป้ายขวางทางแทนที่คนจะเลือกอาจไม่เลือกเลย เรื่องเล็กน้อยอาจเป็นจุดเปลี่ยนในการตัดสินเพราะประชาชนอาจมองว่าผู้สมัครไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งผู้ตรวจการเลือกตั้งได้ลงพื้นที่และมีการแจ้งเตือนไปยังผู้สมัครแล้ว"พ.ต.อ.จรุงวิทย์

ส่วนที่ผู้สมัครพบว่าป้ายหาเสียงชองตนถูกเผา หรือโดนกรีด ก็ให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัครในฐานะเจ้าทุกข์ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาที่สถานีตำรวจในพื้นที่

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ยังกล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ว่าวันนี้ กกต. จะรอฟังมติ ครม. เรื่องการวางตัวเป็นกลางทางการเมืองเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าอะไรทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนเรื่องการจัดรายการศาสตร์พระราชาถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ปกติสามารถทำได้ ส่วนกรณีที่บางพรรคนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาหาเสียง สามารถทำได้เพราะเป็นการนำเสนอสิ่งดีๆ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คปอ. ยื่นหนังสือชะลอร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ ชี้ประชาชนไม่มีส่วนร่วม เจ้าหน้าที่รัฐผูกขาดอำนาจ

$
0
0

 

สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน คปอ.ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าศรีสะเกษ ผ่านถึงประธาน สนช.ให้ชะลอร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ หวั่นกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน ประชาชนไม่มีส่วนร่วมบริหารทรัพยากร อำนาจผูกขาดที่เจ้าหน้าที่รัฐ ชี้เคยรวมหมื่นรายชื่อเสนอ พ.ร.บ. ฉบับภาคประชาชนแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

5 ก.พ. 2562 วานนี้ เวลาประมาณ 10.00 น.ตัวแทนสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ประกอบด้วย ชุมชนหนองบัว ชุมชนหนองหมู ต.โพธิ์ อ.เมืองศรีสะเกษ และชุมชนโคกป่าแดง ต.สำโรงปราสาท อ.ปรางก์กู่ จ.ศรีสะเกษ กว่า 30 คน เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ส่งถึงประธานสภานิติบัญญัติ ให้ชะลอการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ (พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ)

ปฐม รัตนวรรณ สมาชิก คปอ.ตัวแทนชาวบ้านชุมชนหนองบัว กล่าวว่า ภายหลังตัวแทนพี่น้องสมาชิก คปอ.ในพื้นที่ศรีสะเกษ ที่ต่อสู้ในสิทธิที่ดินทำกิน เดินทางมาถึงบริเวณศาลากลางจังหวัด ได้ร่วมกันเขียนข้อความลงแผ่นกระดาษเพื่อเป็นสื่อรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ รวมทั้งบุคคลต่างๆที่พบเห็นได้เข้าใจความหมาย โดยมีใจความว่า คนอยู่กับป่าหาของป่า ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ ,สนช.อยู่ในห้องแอร์ ชาวบ้านอยู่ในป่ามาแต่กำเนิด ใครควรมีสิทธิอยู่อาศัย,หยุดลิดรอนสิทธิชุมชน หยุดกระบวนการร่างกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม,จำคุก 4 - 10 ปี ปรับ 400,000 - 2,000,000 บาท นี่หรือคือสิ่งที่ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรม เป็นต้น

ปฐม บอกอีกว่า จากนั้นร่วมกันถือแผ่นป้ายที่เขียนข้อความดังกล่าว เดินรณรงค์ในบริเวณศาลากลาง และเดินขึ้นไปยังอาคารเพื่อเข้าพบผู้ว่าฯ แต่ปรากฎว่าทั้งผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯ ไม่อยู่ในห้องทำงาน ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าติดภารกิจที่อื่น จึงมอบหมายให้อนุรักษ์ ธรรมประจำจิต หัวหน้าสำนักงานจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้รับและลงลายมือชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือที่ยื่นเพื่อส่งมอบให้ผู้ว่าฯ แทน

ตัวแทน คปอ.ชี้ว่า หาก พ.ร.บ.อุทยาน มีการประกาศใช้โดยไม่ปรับแก้เนื้อหา จะมีผลกระทบต่อคนที่อยู่ในป่า ซึ่ง พ.ร.บ.เดิมที่ใช้อยู่ก็กระทบอยู่แล้ว แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับยิ่งจะส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนมากกว่าเดิม 

เช่น ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิชุมชนในการอนุรักษ์ที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรที่เคยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 รวมทั้งเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยการกำหนดให้มีการขออนุญาตใช้ประโยชน์เป็นรายบุคคล ที่ประชาชนสามารถทำกินได้คราวละ 20 ปี หากบุคคลนั้นเสียชีวิต ทายาทผู้สืบทอดต้องเริ่มดำเนินการขออนุญาตอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ทำให้ไม่มีความมั่นคงในชีวิต และการขออนุญาตต้องอยู่ใต้อำนาจของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังกำหนดให้ชาวบ้านหาของป่าไม่ได้ เป็นต้น

"แสดงให้เห็นถึงขาดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของชุมชนที่อาศัยอยู่ในเขตป่า โดยอำนาจผูกขาดอยู่ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียว ซึ่งมองว่าจะยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหาอย่างรุนแรงในอนาคตมากยิ่งขึ้น จึงมาร่วมแสดงจุดยืนว่า คนที่อยู่กับป่าไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง พ.ร.บ. นี้ ทั้งที่ภาคประชาชนในหลายส่วนได้เคยรวบรวมรายชื่อ 10,000 กว่ารายชื่อยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ. ฉบับภาคประชาชนกลับไม่ได้รับการสนองกลับ ดังนั้น สนช.ควรพิจารณาในการชะลอ พ.ร.บ.อุทยานออกไปก่อน โดยเปิดให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในเนื้อหาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ดีกว่า ไม่ใช่เป็นการมาเพิ่มปัญหาให้ประชาชนยิ่งทุกข์หนักยิ่งไปอีก"ปฐม กล่าว

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แนะนำวรรณกรรม 8 เล่มเกี่ยวกับนาซีและสงครามโลกครั้งที่ 2

$
0
0

แนะนำหนังสือดีอีก 8 เล่มที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งจากถ้อยคำของผู้เป็นเหยื่อโดยตรงและจากเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในยุคนั้น พร้อมตั้งคำถามว่าความโหดร้ายอันเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือนได้ของมนุษยชาตินั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเราจะทำอย่างไรอาชญากรรมอันร้ายแรงระดับนั้นจึงจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก

หลังจากได้แนะนำหนังดีทั้ง 8 เรื่องที่จะพาเราไปทำความรู้จักกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองของมนุษย์ที่มีใบหน้าและมีหัวใจกันไปแล้ว เราขอแนะนำหนังสือดีอีก 8 เล่มที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งจากถ้อยคำของผู้เป็นเหยื่อโดยตรงและจากเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ซึ่งให้ใบหน้าและเลือดเนื้อแก่เหยื่อที่หลงเหลือเพียงตัวเลขในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ ไปจนถึงมุมมองแบบนักวิชาการ ซึ่งชวนเรามาตั้งคำถามว่าความโหดร้ายอันเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือนได้ของมนุษยชาตินั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเราจะทำอย่างไรอาชญากรรมอันร้ายแรงระดับนั้นจึงจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก

การอ่านวรรณกรรมอาจทำให้เราเข้าใจบาดแผลของผู้อื่นมากขึ้น อาจสอนให้เราเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ที่ไม่ใช่เราและไม่ใช่พวกพ้องของเรา อีกทั้งยังอาจชวนให้เราหันมองชีวิตและบ้านเมืองของเราเองว่ากำลังเดินไปทางใด เราจะรักษาเสรีภาพของเราไว้ได้อย่างไร และทำอย่างไรเราจึงจะไม่ตกหลุมแห่งความเกลียดชังจนถึงกับยินยอมพร้อมใจส่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปสู่ความตาย ดังเช่นที่ซูซาน ซอนทาคได้กล่าวไว้ว่า

“วรรณกรรมอาจถูกเรียกได้ว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของการตอบสนองของมนุษย์ต่อสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่กำลังจะตายในขณะที่วัฒนธรรมต่างๆพัฒนาไปและมีปฏิสัมพันธ์กับกันและกัน...วรรณกรรมสามารถบอกเราว่าโลกเป็นอย่างไร วรรณกรรมให้บรรทัดฐานและเป็นเครื่องส่งต่อความรู้ที่บรรจุอยู่ในภาษาและในเรื่องเล่า วรรณกรรมสามารถสอนเราและฝึกฝนเราให้สามารถร้องไห้ให้กับผู้ที่ไม่ใช่ตัวเราหรือพวกพ้องของเรา”

000

แนะนำ 8 หนังดีเกี่ยวกับ ‘นาซี’, 30 ม.ค. 2562

Night

โดย เอลี วีเซล (Elie Wiesel)
พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2501
ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า “คืนดับ” แปลโดยสายพิณ กุลกนกวรรณ ฮัมดานี พิมพ์โดยสำนักพิมพ์โอ้มายก้อด

นวนิยายซึ่งเขียนขึ้นจากประสบการณ์ตรงของเอลี วีเซล ซึ่งเป็นนักโทษในค่ายกักกันเอาท์ชวิตซ์และบูเคนวัลด์ในช่วงปีค.ศ. 1944 – 1945 “คืนดับ” เป็นเรื่องเล่าของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่สูญสลายไปด้วยผลแห่งความโหดร้ายของชีวิตในค่ายกักกัน และความเป็นมนุษย์ที่ถูกทำลายไปจนไม่เหลือแม้แต่ความต้องการจะมีชีวิตอยู่ ดังที่เอลี วีเซลได้เขียนไว้

“ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมความเงียบสงัดในค่ำคืนนั้นที่ได้พาความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ไปจากข้าพเจ้าจนหมดสิ้น ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาเหล่านั้นซึ่งได้ฆ่าพระเจ้าและจิตวิญญาณของข้าพเจ้าและทำลายความฝันของข้าพเจ้าจนเป็นผุยผง”

ซึ่งเรื่องเล่าของการสูญเสียตัวตนและความเป็นมนุษย์นี้พบเห็นได้มากในวรรณกรรมว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นาซี เมื่ออยู่ในค่ายกักกัน นักโทษสูญเสียทุกอย่าง ตัวตนของพวกเขาถูกลดทอนลงจนเหลือเพียงตัวเลขที่สักไว้บนแขน และความเจ็บปวดของอาชญากรรมสงครามนาซีกลับกลายเป็นบาดแผลที่อาจไม่มีวันเลือนหายของมนุษย์ชาติ วีเซลเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องนี้สิบปีหลังจากค่ายกักกันบูเคนวัลด์ถูกปลดปล่อย โดยเขากล่าวว่า “ใน “คืนดับ” ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงจุดจบ...ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลง – มนุษย์ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ศาสนา พระเจ้า ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก แต่ถึงกระนั้นเราก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในยามราตรี”

นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในงานเขียนไตรภาคของเอลี วีเซลที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยเล่มที่สองและสาม คือ “Dawn” และ “Day”

 

The Diary of a Young Girl

โดย แอนน์ แฟรงค์ (Anne Frank)
พิมพ์ครั้งแรกในภาษาดัชท์ปี 2490 ภาษาอังกฤษปี 2495
ฉบับภาษาไทยชื่อว่า “บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์” แปลโดยสังวร ไกรฤกษ์ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อ

แอนน์ แฟรงค์ได้รับสมุดไดอารี่ปกสีแดงเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 13 ปี ซึ่งแอนน์ตั้งชื่อว่า “คิตตี้” หนึ่งเดือนต่อมา พี่สาวของแอนน์ได้รับใบเรียกให้ไปรายงานตัว ครอบครัวของเธอจึงต้องย้ายจากบ้านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นบนของตึกที่ทำงานของพ่อของเธอ โดยประตูทางเข้าถูกบังไว้ด้วยชั้นหนังสือ หลังจากแอนน์เสียชีวิตในค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซน ขณะที่มีอายุได้ 15 ปี พ่อของเธอ ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว ได้ตีพิมพ์ไดอารี่ของเธอ

แอนน์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1945 ถ้าหากในขณะนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะมีอายุ 90 ปี และถึงแม้ว่าเธออาจไม่มีชีวิตรอดมาเล่าเรื่องราวของตัวเองเหมือนกับเอลี วีเซล แต่ข้อความในไดอารี่ที่เธอทิ้งไว้ก็เป็นเหมือนตัวแทนของเธอและสื่อกลางในการเล่าเรื่องราวของชีวิตที่ถูกตัดให้สั้นไปด้วยเหตุแห่งสงคราม ขณะนี้ “บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์” ได้มีการแปลไว้แล้วถึง 60 ภาษา และอาจถือเป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธ์นาซีที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดในโลก

 

The Book Thief

โดย มาร์คัส ซูซัก (Markus Zusak)
พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2548
ฉบับภาษาไทยใช้ชื่อว่า “จอมโจรหนังสือ” แปลโดยบีจา พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพิร์ล พับบลิชชิ่ง
สร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2556 กำกับโดย ไบรอัน เพอร์ซิวาล (Brian Percival)
โซฟี เนลิสเซ (Sophie Nélisse) รับบทลีเซล เมมิงเจอร์

ในนวนิยายเรื่องนี้ ความตายเป็นผู้เล่าเรื่องราวของลีเซล เมมิงเจอร์วัย 10 ปี ซึ่งพ่อของเธอหายตัวไป น้องชายเสียชีวิต และแม่จำต้องส่งลีเซลให้กับพ่อแม่อุปถัมป์ ลีเซลล์เริ่มขโมยหนังสือจากที่ต่างๆ รวมไปถึงจากในกองไฟที่ทหารนาซีกำลังเผาหนังสือเพื่อฉลองในวันเกิดของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นอกจากนี้พ่อแม่อุปถัมป์ของลีเซลยังให้ที่หลบซ่อนกับชายชาวยิวคนหนึ่ง อันเป็นการกระทำที่อาจหมายถึงความตายในนาซีเยอรมนี นวนิยายเรื่องนี้เลือกเล่าเรื่องราวของการใช้ชีวิตในนาซีเยอรมนีผ่านสายตาของเด็กหญิง ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่นักโทษในค่ายกักกันเ ลีเซลเองก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามเช่นกัน โดย “จอมโจรหนังสือ” เป็นเรื่องราวที่เล่าถึงพลังของถ้อยคำและงานเขียนในห้วงเวลาแห่งความเกลียดชัง เป็นเรื่องราวของความกล้าหาญของผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกกระทำ แม้ว่าการให้ความช่วยเหลือนั้นอาจเป็นอันตรายต่อตัวพวกเขาเอง เรื่องราวของความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในโลกที่โหดร้าย เรื่องราวของชีวิตและความตาย

 

Sophie Scholl กุหลาบขาวและนาซี

โดย ไพรัช แสนสวัสดิ์
พิมพ์ครั้งแรกปี 2559 โดยสำนักพิมพ์ Way of Book

โซฟี โชล เป็นสมาชิกของ “ขบวนการกุหลาบขาว” กลุ่มนักศึกษาปัญญาชนที่ต่อต้านระบอบนาซีโดยใช้สันติวิธี ไม่ใช่อาวุธ ใช้เพียงถ้อยคำ ต่อมาโซฟีถูกจับข้อหากบฏหลังจากเธอถูกพบว่าแจกใบปลิวต่อต้านสงครามในมหาวิทยาลัยมิวนิค เธอและฮันส์ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับแกนนำของกลุ่มถูกตัดสินประหารชีวิต

เรื่องราวของโซฟีและขบวนการกุหลาบขาวคือเรื่องเล่าของกลุ่มคนเล็กๆที่แม้อาจไม่มีพลังอำนาจมากมาย แต่เป็นผู้ยึดมั่นในหลักการและกล้ายืนหยัดต่อสู้กับความโหดร้ายและอยุติธรรม และถึงแม้ว่าจะไม่มีแรงสนับสนุนมากมายในเวลานั้น เรื่องราวของโซฟีและขบวนการกุหลาบขาวก็ได้กลายเป็นตำนานในปัจจุบัน โดยในมหาวิทยาลัยมิวนิคยังมีจัตุรัสชื่อ “จัตุรัสสองพี่น้องโชล” ซึ่งเป็นที่ระลึกถึงฮันส์และโซฟี หนังสือเล่มนี้อาจไม่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าของประวัติศาสตร์ที่ไกลตัว แต่อาจเป็นเครื่องเตือนใจว่าเราควรตั้งคำถามต่อระบบและยืนหยัดต่อสู้ความโหดร้ายแทนที่จะเงียบเสียงไว้ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอยได้อีกครั้งเช่นกัน

 

I Serve the King of England (Obsluhoval jsem anglického krále)

โดย โบฮุมิล ฮราบัล (Bohumil Hrabal)
พิมพ์ครั้งแรกในภาษาเช็ก ปี 2514 ภาษาอังกฤษปี 2532

นวนิยายเรื่องนี้คือเรื่องของชายนามดีเจ (Dítě เป็นภาษาเช็ค แปลว่าเด็ก) ซึ่งทำงานอยู่ในโรงแรมในกรุงปราก คนรักของเขาคือลีเซ่นั้นเป็นชาวเยอรมันและเป็นผู้สนับสนุนฮิตเลอร์อย่างสุดจิตสุดใจ ยานและลีเซ่แต่งงานกันและย้ายไปอยู่ในสถานตากอากาศสำหรับหญิงชาวอารยันของพรรคนาซี เมื่อเขาและภรรยาต้องการมีบุตร ยานต้องถูกตรวจร่างกายเพื่อที่จะได้รับอนุญาตให้มีบุตร เนื่องจากเขาไม่ใช่ชาวเยอรมัน นี่คือนวนิยายที่ชวนให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับเส้นแบ่งระหว่างเหยื่อและผู้กระทำ ยานนั้นอาจไม่ได้สนับสนุนระบอบนาซีอย่างเต็มตัว แต่เขาก็ไม่ได้ต่อต้านเช่นกัน เขาเพียงแต่ใช้ชีวิตไป พยายามไปให้ถึงความฝัน เช่นนี้แล้ว เขาทำผิดหรือเปล่าที่เลือกจะใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต่อต้านหรือตั้งคำถามกับระบอบ เขาคือผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำกันแน่ นอกจากนี้ นวนิยายเรื่องนี้ยังชวนให้คิดถึงผลกระทบของสงคราม ที่ไม่ได้มีผลแค่กับผู้ที่เป็นเหยื่อโดยตรง หรือเป็นผู้กระทำโดยตรงเท่านั้น

I Serve the King of England ได้มีการสร้างเป็นภาพยนตร์โดยยิชี เมนเซล ผู้กำกับชาวเช็ค และได้ฉายครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2549

 

Why Read Hannah Arendt Now?

โดย ริชาร์ด เจ. เบิร์นสไตน์ (Richard J. Bernstein)
พิมพ์ครั้งแรกปี 2561

หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Richard J. Bernstein นักวิชาการจาก New School for Social Research และเพิ่งตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2018 นี้เอง หนังสือเล่มนี้เป็นการนำเสนอความคิดและงานเขียนของ Hannah Arendt ที่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในยุครว่มสมัย

ผู้เขียนบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตและแนวคิดที่สำคัญของ Hannah Arendt นักคิดคนสำคัญแห่งยุคศตวรรษที่ 20 ซึ่งลี้ภัยจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีมาอยู่ฝรั่งเศส และเมื่อฝรั่งเศสถูกยึดครอง ก็ได้ย้ายหนีมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1941 ในระหว่างนี้ อาเรนท์ต้องเป็นคนไร้รัฐเป็นเวลานาน 

ในช่วงชีวิตของเธอ เธอได้พัฒนา​แนวคิดขึ้นมากมาย งานบางส่วนของเธอเขียนขึ้นเพื่อศึกษา​ระบอบนาซี​ในช่วงดังกล่าว​ หนึ่งในงานที่สำคั​ญ​ของเธอ คือ งานเขียนเรื่อง Eichmann in  Jerusalem ซึ่ง​เธอ​เสนอ​ว่า​ความ​โหดร้าย​ในระบอบนาซีเป็นสิ่งซึ่งสามัญ​ธรรม​ดา (banal)​ และเกิดขึ้น​เพียงเพราะ​ความ​สิ้นไร้ซึ่งความ​สามารถ​ในการคิด (thoughtlessness)​ มากกว่า​ที่​จะเกิดจากจิตวิญญาณ​ซาตานที่ต้องการทำลายล้างโลกของปีศาจผู้ชั่ว​ร้าย 

หลายคนเห็นอย่างกับอาเรนท์อย่างรุนแรง แต่อาเรนท์ไม่ได้พยายาม​บอกว่า​ความ​โหดร้ายของระบอบนาซี​เป็น​เรื่องปกติ​ เธอพยายาม​เสนอให้เห็น​ว่าความชั่วร้ายนั้นทำงานอยู่ได้เพราะการที่คนไร้ซึ่งความสามารถ​ในการคิดเช่นนี้เอง และวิธีการแก้ปัญหา​ความโหดร้าย​เช่นนี้อาจสามารถเริ่มต้น​ได้ด้วยการคิด หนังสือเล่มนี้นำแนวคิดต่าง ๆ ของ Hannah Arendt​ ให้อ่านง่าย และชี้ให้เห็น​ว่าแนวคิดของเธอ ยิ่งสำคัญ​ในยุคร่วมสมัยที่เราใช้ชีวิต​อยู่​

 

Escape from Freedom

โดย อีริค ฟรอมม์ (Eric Fromm)
พิมพ์ครั้งแรกปี 2484
ฉบับภาษาไทยชื่อ “หนีไปจากเสรีภาพ” แปลโดยสมบัติ พิศสะอาด

หนังสือ Escape from Freedom เขียนโดย อิริก ฟรอมม์ นักจิตวิเคราะห์ชาวยิวที่หนีออกมาจากเยอรมนีภายใต้ระบอบนาซีใน ค.ศ. 1934 หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1941 (ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ซึ่งเป็นช่วงกลางสงครามโลกครั้งที่ 2 อิริก ฟรอมม์ วิเคราะห์เงื่อนไขทางสังคมในยุโรปตั้งแต่ยุคกลางถึงศตวรรษที่ 20 เพื่ออธิบายว่าเหตุใดมนุษย์ถึงหนีเสรีภาพ จนนำไปสู่การขึ้นมาของระบอบนาซีและฮิตเลอร์

หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่การขาดไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ แต่อาจเป็นเพราะลักษณะนิสัยของมนุษย์บางอย่างไม่สามารถหลีกหนีจากอิทธิพลของปัจจัยทางสังคมที่สร้างมันขึ้นมาได้ ในทางจิตวิทยาแล้ว มนุษย์เป็นปัจเจกที่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์สามารถจัดการกับความโดดเดี่ยวได้หลายวิธี

อย่างไรก็ตาม ระบอบประชาธิปไตยภายใต้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมกลับยิ่งทำให้มนุษย์รู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก ด้วยเหตุนี้ การยอมเชื่อฟังจำนนต่อผู้มีอำนาจภายใต้ระบอบนาซีจึงเป็นวิธีหนึ่งในการหลีกหนีความโดดเดี่ยวดังกล่าว ผู้เขียนเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเศรษฐกิจไปสู่สังคมนิยม เป็นทางเลือกที่สามารถแก้ไขปัญหาความโดดเดี่ยวทางจิตวิทยาดังกล่าวได้ และอาจป้องกันไม่ให้ระบอบอำนาจนิยมอย่างเผด็จการนาซีเกิดขึ้นอีก

 

 

ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

โดย ภาณุ ตรัยเวช
พิมพ์ครั้งแรกปี 2559 โดยสำนักพิมพ์มติชน

วาทกรรม “ฮิตเลอร์มาจากการเลือกตั้ง” อยู่คู่กับการเล่าเรื่องราวของเยอรมนีในยุคนาซีมาเป็นเวลานาน แต่หนังสือเล่มนี้พยายามที่จะลบล้างวาทกรรมดังกล่าวด้วยการแสดงให้เห็นถึงภาพของสาธารณรัฐไวมาร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยในเยอรมนี แต่ก็อาจถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ปั่นป่วนที่สุดของประเทศด้วยเช่นกัน ประชาธิปไตยในสาธารณรัฐไวมาร์ล่มสลายลงได้อย่างไร เผด็จการนาซีเยอรมนีกำเนิดมาได้อย่างไร นี่คือคำถามที่หนังสือเล่มนี้ต้องการตอบ ซึ่งอาจทำให้เราต้องย้อนมามองดูบ้านเมืองของเราเองว่ากำลังเดินไปในเส้นทางใด และเราจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดการแบ่งเขาแบ่งเราหรือสร้างความเกลียดชังในระดับที่จะทำให้เราผลักผู้อื่นไปสู่ความตาย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

PM 2.5 สร้างความเสียหายหลักหมื่นล้าน พบค่าเฉลี่ยสารก่อมะเร็ง 19 ชนิด กรุงเทพสูงสุด

$
0
0

นักเศรษฐศาสตร์ชี้วิกฤตฝุ่น PM 2.5 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจหลักหมื่นล้าน กุมารแพทย์แนะนำให้งดกิจกรรมกลางแจ้งของเด็ก นักวิชาการเสนอ ทำค่ามาตรฐานควบคุมสารก่อมะเร็ง สร้างดัชนีคุณภาพอากาศเชิงสุขภาพ เร่งปลูกพืชใบหยาบเพื่อช่วยดูดซับฝุ่นละออง งานวิจัยพบค่าเฉลี่ยสารก่อมะเร็ง 19 ชนิด กรุงเทพสูงสุด ตามด้วยเชียงใหม่และภูเก็ต

5 ก.พ. 2562 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน Bangkok Breathe และโรงเรียนรุ่งอรุณ สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ Thai PBS (ไทยพีบีเอส) จัดเวทีพูดคุย ‘มลภาวะทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 กับผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย’  เพื่อร่วมกันหาทางออก

พญ.ปองทอง ปูรานิธีภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อเด็กว่า ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน มีขนาดเล็กจนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดของเด็กได้

“เด็กจะมีความเสี่ยงมาก เพราะอยู่ใกล้พื้นดิน และเด็กหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้ดูดซึมมลพิษได้มากกว่า และถ้าเด็กวิ่งเล่นหรือออกกำลังกาย จะยิ่งหายใจเร็ว ก็จะรับมลพิษเข้าร่างกายได้มากขึ้น ขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ จึงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่ ถ้ารับมลพิษตั้งแต่อายุน้อยก็จะเกิดโรคในระยะยาวได้” พญ.ปองทอง กล่าวพร้อมแนะนำว่า ในสภาวะที่ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน ควรงดกิจกรรมกลางแจ้งของเด็กและอยู่ในอาคารที่ปิดมากที่สุดเพื่อป้องกันฝุ่นจากสภาพแวดล้อมภายนอก

ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ระบุว่า ตอนนี้สาธารณะสนใจเรื่องฝุ่น PM 2.5 กับดัชนีคุณภาพอากาศมาก แต่อยากให้ใส่ใจสารก่อมะเร็งที่มากับฝุ่นเหล่านี้ด้วย ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีค่ามาตรฐานควบคุมสารก่อมะเร็งในชั้นบรรยากาศ จากงานวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยสารก่อมะเร็ง 19 ชนิด ในกรุงเทพมีปริมาณสูงสุด ตามด้วยเชียงใหม่และภูเก็ต

เอื้อมพร มัชฌิมวงศ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินคุณภาพอากาศและมลพิษทางอากาศ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ตอนนี้เหมือนอยู่ในห้องที่เพดานต่ำลงมา ทำให้ฝุ่นสะสมค่อนข้างมาก และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาในระยะยาว ประเทศไทยควรสร้างดัชนีคุณภาพอากาศเชิงสุขภาพ (Air Quality Health Index: AQHI) เพื่อเป็นมาตรฐานในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ นอกจากนี้ในด้านการติดตามสภาพอากาศ ผศ.ดร.เอื้อมพร แนะนำว่าควรใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับการอ้างอิงคุณภาพอากาศที่มีการอัพเดทที่สุดและเครื่องมือที่ใช้วัดที่มีมาตรฐานในระดับสากล เช่น แอพพลิเคชั่นแอร์ฟอไทยของกรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น

ในส่วนของมาตรการแก้ปัญหา นพ.อนวัช เสริมสวรรค์อายุรแพทย์ด้านหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เสนอการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น เช่น กระทรวงสาธารณสุขควรกำหนดมาตรฐานเครื่องป้องกันและควบคุมราคาเครื่องฟอกอากาศ ในฟากกรมควบคุมมลพิษก็ควรตรวจสอบโรงงานและแหล่งก่อมลพิษต่างๆ รวมถึงการจัดการจราจรในกรุงเทพฯ เพื่อลดการปล่อยควันจากรถยนต์

วิษณุ อรรถวานิชคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายในแง่เศรษฐศาสตร์ว่า ทุกๆ 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 ที่เกินกว่าระดับปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน จะสร้างความเสียหายแก่คนกรุงเทพฯ มูลค่า 18,400 ล้านบาทต่อปี นั่นหมายความว่าเมื่อเป็นฝุ่น PM 2.5 จะยิ่งสร้างความเสียหายมากกว่า ในคราวนี้จึงขอเสนอมาตรการแก้ปัญหา 6 อย่าง คือ การสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของฝุ่นพิษ ลดการปล่อยฝุ่นพิษจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในรถยนต์ ลดฝุ่นจากการเผาในที่โล่งแจ้งในภาคเกษตร ควบคุมและตรวจสอบการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม สร้างความร่วมมือ ข้อตกลง และใช้มาตรการทางการค้าเพื่อป้องกันมลพิษจากประเทศเพื่อนบ้าน และการประเมินผลความสัมฤทธิ์ของมาตรการต่างๆ

ธรรมรัตน์ พุทธไทยคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เสนอมาตรการระยะยาวด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง โดยให้พิจารณาต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบหรือใบร่วงน้อย เลือกพืชที่ใบมีขน มีความสากของใบ ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าต้นไม้ที่ใบผิวหยาบ มีความสาก หรือมีขน จะสามารถดักจับฝุ่นได้ดีกว่าต้นไม้ที่มีผิวใบเรียบ ดังนั้น ต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มที่มีใบขนาดเล็กจำนวนมากจะมีประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นละอองสูงกว่าต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่แต่มีจำนวนใบน้อย

ด้าน วีระศักดิ์ พุทธาศรีรองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า จากเวทีพูดคุยวันนี้ทำให้เห็นว่าฝ่ายวิชาการมีความเข้มแข็งมากในด้านข้อมูล ดังนั้น บทบาทต่อจากนี้ของ สช. คือการทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างภาควิชาการ ภาคประชาชน และฝ่ายนโยบายเข้าหากันตามทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา สร้างกระบวนการปรึกษาหารือ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมรับผิดชอบ ผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น และดึงข้อเสนอที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันไปสู่การปฏิบัติ

 “วิกฤตฝุ่น PM 2.5 ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะใช้พลิกฟื้นกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องฝุ่น แต่รวมถึงประเด็นอื่นๆ อย่างเมืองสีเขียว เมืองจักรยาน กระบวนการต่างๆ จะประกอบเป็นภาพใหญ่ที่จะพลิกเมืองกรุงเทพฯ อย่างเป็นรูปธรรม” วีระศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘ประยุทธ์’ ชี้กรณี ‘ฮาคีม’ อยู่ระหว่างกระบวนการยุติธรรม รบ.ไม่แทรกแซงฝ่ายตุลาการ

$
0
0

ขณะที่พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนระบุ หากคำร้องกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ครม.พิจารณาได้ ด้านกรมราชทัณฑ์แจง ‘ฮาคีม’ ใส่กุญแจเท้าตามกม. ไม่ใช่ตรวน ย้ำทำตามหน้าที่ ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษชน

(กลาง ใส่ตรวน) ฮาคีม อัล อาไรบี (ที่มา: Banrasdr Photo)

‘ประยุทธ์’ ชี้กรณี ‘ฮาคีม’ อยู่ระหว่างดำเนินการกระบวนการยุติธรรม รบ.ไม่อาจแทรกแซงฝ่ายตุลาการ

5 ก.พ. 2562 วันนี้ เว็บไซต์รัฐบาลไทยระบุว่า เวลา 13.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีที่มีกระแสข่าวต้องการให้ทางการไทย ปล่อยตัว ฮาคีม อัล-อาไรบี นักฟุตบอลชาวบาห์เรนซึ่งได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในออสเตรเลีย ให้เดินทางไปยังประเทศออสเตรเลีย ว่า กรณีดังกล่าวอยู่ในช่วงดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถแทรกแซงฝ่ายตุลาการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่อยากให้รีบตัดสินใจไปก่อนการพิจารณาของศาล พร้อมระบุว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมือง ในขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการประสานกับทางการของประเทศออสเตรเลียและบาห์เรน เพื่อที่จะทำให้กรณีดังกล่าวเป็นไปในทิศทางที่ดี  ในขณะเดียวกัน ที่มีกระแสแฮชแท็ก #BoycottThailand นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลได้เตรียมการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งออสเตรเลียและบาห์เรน อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนติดตามกรณีดังกล่าวต่อไป

 

พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนระบุ หากคำร้องกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ครม.พิจารณาได้

ขณะที่ใน พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551มาตรา 13 (2) ระบุว่า (๒) หากเห็นว่าคำร้องขอดังกล่าวอาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือมีเหตุผลอื่นที่ไม่อาจดำเนินการให้ได้ ก็ให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอความเห็นนั้นพร้อมด้วยคำร้องขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อความเห็นดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศ ให้พิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำร้องขอ ก็ให้กระทรวงการต่างประเทศส่งเรื่องให้ผู้ประสานงานกลางดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้

 

กรมราชทัณฑ์แจง ‘ฮาคีม’ ใส่กุญแจเท้าตามกม. ไม่ใช่ตรวน ย้ำทำตามหน้าที่ ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษชน

ขณะเดียวกันวันนี้เวิร์คพอยท์นิวส์รายงานว่า พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชนเผยแพร่ภาพและข่าวให้เข้าใจว่า ฮาคีม อัล – อาไรบี อดีตนักฟุตบอลทีมชาติบาห์เรน ถูกใส่ตรวน ขณะไปขึ้นศาลเพื่อขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน นั้น กรมราชทัณฑ์ ขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าว เป็นกุญแจเท้าไม่ใช่ตรวนอย่างที่เข้าใจกัน ซึ่งเป็นระเบียนขั้นตอนปกติที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์สามารถกระทำได้ตาม พ.ร.บ ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 21 ข้อ (4) ความว่า “เมื่อผู้ต้องขังถูกคุมตัวไปนอกเรือนจำและเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีหน้าที่ควบคุมเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ”  ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่เรือนจำในการพิจารณาใส่เครื่องพันธนาการเป็นเรื่องที่ผู้ควบคุม เห็นแล้วว่าผู้ต้องขังรายนี้เป็นที่สนใจของสังคม และมีความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่จึงพิจารณาเห็นสมควรใส่กุญแจข้อเท้า ซึ่งเป็นพันธนาการอย่างหนึ่งตามกฎหมาย

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวอีกว่า งานราชทัณฑ์เป็นงานสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งใคร่ขอชี้แจงต่อสังคมว่า เรามีหน้าที่ควบคุมและเคลื่อนย้ายนักโทษ และผู้ต้องขังที่ถูกจำกัดอิสรภาพ หรือถูกคุมขังไว้ตามอำนาจศาล หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปอย่างราบรื่นเรียบร้อย มิให้มีการแหกหักหลบหนี จะปล่อยให้เดินลอยชายตามใจคงไม่สามารถทำได้ เนื่องจากหากผู้ต้องขังหลบหนีระหว่างการควบคุมก็จะเป็นภัยต่อสังคม และเจ้าหน้าที่ก็จะถูกตั้งกรรมการสอบ ข้อหาละเว้น หรือละเลย ดังนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยพิจารณาจากกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว

 

อนึ่ง ฮาคีม อัล-อาไรบี ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากออสเตรเลีย สามารถอาศัยในออสเตรเลียได้ไม่จำกัดเวลา หลังเขาหลบหนีการถูกทางการบาห์เรนจับกุม ทรมานและถูกตั้งข้อหาลับหลังเพราะสมาชิกในครอบครัวเคยเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล เขาถูกจับที่ไทยเพราะมีหมายแดงขององค์การตำรวจนานาชาติหรือ INTERPOL เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 แต่ปัจจุบันหมายดังกล่าวถูกถอนแล้วตามระเบียบเรื่องการไม่ออกหมายต่อผู้ลี้ภัยที่ได้รับการรับรองสถานะแล้ว

ล่าสุดวันที่ 4 ก.พ. 2562 ที่ศาลอาญารัชดา ศาลนัดสอบคำให้การคดีฮาคีม อัล อาไรบี โดยศาลได้อ่านคำร้องของอัยการที่เห็นพ้องให้ส่งฮาคีมกลับไปยังราชอาณาจักรบาห์เรน โดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ต้องสงสัยของสำนักงานอัยการและศาลบาห์เรน เนื่องจากทำผิดกฎหมายบาห์เรนที่มีโทษจำคุก 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

หลังจากนั้น ทีมทนายความจำเลย (ฮาคีม) ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำคัดค้านการส่งตัวข้ามแดนไปยังบาห์เรนไปอีก 60 วัน เนื่องจากเพิ่งได้รับสำเนาคำร้องและเอกสารประกอบจากทางอัยการในวันนี้ และยังต้องเตรียมเอกสารจากต่างประเทศทั้งจากบาห์เรนและออสเตรเลีย ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับและภาษาไทย จึงต้องใช้เวลาศึกษาและแปลเอกสาร

 

มีมนุษย์ในฟุตบอล: ต่างชาติกดดันไทยขังแข้งบาห์เรนลี้ภัย ขอแฟนบอลร่วมยืนหยัด

ศาลอ่านคำร้องส่ง 'ฮาคีม'กลับบาห์เรน นัดทนายส่งคำคัดค้าน-พิสูจน์หลักฐาน เม.ย. นี้

 

ก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มีแถลงชี้แจงกรณีการจับกุมฮาคิมไปเมื่อ 8 ธ.ค. 2561 ว่า เขาถูกกักตัวโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสุวรรณภูมิเมื่อเดินทางมาถึงจากประเทศออสเตรเลีย เมื่อ 27 พ.ย. 2561 เวลา 20.50 น. ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 การกักตัวดังกล่าวเป็นไปโดยการตอบสนองต่อการแจ้งหมายแดง ซึ่งได้รับการแจ้งเตือนจากสำนักงานกลางตำรวจสากลแห่งชาติออสเตรเลีย (Interpol National Central Bureau) และคำร้องขออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลบาห์เรนเพื่อจับกุมและขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ตามแนวทางของพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนดังกล่าว สำนักงานอัยการสูงสุดอาจพิจารณายื่นคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อศาลตามคำร้องขอของรัฐบาลบาห์เรนภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่จับกุม เมื่อศาลรับพิจารณาคำร้องขอดังกล่าวแล้ว ศาลจะดำเนินการตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย รวมทั้งการตรวจสอบคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตลอดจนหลักฐานและคำให้การของพยานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ฮาคิมมีสิทธิในการให้ข้อคิดเห็น ข้อห่วงกังวล และพยานหลักฐานต่างๆ ต่อศาล

นอกจากนี้ เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว บุคคลที่เกี่ยวข้องยังคงมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิจารณาและทบทวนต่อไปอีก ถ้าหากมีการอุทธรณ์ การดำเนินคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะถึงที่สุดภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแล้วเท่านั้น

ในกรณีหมายแดงนั้น ข่าวของ กต. ระบุว่า แม้หมายแดงจะถูกถอนจากฐานข้อมูลของตำรวจสากลแล้ว แต่กระบวนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ทางการไทยได้รับคำร้องขออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลบาห์เรนเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2561 และการนำส่งต่อมาซึ่งเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับออกหมายจับชั่วคราวเมื่อ 3 ธ.ค. 2561 ทั้งนี้ แม้ไทยกับบาห์เรนไม่มีข้อตกลงทวิภาคีว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน แต่ฝ่ายบาห์เรนก็สามารถขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักประติบัติต่างตอบแทนและความร่วมมือซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในระหว่างประเทศ

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง : ในความเป็นมนุษย์...ของผู้ใช้ยาเสพติด

$
0
0

มองผู้ใช้ยาเสพติดผ่านงานศึกษาระดับปริญญาเอกของแพร ศิริศักดิ์ดำเกิง เมื่อพวกเขาละเมิดทุกบรรทัดฐานที่สังคมกำหนด พวกเขาจึงต้องยึดถือคุณค่าอื่นแทนเพื่ออยู่กับร่วมกับชุมชน ต้องสนทนากับตนเองและพระเจ้า ปรับตัวกับบาปโดยไม่ต้องการทิ้งศาสนา เมื่อผู้ใช้ยาให้เป็นมากกว่า ‘ไอ้ขี้ยา’ แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

  • กฎหมาย สุขภาพ และศีลธรรมทางศาสนา เมื่อผู้ใช้ยาละเมิดทุกบรรทัดฐานหลักๆ พวกเขาจึงต้องหาคุณค่าอื่นเพื่อยึดถือและอยู่ร่วมกับชุมชน ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ทางเครือญาติ
  • ชุมชนไม่ได้มองเพียงมิติของการเป็นผู้ใช้ยา แต่ยังมองว่าคนเหล่านี้คือลูก หลาน เพื่อน ที่เติบโตขึ้นมาในชุมชน
  • งานศึกษาชิ้นนี้นำไปสู่คำตอบเชิงนโยบายเรื่องการลดอันตรายจากการใช้ยาและการใช้ชุมชนเป็นฐานในการดูแลผู้ใช้ยา

ทัศนคติของสังคมไทยต่อผู้ใช้ยาเสพติดยังเป็นไปในทางลบ ยากที่จะมองเป็นอย่างอื่น การเคลื่อนไหวกรณีกัญชาที่ค่อยๆ เห็นผลในทางรูปธรรมเป็นเพียงข้อยกเว้น

มันยาก เมื่อสังคมไทยถูกบ่มเพาะความคิด ความเชื่อ มุมมองต่อยาเสพติดและผู้ใช้ยาเสพติดมาอย่างยาวนานในแบบที่เห็นกันอยู่ พอฉายไฟไปที่ผู้ใช้ยาเสพติด สิ่งที่มองเห็นคือไอ้ขี้ยา ตัวถ่วงสังคม อาชญากร และอื่นๆ มันแบนราบถึงขนาดนั้น ไม่เหลือมิติอื่นๆ ให้ทำความเข้าใจอีกเลย

วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของแพร ศิริศักดิ์ดำเกิง เรื่อง ‘ชีวิตมุสลิมใน “รังยาเสพติด”: ความปกติที่ต้องต่อรองในชุมชนแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย’ พยายามมองผู้ใช้ยาเสพติดในมิติที่เป็นมนุษย์มากขึ้น มากกว่าตัวละครแบนราบและดำสนิทในฉากชีวิต ผู้ใช้ยา-พวกเขารู้ตัวดีว่าบาปและไม่บริสุทธ์ตามกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมของศาสนา พวกเขาจึงต้องเสาะแสวงหาบรรทัดฐานอื่นๆ เพื่ออยู่ในชุมชนให้ได้ จัดรูปแบบความสัมพันธ์บางประเภทที่ยังพออนุญาตให้เขาเกาะเกี่ยวและมองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ถึงวิทยานิพนธ์จะมีชื่อศาสนาระบุไว้ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่ง การใช้ยาเสพติดมึนชาสติตนเองในทุกศาสนาล้วนเป็นบาป พวกเขาอาจเป็นคนบาป แต่ก็เป็นมนุษย์

จุดตั้งต้นแรกที่ทำให้สนใจศึกษาเรื่องนี้?

เราไปทำงานให้มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เขาอยากให้เล่าเรื่องชีวิตผู้ติดเชื้อในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีสถานะแตกต่างจากผู้ติดเชื้อในที่อื่น เพราะผู้ติดเชื้อในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มักเกิดจากการมีสามีเป็นผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด เขามีความรู้เรื่องเอชไอวี แต่เขาไม่คิดว่ามันจะติดต่อกันภายในครอบครัว และการที่อิสลามอนุญาตให้มีภรรยา 4 คน บางครอบครัวก็มีภรรยามากกว่า 1 คน การแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีจึงมีรูปแบบแตกต่างจากที่อื่น แล้วก็ได้หนังสือชื่อใต้เงาฮิญาบออกมา

คำถามตอนที่เราลงไปเก็บข้อมูลเรื่องนี้คือทำไมยาเสพติดถึงเยอะขนาดนี้ เข้าไปในชุมชนสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อ เขาก็เล่าว่ายาเสพติดเยอะมาก คำถามที่มีต่อผู้คนที่นั่นคือเขากังวลเรื่องความรุนแรงหรือเปล่า เขาบอกว่าความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่สิ่งที่เขากังวลมากกว่าคือยาเสพติดที่ระบาดอย่างหนักในพื้นที่ เป็นที่มาของความอยากรู้เรื่องนี้ว่ามันเป็นยังไง เยอะแค่ไหน และทำไมคนที่นี่จึงเลือกใช้ยาเสพติด

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตอนลงไปศึกษา เราไม่ได้เลือกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมันมีปัญหาปะปนไปกับเรื่องความมั่นคง เราจึงเลือกพื้นที่หนึ่งซึ่งเป็นชุมชนมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ คำถามต่อมาคือชาวมุสลิมเป็นกลุ่มคนที่ถูกรับรู้ว่าเคร่งศาสนา แล้วทำไมถึงจัดการเรื่องการแพร่ระบาดของยาเสพติดไม่ได้ เพราะเราเชื่อเสมอว่าความเชื่อเรื่องศาสนาจะเป็นเครื่องป้องกันความไม่ดีทั้งปวง

แล้วได้คำตอบหรือเปล่าว่าทำไมเคร่งศาสนาแล้วยาเสพติดจึงแพร่ระบาดหนัก?

ท้ายที่สุดแล้วไม่ได้คำตอบแบบนั้น เพราะลงไปก็จะมีมิติอื่นๆ ที่ทำให้เราเห็น ตอนออกแบบงานวิจัยมีคำถามแค่ว่า ทำไมเคร่งศาสนาแล้วยังมียาเสพติดแพร่ระบาด คำหนึ่งที่เราจะได้ยินเสมอจากคนในพื้นที่หรือคนที่เกี่ยวข้องว่า เห็นโดมมัสยิดไหนก็มียาเสพติดที่นั่น เป็นคำพูดที่เหมือนว่าชุมชนมุสลิมก็มียาเสพติด แต่ว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่ไหนก็ใช้ยาเสพติดทั้งนั้น สังคมพุทธก็ไม่ได้สามารถป้องกันยาเสพติดได้ เพราะมันมีตัวแปรอื่นๆ อีกเยอะแยะ

เราในฐานะคนที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด เราจะมีการรับรู้ว่าคนใช้ยาเป็นอันตราย คำถามที่ 2 ของงานวิจัยคือเมื่อคนใช้ยามากขนาดนี้ เขาอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมอย่างไร

ที่ว่ามากนี่คือมากขนาดไหน?

ตอนที่เราลงไปทำใต้เงาฮิญาบ เราก็จะถามว่าที่บอกว่ามีปัญหาหนักๆ เราจะเรียกมันว่าหนักอย่างไร คนก็จะบอกว่าผู้ชายหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของหมู่บ้านใช้ยาเสพติดอย่างใดอย่างหนึ่ง เบาๆ ก็กัญชา น้ำกระท่อม หนักๆ ก็เฮโรอีน ยาบ้า ซึ่งก็เป็นเปอร์เซ็นต์ที่เยอะ

กับผู้หญิง ตอนอยู่ในสนามมีคำเล่าลือว่าผู้หญิงใช้ยาเสพติด เราพยายามจะหาคล้ายๆ ว่าถ้าผู้ชายที่ใช้ยาได้รับการยอมรับในสังคมน้อยแล้ว ผู้หญิงน้อยยิ่งกว่าอีก การหาผู้หญิงที่ใช้ยาเสพติดที่ยอมให้สัมภาษณ์จึงยากมาก และเขาก็โดนตีตรา แต่เราหาเจอและมีผู้หญิงบางคนที่ยินดีที่จะเล่า ในวิทยานิพนธ์ก็จะมีเรื่องราวของผู้หญิงอยู่นิดหนึ่ง

พวกเขาทำอย่างไรเพื่อให้อยู่ในชุมชนได้?

เวลาเราคิดถึงคนใช้ยาว่าเขาจะอยู่ร่วมกับคนในสังคมอย่างไร หรือคนในสังคมจะอยู่ร่วมกับคนใช้ยาอย่างไร เรากำลังมีบรรทัดฐานใหญ่ๆ ในสังคม เช่น กฎหมาย เรารู้สึกว่าคนใช้ยาเป็นพวกทำผิดกฎหมาย สองคือผิดหลักการศาสนา เพราะเราก็รู้ว่าทุกศาสนาห้ามเรื่องยาเสพติด สามคือคนใช้ยาผิดบรรทัดฐานทางสุขภาพ เพราะคุณทำร้ายตัวเองด้วยการบริโภคสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกาย แล้วคนใช้ยา ณ วันนี้ถูกนิยามว่าเป็นผู้ป่วย ดังนั้น ตอนที่เราตั้งโจทย์วิจัยซึ่งไม่ดีหรอก เพราะเราใช้บรรทัดฐานของเราในการมองว่า เขาผิดบรรทัดฐานเหล่านี้ใช่มั้ย จะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไรล่ะ คือถ้าเราไม่มีบรรทัดฐานนี้มาตั้ง เราก็จะไม่มีคำถามว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างไร เพราะเขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งตอนหลังก็พบว่าคำถามวิจัยนี้ก็ตีตราเขาเหมือนกัน

สิ่งที่เราไปหาก็คือเขาอยู่กับคนอื่นอย่างไร ก็พบว่าจริงๆ สังคมไม่ได้มีบรรทัดฐานแค่นั้น แต่สังคมชุมชนมีบรรทัดฐานอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายที่เขาให้คุณค่ายึดถือ ไม่จำเป็นต้องเป็นสามอย่างนี้เท่านั้น มันมีคุณค่าอื่นๆ อีกที่ชุมชนให้ค่า

ชุมชนที่เราไปศึกษาถูกบอกว่าเป็นชุมชนที่ไม่เคร่งศาสนา ยินดีที่จะทำผิดกฎหมายทุกอย่าง ถ้าถามคนนอกชุมชนก็จะบอกว่าเพราะพวกนี้ไม่เคร่งศาสนาไง ช่วยเหลือกันดีเหลือเกินเวลามีใครตรวจค้น ก็เลยทำให้มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด คำถามคือเคร่งและไม่เคร่งคืออะไร และการละเมิดกฎหมายก็มีทุกชุมชน ไม่ใช่มีเฉพาะชุมชนนี้เท่านั้น

เราก็ลงไปดูในชุมชนว่าคนใช้ยาอยู่ได้อย่างไร ในขณะที่สังคมตีตราว่าผิดกฎหมาย คนในสังคมชุมชนที่อยู่ร่วมคิดอย่างไรกับพวกเขา เพราะเวลาที่เราเดินเข้าไปก็ดูเป็นชุมชนที่สงบสุขดี อยู่ร่วมกันได้ คนใช้ยาก็เดินไปเดินมา คนในชุมชมรู้มั้ยว่าใครใช้ยา รู้หมด แล้วอะไรที่ทำให้เขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะเราคิดเสมอว่าคนใช้ยาเป็นคนอันตราย เขาอาจจะลักขโมยสิ่งของ จี้ปล้นเรา เพราะอยากได้เงินไปซื้อยา หรือเขาอาจจะคลุ้มคลั่งแล้วมาทำร้ายเรา

แต่ถามว่าคนในชุมชนกลัวคนใช้ยามั้ย คิดกับคนใช้ยาแบบนี้มั้ย พอเราลงไปเก็บข้อมูลก็พบว่า เขาไม่ได้เห็นคนใช้ยาเป็นแค่คนใช้ยา เพราะเขายังเห็นคนใช้ยาเป็นลูก เป็นหลาน เป็นเพื่อน เป็นคนที่เติบโตในชุมชน เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาเรามองเข้าไปเราจะเห็นคนใช้ยาเป็นคนใช้ยา แต่จะไม่เห็นความเป็นคนในมิติอื่นๆ ของเขา ตรงนี้สำคัญ คนในชุมชนก็บอกว่า มันติดยาก็ใช่ ไม่ได้ปฏิเสธ แต่มันก็ลูกเราน่ะ ก็ญาติเรา แล้วเราจะทำยังไง

มีหลายเรื่องเล่าที่ทำให้เห็นว่าคนใช้ยาเป็นคนที่สำคัญกับเขาในทางใดทางหนึ่ง เป็นเพื่อนบ้าน เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน เป็นลูก ซึ่งมันตัดไม่ตาย ขายไม่ขาด จะให้เรียกตำรวจมาจับ เขาก็ทำไม่ได้ เพราะมันมีความสัมพันธ์มากกว่าแค่การเป็นคนใช้ยา

คำตอบแรกที่ได้ก็คือเพราะเขาไม่ได้ยึดถือบรรทัดฐานตามกระแสหลัก แต่ยึดถือความเป็นญาติพี่น้องซึ่งสำคัญ การที่คนใช้ยาอยู่ในชุมชนและคนในชุมชนยึดถือเรื่องเครือญาติ มันจึงสำคัญ ส่งผลยังไงเมื่อยึดถือบรรทัดฐานแบบนี้ ผลก็คือคนใช้ยาจะต้องระมัดระวัง เขารู้ว่าอยู่ในชุมชนแบบนี้ ในความสัมพันธ์แบบนี้ และความสัมพันธ์เหล่านี้ทำให้เขาปลอดภัย

ในมุมหนึ่งคนใช้ยาเห็นคุณค่าตรงนี้มั้ย เห็น เพราะคนใช้ยาที่นี่ก็จะเลือกใช้ยาที่ไม่ทำให้เกิดความคลุ้มคลั่ง เช่น ถ้าใช้ยาประเภทกล่อมประสาท ถ้าใช้มากก็จะทำให้หลอน เขามีคำพูดว่าใช้แล้วมันจะจำพี่ จำน้อง จำเพื่อนไม่ได้ ซึ่งมีแนวโน้มจะไปทำร้ายร่างกาย หรือใช้ยาบ้าในปริมาณมากและไม่นอนหลายวันก็จะทำให้เกิดภาวะหลอน จะคลุ้มคลั่งทำร้ายคนอื่น เขารู้ว่าถ้าทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นในซีนถัดไป เขาก็เลยเป็นคล้ายๆ ข้อห้ามของในชุมชนนี้ว่าจะไม่ใช้ยาประเภทนี้หรือจะไม่ใช้ยาบ้าเกินกว่านี้ เพราะจะจำพี่จำน้องไม่ได้

การจำพี่จำน้องไม่ได้แปลว่าอะไร แปลว่าเขาไม่กล้าใช้ เพราะเดี๋ยวจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วไปทำร้ายญาติพี่น้อง ซึ่งเขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะถ้าเขาทำร้ายญาติพี่น้องก็จะมีปัญหาต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติ หรือเฮโรอีนเป็นยาเสพติดที่มีอยู่ในชุมชนแห่งนี้ เขาก็รู้ว่าถ้าใช้เฮโรอีนจะต้องเพิ่มปริมาณ เพิ่มปริมาณแปลว่าเพิ่มเงิน เพราะฉะนั้นเมื่อต้องเพิ่มเงินแล้วจะหาเงินจากไหน ก็ต้องลักขโมย จี้ปล้น เขาบอกว่าเพื่อที่จะไม่ต้องเพิ่มปริมาณการใช้เฮโรอีน เขาก็ไปใช้เมธาโดนโดยไปรับที่โรงพยาบาล เมธาโดนออกฤทธิ์ระยะยาว แปลว่าใช้ตอนนี้จะอยู่ได้ทั้งวัน ก็จะไม่อยากไปใช้อย่างอื่น ทำให้ลดการใช้ยา

ประการต่อมา เขาจะรู้ว่าการลักขโมยอาจเป็นสิ่งที่ยังพอรับกันได้ แต่การจี้ปล้น ทำร้ายร่างกาย เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ภายในชุมชน คุณจะไปจี้ญาติเป็นความผิดร้ายแรง ในชุมชนบอกเลยว่าไม่เคยมีอาชญากรรมประเภทจี้ปล้น ข่มขืน ฆ่า อันเกิดจากคนใช้ยาเสพติด ไม่มี แล้วพอไปถามคนใช้ยาว่าทำไมไม่มีอาชญากรรมประเภทนี้ เขาก็ตอบว่าทำได้ยังไง คุณจะไปเอาเงินญาติด้วยการจี้ปล้น นี่ญาตินะ ทั้งหมดนี้คือการให้คุณค่าของการเป็นเครือญาติ

ผลของมันคืออะไร ผลของมันก็คือคนใช้ยาสามารถอยู่ได้โดยไม่ถูกรังเกียจรังงอน ถ้ามีคนใช้ยาสักคนที่ไปจี้ปล้น ฆ่า คนในชุมชนก็คงไม่ให้เขาอยู่ การที่ไม่ละเมิดกฎของเครือญาติก็ทำให้เขาอยู่ในชุมชนได้ ขณะเดียวกันชุมชนก็ยังยอมรับเขาในมิติของความเป็นญาติได้

พวกเขามีความพยายามที่จะเลิกไหม?

มีอยู่แล้วค่ะ คิดว่าทุกคนที่เคยใช้ยาผ่านความรู้สึกพยายามที่จะเลิก เพราะการใช้ยาเสพติดมีวงจรของมัน เริ่มต้นรู้จักแล้วก็ใช้ ใช้จนหนัก จากเป็นผู้ใช้ก็กลายเป็นผู้ติด ตอนที่ติดหนักๆ สภาพร่างกายจะแย่ คนทุกคนรู้ว่าร่างกายจะไปไม่ไหวแล้ว เป็นช่วงที่รู้สึกผิด ก็ต้องหาทางเลิก ที่สำคัญคือหลายคนใช้ศาสนาเป็นหนทางเลิก เช่น ไปดะวะห์หรือการไปเผยแผ่ศาสนา เป็นกระบวนการที่ผู้ชายเดินทางไปหมู่บ้านต่างๆ เพื่อชักชวนคนให้กลับมาสู่ศาสนา ไม่ได้ชวนคนต่างศาสนานะ แต่ชวนคนในศาสนามานั่งสนทนาธรรม พูดคุยเรื่องศาสนา ซึ่งก็อาจจะไปดะวะห์ตั้งแต่ 3 วัน 7 วัน 10 วัน 100 วันก็แล้วแต่ เป็นหนทางหนึ่งที่คนใช้ยาใช้เป็นทางเลือกในการละทิ้งหรือลดเลิกการใช้ยา

หมายความระหว่างที่ไปดะวะห์ พวกเขาจะไม่เสพ แล้วจะไม่เกิดอาการถอนยา?

ก็มีอยู่แล้ว แต่เขาก็ใช้ศาสนาบำบัด เช่น ไปละหมาด ไปอาบน้ำ ในระหว่างกระบวนการหลายคนบอกว่าช่วงเวลานั้นทำให้เขารู้สึกละ ลด เลิกได้ ในทางจิตใจทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายบริสุทธิ์ขึ้น หลายคนก็เลือกไปบำบัดในสถานบำบัดที่เป็นเรื่องศาสนาก็มี ก็แล้วแต่ใครจะเลือก บางคนก็เลือกวิธีสาบานต่อพระเจ้าว่าจะเลิกแล้ว ภาษาอาหรับเรียกว่าเตาบัต

มีเหตุให้ต้องถอนคำสาบานบ้างไหม?

อันนี้ก็มีปัญหาเรื่องการตีความอยู่เยอะ เพราะมีคนถามว่าจะไปสาบานหลายรอบได้มั้ยว่าจะเลิกแล้วนะ คนใช้ยาบางคนบอกว่าไม่เป็นไร ก็ตอนนี้สำนึกก็ต้องบอกว่าจะเลิก แล้วก็กลับมาใช้ยา แล้วก็สำนึกใหม่ก็ได้ หรือผู้นำศาสนาก็บอกว่าสาบานได้ครั้งเดียวพอแล้วในชีวิตว่าจะเลิก ไม่อย่างนั้นพระเจ้าจะไม่ยอมรับ มันมีความหลากหลายในการตีความ ซึ่งแล้วแต่ผู้นำจะอธิบาย

การเป็นผู้ใช้ยาก็คงหนักแล้ว และถ้าเป็นผู้ใช้ยาที่ติดเชื้อเอชไอวี มันจะยิ่งเพิ่มปัญหาในชีวิตหรือเปล่า?

โดยทั่วไปเวลาเป็นผู้ติดเชื้อ มันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะบอกหรือไม่บอกคนอื่น ไม่แน่ใจว่าชุมชนจะรู้มากน้อยแค่ไหน เราก็ไม่ได้โฟกัส แต่เท่าที่เห็นหลายคนเลือกไม่บอกญาติพี่น้องในชุมชน

มีคนหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อและใช้ยาหนัก ขโมยของด้วย คนนี้เราใช้ชื่อเขาในวิทยานิพนธ์ว่าการิม เขาเป็นคนที่ใช้ยาเสพติดตั้งแต่วัยรุ่น ที่บ้านเดิมมีฐานะดี พ่อแม่ก็เลี้ยงดูด้วยการให้ทุกอย่าง บ้านการิมมีลูกชาย 2 คน คนหนึ่งติดยา อีกคนค้ายาและติดยาด้วย การิมก็เป็นคนที่ใช้ยามานานและติดเชื้อเอชไอวี ความทุกข์สาหัสในชีวิตของการิมคือตอนที่รู้ว่าเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี การิมแต่งงานแล้ว ถามว่าเขารักภรรยามั้ย รัก แต่ว่าภรรยาขอให้เลิกใช้ยากี่ครั้งกี่หนก็ไม่ยอมเลิก แต่พอรู้ว่าเขาติดเชื้อ เขาให้ภรรยาออกจากบ้านไปอยู่กับคนอื่น อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย

เขารู้สึกว่าใช้ยาก็แย่แล้ว ติดเชื้อยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ด้วยความรักที่เขามี เขาจะไม่เหนี่ยวรั้งภรรยาเขาอีกแล้ว พยายามให้ภรรยาออกไปจากชีวิต ภรรยาก็รักการิม แต่ท้ายที่สุดก็ไปและแต่งงานใหม่ หลังจากให้ภรรยาออกจากบ้านไปสิบกว่าปี ทุกวันนี้ การิมก็ไม่ได้มีภรรยาใหม่ เพราะเขาก็ยังรักภรรยา

และหลังจากที่รู้ว่าติดเชื้อ เขาจะให้ที่บ้านแยกจาน ชาม ช้อน ส้อมของตัวเองออก ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ติดผ่านสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ป้องกันทุกวิถีทางไม่ให้ครอบครัวต้องกลายเป็นผู้ติดเชื้อ ทั้งๆ ที่เขารู้ว่ามันไม่ติด แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบเดียวที่เขาจะมีต่อครอบครัวได้

ครอบครัวเอง หลังจากแม่ตาย พี่สาวซึ่งรักกันมาก ก็แสดงให้เขารู้ว่าไม่รังเกียจ แล้วพี่สาวก็สั่งลูกๆ เอาไว้ว่าห้ามใครในบ้านแสดงท่าทีรังเกียจเขาโดยเด็ดขาด การีมมีหน้าที่อยู่สองอย่างคือดูแลพ่อที่ป่วยและเลี้ยงหลาน ดังนั้น ลูกของพี่สาว การีมจะเป็นคนเลี้ยง ทุกคนก็จะทำให้ชีวิตปกติ ด้วยความที่รักเขา แต่ยังใช้ยาอยู่ การีมเป็นคนที่อธิบายว่าไม่กล้าเจอโต๊ะครู เขาละอายใจ ตอนที่ติดยาเยอะๆ เขาก็ขโมยของทุกอย่าง

ในฐานะชาวมุสลิม ผู้ใช้ยาคุยกับตัวเองและคุยกับพระเจ้าอย่างไร?

คนใช้ยาเกือบทั้งหมดที่เราสัมภาษณ์ก็เรียนศาสนาที่โรงเรียนหรือที่บ้านโต๊ะครู เขารู้ว่าสิ่งนี้มันผิดหลักการ รู้สึกผิดมั้ย รู้สึกผิดตลอด แต่มันเป็นภาวะติด ไม่ต้องเป็นคนมุสลิมหรอก คนพุทธก็รู้ว่าผิดหลักศาสนา คนใช้ยาทุกคนก็ต้องต่อสู้กับตนเองในเรื่องความรู้สึกผิดบาป หลายคนเล่าว่าเขาไม่กล้ามองหน้าโต๊ะครูที่เคยสอนศาสนาเขา เขาจะหลบไปอีกทาง บางคนเล่าว่าหลายครั้งที่ใช้ยาก็ร้องไห้ว่าในที่สุดเขาจะตกนรก หลายคนก็ละอายใจที่จะไปละหมาดในมัสยิดเพราะคิดว่าตัวเองสกปรกจากการใช้ยา

การเตาบัตหรือการสาบานก็เป็นการคุยกับพระเจ้าของเขา การยอมรับว่าตัวเองทำบาป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับตัว มีคนหนึ่งพยายามที่จะเลิกใช้ยาและไปทำงานกับกลุ่มโอโซน เขาก็เล่าให้ฟังว่าทุกวันศุกร์เขาอยากไปละหมาด เพราะเขารู้ว่าทำบาป การไปละหมาดจะได้ทำให้เขาอยู่ในลู่ในทางของศาสนา เวลาไปละหมาดที่มัสยิดในชุมชน ก็จะถูกมอง บางทีก็มีคนมาถามว่าจะตายแล้วใช่มั้ยถึงมาละหมาด ใกล้จะไปกุโบร์ (สุสาน) แล้วใช่มั้ย เป็นการเบียดขับเขาออกไป ถูกตีตรา ไม่มีใครต้อนรับเขาให้กลับสู่ศาสนา เพราะฉะนั้นคนนี้ก็ไปทำงานกับกลุ่มโอโซนที่จังหวัดหนึ่ง ทุกเสาร์อาทิตย์ก็พยายามจะกลับบ้าน แต่เขาต้องละหมาดวันศุกร์ให้เสร็จก่อน จะไม่กลับมาละหมาดที่บ้าน เพราะมัสยิดอื่นไม่รู้ว่าเขาเป็นคนใช้ยา ทั้งที่ทางที่ดีที่สุดสำหรับชาวมุสลิมคือการกลับมาละหมาดที่มัสยิดที่บ้าน การไปละหมาดทุกครั้งของเขาก็คือการไปต่อรอง การคุยกับพระเจ้าของเขา เพราะเป็นการพยายามที่จะเข้าหาพระเจ้า

แล้วในเดือนรอมฎอนพวกเขาต้องทำอย่างไร?

เขาถือศีลอดนะ ไม่เสพยาตอนกลางวัน แล้วก็ไปใช้ยาตอนกลางคืน ใช้ไซเคิ้ลปกติของคนถือศีลอด ไม่บริโภคอะไร คือในหมู่บ้านนี้มีคนไปรับเมธาโดนที่โรงพยาบาลเยอะ ในโรงพยาบาล ปกติจะให้เมธาโดนตั้งแต่ 8 โมงจนถึงเที่ยงเท่านั้น และต้องกินต่อหน้าผู้ให้คือพยาบาล แต่โรงพยาบาลก็เข้าใจในวิถีและอยากสนับสนุนให้คนใช้ยาถือศีลอด โรงพยาบาลแห่งนี้จึงอนุญาตให้ผู้ใช้ยามารับเมธาโดนหลังพระอาทิตย์ตกดินได้ วงจรการใช้ยาของเขาจะได้ล้อไปกับการถือศีลอด

ถ้าในฐานะผู้นำศาสนาก็บอกว่าก็คงไม่ได้รับการยอมรับล่ะมั้ง การถือศีลอดของเขาคงไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะถือศีลอดไปด้วย ใช้ยาไปด้วย แปลว่าอะไร การถือศีลอดคุณต้องบริสุทธิ์ ปราศจากการทำผิดหลักการศาสนา การใช้ยาแม้ในช่วงตอนกลางคืนก็ยังผิดอยู่ใช่มั้ย แต่นี่คือกระบวนการที่คนใช้ยาพยายามปฏิบัติกิจทางศาสนา เขาจัดการตัวเองได้แค่นี้

ข้อค้นพบจากงานชิ้นนี้ จะนำไปสู่นโยบายอะไรได้บ้างที่จะทำให้คนที่เสพและไม่เสพอยู่ร่วมกันได้?

มันมี 2 เรื่อง Harm Reduction หรือการลดอันตรายจากการใช้ยา อันที่ 2 คือชุมชนเป็นฐานในการดูแลผู้ใช้ยาเสพติด ซึ่งตอนนี้รัฐก็ออกนโยบายมาแล้วเรื่องชุมชนดูแลผู้ใช้ยา

การลดอันตรายจากการใช้ยาด้วยการแจกเข็มสะอาด สนับสนุนให้ไปรับเมธาโดน เป็นข้อถกเถียงมากทั้งทางกฎหมายและศาสนา เพราะฉะนั้นหลักการศาสนาก็จะไม่พูดว่านี่เป็นหลักการที่ทำได้ แต่ศาสนาอิสลามก็มีข้อดีคือความปลอดภัยในร่างกายของมนุษย์เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นผู้นำศาสนาบางคนก็ยึดหลักนี้คือให้ความปลอดภัยกับร่างกายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้ศาสนาบางคนจึงยอมรับการลดอันตรายจากการใช้ยาในแง่นี้

การลดอันตรายจากการใช้ยาไม่ใช่แค่นี้ แต่เป็นการลดอันตรายสำหรับผู้ใช้ยาและคนรอบข้าง การแจกเข็มคือการที่ผู้ใช้ยาไม่ติดเชื้อเอชไอวี การไม่ติดเชื้อเอชไอวีก็เท่ากับคนที่อยู่รอบข้างเขาจะปลอดภัย แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าคุณอยู่กับเขา ยอมรับเขาในฐานะมนุษย์ ไม่เบียดขับเขาเป็นผู้ใช้ยาที่ละเมิดบรรทัดฐานทุกสิ่งอย่าง มันก็ทำให้เขารู้ว่าจะต่อรองเพื่ออยู่กับคุณยังไง เหมือนกับข้อค้นพบในงานวิจัย เขารู้ว่าถ้าเขาทำให้ชุมชนไม่ปลอดภัย เขาก็ไม่ปลอดภัย เขาทำตัวแย่มากๆ คนในชุมชนไม่ยอมรับ ขับเขาออกจากชุมชน การไปอยู่นอกชุมชนยิ่งทำให้เขาไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นการที่เห็นคนใช้ยายังเป็นลูก เป็นหลาน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง และดูแลเขาเท่าที่คุณจะดูแลได้ ยอมรับเขาเท่าที่คุณจะยอมรับเขาได้ ยอมรับเขามากกว่าเขาเป็นคนติดยาเสพติด เขารู้สึกปลอดภัยที่จะอยู่กับคุณ คุณก็รู้สึกปลอดภัยที่จะอยู่กับเขาเหมือนกัน

ในแง่นี้ถามว่าเป็นข้อเสนอทางนโยบายได้มั้ย คือทำให้คนใช้ยาปลอดภัย เราปลอดภัย ก็เป็นการลดอันตรายจากการใช้ยาอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ อันนี้เป็นข้อที่หนึ่ง

ข้อเสนอเรื่องการดูแลผู้ใช้ยาโดยชุมชน จริงๆ มีตัวอย่างหลายที่ ชุมชนที่ยอมรับ ไม่เบียดขับผู้ใช้ยา ดูแลเขาเท่าที่จะดูแลได้ เช่น การดูแลเขา ตักเตือนเขา เห็นว่าช่วงนี้ใช้ยาหนักมากก็บอกให้เพลาๆ ลงหน่อย ตักเตือนกันด้วยความเป็นมิตร เป็นลูก เป็นหลาน ก็จะทำให้เขาลดการใช้ยาลง หรือท้ายที่สุดเขาอาจจะเลิกได้ก็ได้ การไม่เบียดขับเขาออกไป มันก็ทำให้เขาอยู่ในความสัมพันธ์ชุดใดชุดหนึ่งและดูแลเขาไปด้วยกันในชุมชน

แต่ตอนนี้มีความเข้าใจผิดว่าการดูแลผู้ใช้ยาโดยชุมชนกลายเป็นคิดว่าต้องไปตั้งสถานบำบัดในชุมชนต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ การตั้งสถานบำบัดไม่ใช่การดูแลโดยชุมชน และถ้าเกิดคุณเอาคนใช้ยาที่ไม่ใช่ลูกใช่หลานมาอยู่ในชุมชน ชุมชนก็อาจจะมีความวิตกกังวล เป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ในชุมชนที่เราไปเก็บข้อมูล เพราะเขารู้จัก เขาไว้ใจได้ว่าคนนี้โตมากับมือ ให้ใช้ยายังไงมันก็ไม่ทำร้ายเรา ไม่ขโมยเรา คนใช้ยาไม่ใช่ทุกคนที่จะขโมยของ ไม่ใช่ทุกคนที่จะโกหก คนที่ไม่โกหกก็มี คนที่ไม่ขโมยก็มี คนที่รับผิดชอบก็มี แล้วคนในชุมชนก็มั่นใจว่าคนนี้ไม่ทำ เพราะเขารู้ไงว่าคนนี้โตมากับมือ เลี้ยงมากับมือ เห็นกับตา รู้จักคนนี้ นี่คือการดูแลผู้ใช้ยาโดยการดูแลด้วยชุมชน ซึ่งแปลว่าชุมชนเห็นสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ไม่ใช่ตั้งสถานบำบัด แล้วเอาคนใช้ยาที่ไหนก็ไม่รู้มาไว้ที่นี่

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รัฐบาลจีนถอดแบบเรียนรัฐธรรมนูญประเทศตัวเอง อ้างมี "อิทธิพลตะวันตก"

$
0
0

สื่อเรดิโอฟรีเอเชียรายงาน หน่วยงานเซนเซอร์ของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนสั่งถอดแบบเรียนเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญออกจากร้านหนังสือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกับที่ทางการจีนสั่งไล่ปราบปรามสื่อการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญทั่วประเทศ นักวิชาการตั้งคำถามถึงมูลเหตุ เพราะจริงๆ แล้วคอมมิวนิสต์ก็มาจากตะวันตก

ที่มาภาพ: wikipedia

ทางการจีนสั่งถอดหนังสือที่ชื่อ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ"เขียนโดย จางเฉียนฟาน นักวิชาการของมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือ "เป่ยต๋า"ออกจากร้านหนังสือ หลังจากที่มีคำสั่งถึงมหาวิทยาลัยจีนทั่วประเทศให้มีการรายงานต่อรัฐบาลระดับมณฑลถ้าหากมีสื่อการเรียนการสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ

การเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีนในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงยังคงรณรงรค์ทางการเมืองต่อต้านสิ่งที่ถูกมองว่ามีจุดกำเนิดมาจาก "ตะวันตก"เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรมและรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ

จางลี่ฟาน นักวิชาการเรื่องรัฐธรรมนูญกล่าวว่าการสั่งถอดแบบเรียนที่มีเนื้อหารัฐธรรมนูญในครั้งนี้ มาจากการที่ในจีนไม่เคยมีการปฏิบัติตามหลักการรัฐธรรมนูญเลย ถึงแม้ว่าในรัฐธรรมนูญจะมีระบุถึงเรื่องการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุม รวมถึงสิทธิในการที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ทางการก็ตาม

จางลี่ฟานกล่าวอีกว่าการถอดแบบเรียนนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีคนรายงานเรื่องนี้อย่างลับๆ ต่อเจ้าหน้าที่ทางการ คนที่รายงานเรื่องนี้ทำไปด้วยความโกรธเคืองโดยกล่าวหาว่าไม่เพียงหนังสือเนื้อหารัฐธรรมนูญของจางเฉียนฟานเท่านั้นที่ "มีอิทธิพลจากตะวันตก"แต่รวมไปถึงการศึกษาด้านนิติศาสตร์ทั้งและรัฐธรรมนูญทั้งหมดด้วย ผู้ที่รายงานต่อทางการในเรื่องนี้เป็นนักวิชาการผู้ไม่พอใจที่ผลงานของตัวเองถูกละเลยจากนักวิชาการคนอื่นๆ

จางลี่ฟาน กล่าวว่าจริงอยู่ที่รัฐธรรมนูญเป็นแนวคิดที่มาจากตะวันตกเพราะไม่เคยมีรัฐธรรมนูญมาก่อนในจีนโบราณ แต่การที่อ้างว่าจีนไม่ควรมีรัฐธรรมนูญเพราะกล่าวหาว่ามันเป็น "แนวคิดตะวันตก"นั้นถือเป็นข้ออ้างไร้สาระ เขากล่าวอีกว่าตัวแนวคิดคอมมิวนิสต์เองก็มาจากนักคิดเยอรมนีที่มาจากตะวันตก เพลงแองเตอร์นาซิอองนาลก็เขียนโดยชาวฝรั่งเศส และธงชาติของจีนก็ได้ชาวรัสเซียเป็นผู้ออกแบบ

โมเชาปิง นักกฎหมายด้านสิทธิในจีนกล่าวว่าหนังสือของจางเฉียนฟานเป็นการให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ โมเชาปิงพูดถึงจุดยืนตัวเองว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการรายงานทางการอย่างลับๆ เพื่ออาศัยให้เจ้าหน้าที่รัฐมาถอดถอนหนังสือเหล่านี้ และบอกว่าผู้ที่ไม่พอใจควรจะเสนอเอกสารเพื่อให้มีการอภิปรายกันในเรื่องนี้แทน การรายงานทางการอย่างลับๆ ไม่ใช่วิถีของคนเป็นปัญญาชน

เฟิงจื่อเฉียง นักกฎหมายในแคนาดากล่าวไว้เช่นกันว่าการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ต้องการให้คนพูดถึงรัฐธรรมนูญเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยนำมาปฏิบัติใช้จริง นอกจากนี้เนื้อหาบางส่วนของรัฐธรรมนูญที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากหลังจากที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเป็นผู้นำต่อไปได้โดยไม่มีการหมดวาระ เฟิงจื่อเฉียงประเมินว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามจะกลับไปเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบที่ "โยนรัฐธรรมนูญทิ้ง"

เติ้งเปียว นักวิชาการด้านกฎหมายในสหรัฐฯ กล่าวว่าการถอดหนังสือแบบเรียนในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามควบคุมวงการวิชาการในจีนโดยรัฐบาลสีจิ้นผิง อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าทางการจีนกลัวแนวคิดที่มีความเอนเอียงไปในทางเสรีนิยมในหมู่ประชาชนทั่วไป

แต่ในขณะเดียวกันรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของจีนก็สั่งให้สถาบันการศึกษาระดับสูงทุกแห่งจัดทำสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญจีนเพื่อใช้ในทุกระดับชั้นการศึกษา

เรียบเรียงจาก

China Censors Law Textbook Over 'Western' Influences, Radio Free Asia, 04-02-2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใบตองแห้ง: “ตู่” ตัวเลือกอับจน

$
0
0

ท่านผู้นำอ้าง รัฐธรรมนูญทั่วโลกไม่เคยบอก ผู้นำรัฐบาลต้องลาออกเมื่อลงเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ปี 2475 ก็ไม่เคยบังคับว่านายกฯ ต้องลาออก

ใช่เลย แต่รัฐธรรมนูญ 2560 นี่ไง บอกไว้ บทเฉพาะกาลมาตรา 263, 264, 265, 266 บังคับว่า คสช. ครม. สนช. สปท. ถ้าจะสมัคร ส.ส. ต้องลาออกภายใน 90 วันหลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้

ถึงไม่ได้เขียนตรงตัว ว่าถ้าเป็นหัวหน้าพรรค เป็นเลขาธิการพรรค หรือได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ต้องลาออก แต่การสมัคร ส.ส. กับสมัครนายกฯ อันไหนหนักข้อกว่ากัน

ทำไมรัฐธรรมนูญห้าม คสช. ครม. สนช. สปท. สมัคร ส.ส. กรธ.ไม่ยักออกมาอธิบาย (รับเบี้ยประชุมคนละหลายล้านแล้วหายหมด) แต่ก็พอได้เห็น กรธ.มีชัย พยายามสร้างภาพ “รัฐประหารในอุดมคติ” พระเอกขี่ม้าขาว เข้ามายึดอำนาจ กู้ชาติบ้านเมือง จัดระเบียบอำนาจ วางกฎกติกา แล้วจะจัดการเลือกตั้ง อย่างเป็นกลางเที่ยงธรรม ชาวบ้านโปรดเชื่อว่า คณะรัฐประหารจะเป็นกลาง เพราะใครจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องลาออกก่อน

จากนั้น กรธ.ก็ให้อำนาจ คสช. ครม. อย่างไม่เคยมีมาก่อน เหนือกว่ารัฐประหารทุกคณะ คือยังมีอำนาจพิเศษ เป็นกรรมการคุมประเทศ จนมีรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ซ้ำยังต่อท่ออำนาจให้ตั้งพรรค 250 ส.ว. ไว้เลือกนายกฯ อีก 5 ปี

พูดง่าย ๆ คือ เขียนรัฐธรรมนูญว่า รัฐประหารจะเป็นพระเอก เป็นกลาง เป็นผู้มาวางกฎกติกาแล้วจะไม่ลงเลือกตั้ง จึงให้มีอำนาจมากกว่ารัฐบาลปกติ มากกว่ารัฐประหารในอดีตด้วยซ้ำ

ที่ไหนได้ กลับเลี่ยงบาลีว่า รัฐธรรมนูญห้ามสมัคร ส.ส. แต่ไม่ห้ามสมัครนายกฯ ลอยหน้าลอยตา อ้างโอบามา โอบามาร์ค ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ ทั้งที่คนละอำนาจ คนละระบอบ ตัวเองถืออำนาจเผด็จการลงเลือกตั้ง ยังบอก “มึงมาไล่ดูสิ”

ไล่แล้วเป็นไง ถูกจับ นักศึกษาไป 2 คน หาว่าผิด พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ถูกยึดพริก เกลือ กระเทียม เป็นของกลางที่ใช้ในการกระทำผิด ในวันครบรอบ 5 ปี ม็อบปิดเมืองปิดสถานที่ราชการขัดขวางเลือกตั้ง 2 ก.พ. โดยอ้างคำสั่งศาลคุ้มครองการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

นี่เป็นภาวะที่ตรรกะวิบัติ กฎหมายวิบัติ ถึงขีดสุด เพราะพลังอนุรักษนิยมทำทุกอย่างเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจ

ถามว่าทำไมประยุทธ์ไม่ถอย ออกไปเป็นคนกลาง อย่างที่ปริญญา เทวานฤมิตรกุล เรียกร้อง อย่างที่ซูเปอร์โพลคาดหวัง ทั้งที่น่าจะสบายตัวกว่า เพราะโดยโครงสร้าง พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ ภายใต้ 250 ส.ว. แต่งตั้ง กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่ควบคุมโดย 6 ผบ.เหล่าทัพ และองค์กรอิสระ ที่ตั้งไปจากยุคนี้

คำตอบง่าย ๆ ก็คือโครงสร้างนี้จะไปไม่รอด ต่อให้อยู่ใต้รัฐราชการ ทหาร ตุลาการ เป็นใหญ่ ทำรัฐประหารได้ทุกเมื่อ แต่รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ 2560 ของตัวเองเมื่อไหร่ คือหายนะ คือทางตันของฝ่ายอนุรักษนิยม

ประยุทธ์จึงต้องลงสนามเอง เพื่อค้ำโครงสร้างนี้ไว้ ถึงแม้ต้องเสี่ยงรบในสนามที่ตัวเองไม่เชี่ยวชาญ ตั้งแต่การเลือกตั้ง ไปถึงการบริหารประเทศในระบอบรัฐสภาโดยไม่มี ม.44 แต่ไม่มีทางเลือกอื่น ตายคาสมรภูมิก็ต้องยอม

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอนุรักษนิยมก็ไม่มีตัวเลือกอื่น หลังรัฐประหาร 49 ฝากความหวังพรรคประชาธิปัตย์แล้วล้มเหลว ณ วันนี้ กวาดตามองทั้งทหาร นักการเมือง ก็ไม่เหลือใครสักคน นอกจาก “ลุงตู่” ผู้ที่กอบศักดิ์ ชุติกุล เชิดชูว่าพูดจารุนแรงเพราะจริงใจตรงไปตรงมา คะแนนนิยมก็เป็นที่หนึ่งทุกโพล คือเกือบ 30%

นักการเมืองฟังแล้วหัวร่อก๊าก ตัวเลือกอันดับหนึ่ง และเหลือเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีใครให้เลือกอีกแล้ว ในฝ่ายอนุรักษนิยม

 

 

 

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/content/276282

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: สามัคคีทำ

$
0
0

ย้อนอดีต เผด็จการ สืบอำนาจ

ไล่ต้อนกวาด รวบรวม เหล่า สส.

นักการเมือง ที่อิงหวัง นั่งชูคอ

กำเนิดก่อ เป็นพรรค “สามัคคีธรรม”

 

นักการเมือง ที่ไร้เรื่อง อุดมการณ์

น้อมรับใช้ เผด็จการ ชาติระส่ำ

เป็นที่มา “พฤษภาทมิฬ” ใยมิจำ

ชาติบอบช้ำ ทุกวันนี้ ฝีมือใคร?

 

อดีตย้อน หลอนมา ถึงวันนี้

เผด็จการ ยังหวังที่ กลับมาใหม่

คิดแปลงโฉม เป็นประชาธิปไตย

นักการเมือง ยอมรับใช้ ในอุ้งมือ

 

เหลือเพียงแต่ แค่ปวงชน คนในชาติ

เพราะอำนาจ คือสิทธิ ที่ท่านถือ

คว่ำอำนาจ เผด็จการ ให้โลกลือ

เพียงทุกท่าน นั้นร่วมมือ “สามัคคีทำ”

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กานดา นาคน้อย: อภิมหาอำนาจฝุ่น

$
0
0

ช่วงนี้ชาวโซเชียลเมืองกรุงและปริมณฑลตื่นตัวด้านปัญหามลพิษอากาศ เนื่องจากกรุงเทพฯมีมลพิษมากติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกเมื่อวัดด้วยดัชนีคุณภาพอากาศที่เรียกว่า“เอคิวไอ”(AQI) หลายเมืองในจีนก็ติดอันดับโลกด้านมลพิษอากาศเช่นกัน [1]

 

ต่างจังหวัดก็มีมลพิษอากาศ

ชาวโซเชียลต่างจังหวัดก็ร่วมแบ่งปันข้อมูล อาทิ เชียงใหม่มีมลพิษอากาศในฤดูนี้มาหลายปีแล้ว สระบุรีและราชบุรีแย่ยิ่งกว่ากรุงเทพฯ ชลบุรีก็แย่กว่ากรุงเทพฯ สมุทรสาครและสุพรรณบุรีก็ไม่น้อยหน้า ฯลฯ สารมลพิษที่รวมในดัชนีเอคิวไอก็มีหลายแบบ ฝุ่นละอองก็มีหลายขนาด ขนาดเล็กจิ๋วจนผ่านขนจมูกเข้าปอดก็มี และฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋วไม่ได้เป็นสิ่งเดียวในดัชนีเอคิวไอ

นักวิทยาศาสตร์บางท่านชี้ว่าไอเสียเครื่องยนต์ดีเซลเป็นปัจจัยหลักที่ผลิตฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว ปัจจัยรองคือการเผาชีวมวล เช่น ไร่อ้อย ซังข้าวโพด โรงงานอุตสาหกรรมมีผลบ้างแต่น้อยกว่า 2 ปัจจัยแรก [2]

แรกๆ รัฐบาลก็สั่งให้เจ้าหน้าที่“ฉีดน้ำ”ในกรุงเทพฯ ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการฉีดน้ำไม่ช่วยลดฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว เมื่อสื่อต่างประเทศลงข่าวติดต่อกันรัฐบาลก็ยกระดับขอให้ชาวไร่อ้อยหยุดเผาไร่ [3]ขอให้โรงโม่หินที่สระบุรีปิดชั่วคราว [4]ขอให้โรงงานโอ่งที่ราชบุรีหยุดเผาโอ่งชั่วคราว [5]และห้ามรถบรรทุกเข้ากรุงเทพฯชั้นใน [6]

 

นโยบายส่งเสริมการส่งออกปูนซีเมนต์

มีข่าวสวนทางว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ทำเหมืองหิน 8 โครงการ ประกอบด้วยคำขอประทานบัตรและคำขอต่ออายุประทานบัตรจำนวน 34 แปลง คิดเป็นพื้นที่รวม 14,121 ไร่ และคิดเป็นมูลค่าแร่ที่ทำเหมืองได้กว่า 169,000 ล้านบาท โดยอ้างอิงเหตุผลว่า “จะทำให้มีหินปูนซีเมนต์ใช้ไม่ขาดและต่อเนื่อง” [7]

เหตุผลดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสถิติส่งออก ไทยผลิตปูนซีเมนต์มากเกินความต้องการในประเทศจนไทยกลายเป็นผู้ส่งออกปูนซีเมนต์อันดับ 1 ใน 3 ของโลกมา 20 ปีแล้ว เคยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ด้วยซ้ำ (พศ.2542-2544) [8]ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าไทยส่งออกปูนซีเมนต์เป็นอันดับ 2 รองจากจีน (พศ.2560) [9]

ถ้าการปิดโรงงานโม่หินที่สระบุรีชั่วคราวตามที่รัฐบาลขอร้องจะทำให้มลพิษอากาศที่สระบุรีลดลงได้ ก็จะหมายความว่ามาตรฐานสิ่งแวดล้อมของโรงโม่หินในไทยต่ำกว่าญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก ถ้าเป็นเช่นนั้นภาครัฐจะส่งเสริมการส่งออกปูนซีเมนต์เพื่ออะไร? เพื่อให้ทัดเทียมกับจีนหรือ?

ไทยมีเหมืองหินในหลายจังหวัดไม่ใช่แค่สระบุรี อาทิ ราชบุรี ชลบุรี ลำปาง ฯลฯ ผู้อ่านสามารถตรวจสอบข้อมูลสัมปทานเหมืองหินในจังหวัดต่างๆ ได้ที่ฐานข้อมูลประทานบัตรเหมืองแร่ทั่วประเทศ(ออนไลน์ http://www1.dpim.go.th/mne/mn.php) [10]

 

แล้วไอเสียดีเซลล่ะ?

โปรดสังเกตว่ารัฐบาลยังไม่ได้ออกมาตรการแก้ไขปัญหาหลัก นั่นคือไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล การห้ามไม่ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่เข้ากรุงเทพฯชั้นในก็ไม่ได้ทำให้ไอเสียดีเซลหายไปจากจังหวัดอื่น

ที่สำคัญรถกระบะ รถตู้ และรถยนต์บางรุ่นก็ใช้น้ำมันดีเซลเช่นกัน ตราบใดที่รัฐบาลไม่ออกกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อยกระดับมาตรฐานเครื่องยนต์และมาตรฐานน้ำมันให้ทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ยากที่จะแก้ปัญหาระยะยาวได้

 

หมายเหตุ: ผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนทัศนะได้ที่ทวิตเตอร์ https://twitter.com/kandainthai

 

ที่มา :

[1] World Air Quality Ranking: https://www.airvisual.com/world-air-quality-ranking

[2]“พบไอเสียดีเซลต้นตอสำคัญปัญหาฝุ่นละอองกรุงเทพ” กองบรรณาธิการ TCIJ, 13 ม.ค. 2562

https://www.tcijthai.com/news/2019/1/scoop/8665

[3]ห้ามเผาอ้อย! สอน.ขอชาวไร่อ้อยห้ามเผาอ้อยก่อนตัดส่งโรงงานน้ำตาลเพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นในอากาศประชาชาติธุรกิจ, 19 มกราคม 2562: https://www.prachachat.net/economy/news-277686

[4]โรงงาน - โรงโม่หิน พื้นที่เสี่ยงปิดชั่วคราว จัดบิ๊กคลีนนิ่ง ลดฝุ่น ข่าวไทยพีบีเอส 3 กุมภาพันธ์ 2562: http://news.thaipbs.or.th/content/277439

[5]หยุดเผา โอ่งมังกร! ปิดเตา 5 วัน หวังช่วยลดฝุ่นพิษในอากาศ ไทยรัฐ 1 กุมภาพันธ์ 2562: https://www.thairath.co.th/content/1485385

[6]“ห้ามรถบรรทุกเข้ากรุงเทพมหานครชั้นใน” ไทยรัฐ 2 กุมภาพันธ์ 2562: https://www.thairath.co.th/content/1485801

[7]“ไฟเขียวเหมืองหิน 8 โครงการ” ประชาชาติธุรกิจ, 30 มกราคม 2562: https://www.prachachat.net/economy/news-284093

[8]สถิติการค้าระหว่างประเทศจากสหประชาชาติ: https://comtrade.un.org/data/ (รหัสอุตสาหกรรม HS Code 2523)

[9] World’s Top Exports - Cement Exports by Country (2017): http://www.worldstopexports.com/cement-exports-by-country/

[10]ฐานข้อมูลประทานบัตรเหมืองแร่ทั่วประเทศ โดยกลุ่มควบคุมสัมปทานและกำกับการผลิต สำนักเหมืองแร่และสัมปทาน ในกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

http://www1.dpim.go.th/mne/mn.php

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ชัชชาติ เผยไม่ถนัดงานนิติบัญญัติ จึงไม่มีชื่อในปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย แย้มอนาคตอาจลงผู้ว่าฯ กทม.

$
0
0

เปิด 250 รายชื่อผู้สมัครระบบแบ่งเขต และ 97 บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ไร้ชื่อชัชชาติ เจ้าตัวระบุไม่ถนัดงานนิติบัญญัติ แย้มในอนาคตหากเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลอาจจะลงสมัคร ผู้ว่าฯ กทม.

5 ก.พ. 2562 สืบเนื่องจากกรณีพรรคเพื่อไทยได้ยื่นบัญชีผู้สมัครรับเลือกตั้งในประเภทบัญชีรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งปรากฎว่าในจำนวน 97 รายชื่อนั้น ไม่มีชื่อของ ชัชชาติ สิทธิพันธ์ รวมอยู่ด้วย แต่มีชื่อปรากฎอยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีร่วมกับ สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ และชัยเกษม นิติศิริ

ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชี้แจงเรื่องรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่มีชื่อนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่า เพราะนายชัชชาติถนัดงานบริหารมากกว่างานนิติบัญญัติ และปฏิเสธไม่มีการฮั้วกับพรรคอื่น ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีตัวแทนพรรคเพื่อไทยลงสมัครขอให้ประชาชนสนับสนุนพรรคที่สนับสนุนประชาธิปไตย

ขณะที่ ชัชชาติให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลไม่มีรายชื่อสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นไปตามมติกรรมการบริหารพรรค ส่วนตัวยืนยันทำงานด้านยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจต่อไป ส่วนตัวยังคงทำงานสนับสนุนพรรคเพราะทุกคนทำงานเป็นทีม ส่วนกระแสข่าวลือว่า หากไม่ติดในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะกลับไปทำงานบริหารธุรกิจนั้น นายชัชชาติระบุเป็นเรื่องอนาคต แต่การตัดสินใจมาทำงานการเมืองครั้งนี้มาแบบเต็มตัว ไม่ใช่มาเล่นๆ

เมื่อถามว่าถ้าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร จะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร ชัชชาติ กล่าวว่า "อาจจะสมัครผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งมีทางเลือกอีกมาก มีหลายบทบาท ยืนยันไม่น้อยใจ และไม่ว่าอย่างไรก็อยู่กับพรรคเพื่อไทยแน่นอน เพราะอุดมการณ์ไปด้วยกันได้"

สำหรับรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. ประเภทบัญชีรายชื่อของพรรคไทยมีทั้งหมด 97 รายชื่อดังนี้

1.พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ 2.สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ 3.ชัยเกษม นิติศิริ 4.ภูมิธรรม เวชยชัย 5.เสนาะ เทียนทอง 6.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง 7.ปลอดประสพ สุรัสวดี 8.โภคิน พลกุล 9.พงษ์ศักดิ์ รัตนพงศ์ไพศาล 10.เกรียง กัลป์ตินันท์ 11.กิติ ณ ระนอง 12.ชูศักดิ์ ศิรินิล 13.พงศ์เทพ เทพกาญจนา 14.นพดล ปัทมะ 15.พรศักดิ์ เกจริญประเสริฐ 16.ทุนศักดิ์ เล็กอุทัย 17.ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ 18.พินิจ จันทรสุรินทร์ 19.อนุสรณ์ วงศ์วรรณ 20.ประยุทธ์ ศิริพานิชย์

21.พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ 22.ชูชาติ หาญสวัสดิ์ 23.อดิษศร เพียงเกษ 24.ธนิก มาลีพิทักษ์ 25.ตวงรัตน์ โล่ห์สุทร 26.ปวีณ แซ่จึง 27.พนัส ทัศนียานนท์ 87.พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน 29.วิรุฬ เตชะไพบูลย์ 30.พิษณุ หัตถสงเคราะห์ 31.ชุมพร พลรักษ์ 32.พล.ต.ท.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ 33.ภาคภูมิ โรจนสกุล 34.พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี 35.ชุมสาย ศรียาภัย 36.ต่อพงษ์ ไชยสาส์น 37.ดวงแข อรรณนพพร 38.วิจักร อากัปกริยา 39.นิสิต สินธุไพร 40.ขานิฐาณันท์ เทียมประเสริฐ

41.สิทธิชัย กิตติธเนศวร 42.สมบัติ รัตโน 43.จักรพงษ์ แสงมณี 44.นราภรณ์ ไวยนิยมพงศ์ 45.ธวัชชัย สุทธิบงกช 46.ภูวนิดา คุณผลิน 47.วิชัย สามิตร 48.สุรจิตร ยนต์ตระกูล 49.จารุพรรณ กุลดิลก 50.ชาญยุทธ เฮงตระกูล 51.ปรีชา ธนานันท์ 52.เอกพจน์ วงศ์อารยะ 53.ทรงพล เกียรติวินัยสกุล 54.พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ 55.นันทนา ตันติทวีโชค 56.นิยม ประสงค์ชัยกุล 57.ศุภณัฐค์ น้อยโสภณ 58.วัฒนา เซ่งไพเราะ 59.ภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ 60.ไพโรจน์ วงศ์พรหม

61.ณรงค์ รุ่งธนวงศ์ 62.ประสพ สารสมัคร 63.ทิพย์สุดา กิจจาพิพัฒน์ 64.เทพฤทธิ์ สีน้ำเงิน 65.ธิดารัตน์ ยิ่งเจริญ 66.เกรียงไกร กิตติธเนศวร 67.จำนงค์ ไชยมงคล 68.กิติพงศ์ พงศ์สุเวท 69.พล.ต.ต.ลัทธสัญญา เพียรสมภาร 70.พ.อ.ประวัติ นิกาญจน์กูล 71.วิบูลย์ แช่มชื่น 72.เณริน จันทกร 73.พล.อ.อ.ชูชาติ ชวนชม 74.กมล บันไดเพชร 75.เอกกฤษ อุณหกานต์ 76.ณกฤช เศวตนันทน์ 77.โกวิทย์ ดอกไม้ 78.พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธุ์ 79.สิริภา มาดะกะกุล 80.ยุ้ง จักรไพศาล

81.บุณฑิกา ประสงค์ดี 82.อลงกรณ์ ทวีรักษา 83.ธวัช บุญเฟื่อง 84.วิมล จันทร์จิราวุฒิกุล 85.นพชัย ศรีสุวนันท์ 86.ภัทร ภมรมนตรี 87.ปิยชาติ วีรเดช 88.อาคม สุวรรณนพ 89.พิมพ์ชนา โหสกุล 90.วรกร คำสิงห์นอก 91.สมบูรณ์ นาคะอินทร์ 92.ชัชฎา ชัยชูชนะภัย 93.เทอดธนัท สีเขียว 94.เอกรัฐ สมันตรัฐ 95.อภิวัฒน์ กองมณี 96.อภิยุทธ ณ กาฬลินธุ์ 97.น้ำฝน นุตมา

สำหรับผู้สมัคร ส.ส. ในระบบแบ่ง พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครทั้งหมด 250 เขต มีรายละเอียดดังนี้

กรุงเทพฯ ส่ง 22 เขต 

เขต 1 พระนคร ป้อมปราบฯ สัมพันธวงศ์ ตุสิต (ยกเว้นแขวงนครไชยศรี) ส่ง ลีลาวดี วัชโรบล

เขต 5 ดินแดง ห้วยขวาง ส่ง ประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ

เขต 6 พญาไท ราชเทวี จตุจักร (เฉพาะแขวงจตุจักร จอมพล) ส่ง ประพนธ์ เนตรรังษี เ

เขต 7 บางซื่อ ดุสิต (เฉพาะแขวง ถ.นครไชยศรี) ส่ง ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์

เขต 8 ลาดพร้าว วังทองหลาง (ยกเว้นแขวงพลับพลา) ส่ง ร.ท.หญิง สุณิสา ธิวากรดํารง

เขต 9 หลักสี่ จตุจักร (ยกเว้นแขวงจตุจักร จอมพล) ส่ง สุรชาติ เทียนทอง

เขต 10 ดอนเมือง ส่ง การุณ โหสกุล

เขต 11 สายไหม ส่ง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

เขต 12 บางเขน ส่ง อนุสรณ์ ปั้นทอง

เขต 13 บางกะปิ วังทองหลาง (เฉพาะแขวงพลับพลา) ส่ง ตรีรัตน์ ศรีจันทโรภาส

 เขต 14 บึงกุ่ม คันนายาว ส่ง นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ

เขต 15 มีนบุรี คันนายาว (ยกเว้นแขวงรามอินทรา) ส่ง วิชาญ มีนชัยนันท์

เขต 16 คลองสามวา ส่ง จิรายุ ห่วงทรัพย์

เขต 17 หนองจอก ส่ง ไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์

เขต 18 ลาดกระบัง ส่ง ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์

เขต 19 สะพานสูง ประเวศ (ยกเว้นแขวงหนองบอน ดอกไม้) ส่ง วิตต์ ก้องธรณินทร์

เขต 23 จอมทอง ธนบุรี (เฉพาะแขวงดาวคะนอง บุคคโล สําเหร่) ส่ง ธวัชชัย ทองสมา

เขต 26 บางบอน หนองแขม (เฉพาะแขวงหนองแขม) ส่ง วัน อยู่บํารุง

เขต 27 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงตลิ่งชัน ฉิมพลี) หนองแขม (ยกเว้นแขวงหนองแขม) ส่ง พ.ต.ท.วันชัย ฟักเอี้ยง

เขต 28 บางแค ส่ง วัฒนา เมืองสุข

เขต 29 ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงตลิ่งชัน ฉิมพลี) ส่ง สุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา

เขต 30 บางพลัด บางกอกน้อย ส่ง พงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ

ภาคเหนือ 14 จังหวัด

1.กําแพงเพชร ส่ง 4 เขต คือ เขต 1 วีระศักดิ์ สุ่นสา เขต 2 อดุลย์รัตน์ แสงประชุม เขต 3 จรัญ อิสระบัณฑิต กุล และเขต 4 ปรีชา เพ็งภู่

2.เชียงราย ส่ง 7 เขต คือ เขต 1 สามารถ แก้วมีชัย เขต 2 วิสิษฐ์ เตชะธีราวัฒน์ เขต 3 วิสาร เตชะธีราวัฒน์ เขต 4 รังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ เขต 5 พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน เขต 6 อิทธิเดช แก้วหลวง เขต 7 ละออง ติยะไพรัช

3.เชียงใหม่ ส่ง 9 เขต คือ เขต 1 ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ เขต 2 นพคุณ รัฐไผท เขต 3 จักรพล ตั้งสุทธิธรรม เขต 4 วิทยา ทรงค่า เขต 5ประสิทธิ์ วุฒินันชัย เขต 6 จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เขต 7 สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เขต 8 สุรพล เกียรติไซยากร เขต 9 ศรีเรศ โกฏคําลือ

4.ตาก ส่ง 1 เขต คือ เขต 3 ชัยณรงค์ มะเตชะ

5.นครสวรรค์ ส่ง 6 เขต คือ เขต 1 บุษญา ตั้งภากรณ์ เขต 2 วรภัทร ตั้งภากรณ์ เขต 3 สัญชัย วงษ์สุนทร เขต 4 พ.ต.ท.นุกูล แสงศิริ เขต 5 ทายาท เกียรติศักดิ์ เขต 6 อภิสิทธิ์ อินสิทธิ์

6.น่าน ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 สิรินทร รามสูตร เขต 2 น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว เขต 3 ณัฐพงษ์ สุปรียศิลป์

7.พะเยา ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 อรุณี ชำนาญยา เขต 2 วิสุทธิ์ ไชยณรุณ เขต 3 ไพโรจน์ ต้นบรรจง

8.พิษณุโลก ส่ง 3 เขต คือ เขต 2 นพพล เหลืองทองนารา เขต 4 นิยม ช่างพินิจ เขต 5 นคร มาฉิม

9.เพชรบูรณ์ ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 สุทัศน์ จันทร์แสงสี เขต 3 นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ เขต 4 พ.อ.ท.กิตติคุณ นาคะบุตร

10.แม่ฮ่องสอน 1 เขต คือ วิเชียร บุญระชัยสวรรค์

11.ล่าปาง ส่ง 4 เขต คือ เขต 1 กิตติกร โล่สุนทร เขต 2 ไพโรจน์ โล่สุนทร เขต 3 จรัสฤทธิ์ จันทร์สุรินทร์ เขต 4 อัทธิรัตน์ จันทร์สุรินทร์

12.สําพูน ส่ง 2 เขต คือ เขต 1 สงวน พงษ์มณี 2 รังสรรค์ มณีรัตน์

13.สุโขทัย ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 ปราศาสตร์ ทองปากน้ำ เขต 2 อรุณ สุภาพร เขต 3 อารยะ ชุมดวง

14.อุตรดิตถ์ ส่ง 2 เขต คือ เขต 1 กนก ลิ้มตระกูล เขต 2 ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ

ภาคอีสาน 20 จังหวัด

1.กาฬสินธุ์ ส่ง 5 เขต คือ เขต 1 บุญรื่น ศรีธเรศ เขต 2 วีรวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ เขต 3 คมเดช ไชยศิวามงคล เขต 4 พีระเพชร ศิริกุล เขต 5 ประเสริฐ บุญเรือง

2.ขอนแก่น ส่ง 10 เขต คือ เขต 1 จักริน พัฒน์ดำรงกิจ เขต 2 อรอนงค์ สาระผล เขต 3 จตุพร เจริญเชื้อ เขต 4 มุกดา พงษ์สมบัติ เขต 5 ภาควัตน์ ศรีสุรพล เขต 6 สิงหภณ ดีนาง เขต 7 ณวัฒน์ เตาะเจริญสุข เขต 8 สรัสนันท์ อรรณนพพร เขต 9 วันนิวัติ สมบูรณ์ เขต 10 บัลลังค์ อรรณนพพร  

3.ชัยภูมิ ส่ง 5 เขต คือ เขต 1 โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย เขต 2 อรรถทวีร์ อุระวัฒนพันธุ์ เขต 3 อนันต์ ลิมปคฺปตถาวร เขต 4 มานะ โลหะวณิชย์ เขต 5 พรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล เขต 6 สุรวิทย์ คนสมบูรณ์

4.นครพนม ส่ง 4 เขต 1 ยุทธจักร เรืองวรบูรณ์ เขต  2 มนพร ศรีเจริญ เขต 3 ไพจิต ศรีวรขาน เขต 4 ชวลิต วิชัยสุทธิ์

5.นครราชสีมา ส่ง 14 เขต คือ เขต 1 ร.ต.อ.สุปชัย อินทรักษา เขต 2 สุธรรม พรสันเทียะ เขต 3 ประเสริฐ จันทรรวง ทอง เขต 4 จักกฤช ผามูลสุข เขต 5 โกศล ปัทมะ เขต 6 สมชาย ภิญโญ เขต 7 จรูญพงศ์ พันธุ์ศรีนคร เขต 8 ประชาธิปไตย คําสิงห์นอก เขต 9 อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด เขต 10 พ.ต.อ.ปฏิวัติ นาคำ เขต 11สมชาติ เดชดอน เขต 12 ศิรสิทธิ์ เลิศด้วยลาภ เขต 13 รชต ด่านกุล เขต 14 สุรชาติ ภิญโญ

6.บึงกาฬ ส่ง 2 เขต คือ เขต 1 เชิดพงศ์ ราชป้องขันธ์ เขต 2 ไตรรงค์ ติธรรม

7.บุรีรัมย์ ส่ง 4 เขต คือ เขต 2 สุรศักดิ์ นาคดี เขต 3 พีระพงษ์ เฮงสวัสดิ์ เขต 4 ประกิจ พลเดช เขต 6 พรชัย ศรีสุริยันโยธิน

8.มหาสารคาม ส่ง 5 เขต คือ เขต 1 กิตติศักดิ์ ธนาสวัสดิ์ เขต 2 ไชยวัฒนา ติณรัตน์ เขต 3 ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร เขต 4จิรวัฒน์ ศิริพานิชย์ เขต 5 สุทิน คลังแสง

9.มุกดาหาร ส่ง 2 เขต คือ เขต 1 อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ เขต 2 บุญธิน ประทุมลี

10.ยโสธร ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 ปิยวัฒน์ พันธ์สายเชื้อ เขต 2 บุญแก้ว สมวงศ์ เขต 3 ธนกร ไชยกุล

11.ร้อยเอ็ด ส่ง 7 เขต คือ เขต 1 วราวงษ์ พันธุ์ศิลา เขต 2 ฉลาด ขามช่วง เขต 3 นิรมิต สุจารี เขต 4 นิรันดร์ นาเมืองรักษ์ เขต 5 จิราภรณ์ สินธุไพร เขต 6 กิตติ สมทรัพย์ เขต 7 ศักดา คงเพชร

12.เลย ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 เลิศศักดิ์ พัฒนกุลชัย เขต 2 ศรัณย์ ทิมสุวรรณ เขต 3 สันติภาพ เชื้อบุญมี

13.ศรีสะเกษ ส่ง 8 เขต คือ เขต 1 ธเนศ เครือรัตน์ เขต 2 สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ เขต 3 วิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ เขต 4 จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ เขต 5 ธีระ ไตรสรณกุล เขต 6 วีระพล จิตสัมฤทธิ์ เขต 7 มานพ จรัสดํารงนิตย์ เขต 8 ผ่องศรี แซ่จึง

14.สกลนคร ส่ง 6 เขต คือ เขต 1 อภิชาติ ตีรสวัสดิชัย เขต 2 นิยม เวชกามา เขต 3 พัฒนา สัพโส เขต 4 อนุรักษ์ บุญศล เขต  5 สกุณา สาระนันท์ เขต 6 เกษม อุประ

15.สุรินทร์ ส่ง 7 เขต คือ เขต 1 พันธ์เทพ ฐานุพงศ์ชรัช เขต 2 ชูชัย มุ่งเจริญพร เขต 3 คุณากร ปรีชาชนะภัย เขต 4 ตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล เขต 5 ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม เขต 6 สมบัติ ศรีสุรินทร์ เขต 7 ชูศักดิ์ แอกทอง

16.หนองคาย ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เขต 2 ชนก จันทาทอง เขต 3 เอกธนัช อินทร์รอด

17.หนองบัวลําภู ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 สยาม หัตถสงเคราะห์ เขต 2 ไชยา พรหมมา เขต 3 รัฐวุฒิ กองจันทร์ดี

18.อํานาจเจริญ ส่ง 2 เขต คือ เขต 1 สมหญิง บัวบุตร เขต 2 ดนัย มหิทธิพันธ์

19.อุดรธานี ส่ง 8 เขต คือ เขต 1 ศราวุธ เพชรพนมพร เขต 2 อนันต์ ศรีพันธุ์ เขต 3 ขจิต ชัยนิคม เขต 4 อาภรณ์ สาราคํา เขต 5จุฑาพัตธน์ เมนะสวัสดิ์ เขต 6 จักรพรรดิ ไชยสาสน์ เขต 7 เกรียงศักดิ์ ฝ้ายสีงาม เขต 8 เทียบจุฑา ขาวขํา

20.อุบลราชธานี ส่ง 10 เขต คือ เขต 1 วรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ เขต 2 ณรงค์ชัย วีระกุล เขต 3 กิตธัญญา วาจาดี เขต 4 เอกชัย ทรงอํานาจเจริญ เขต 5 รัฐกิตติ์ ผาลีพัฒน์ เขต 6 พิสิษฐ์ สันตพันธุ์ เขต 7 ชูวิทย์ พิทักษ์พร ภัลลภ เขต 8 เอกพล ญาวงศ์ เขต 9 ประภูศักดิ์ จินตะเวช เขต 10 สมคิด เชื้อคง

ภาคกลาง 19 จังหวัด

1.ฉะเชิงเทรา ส่ง 2 เขต คือ เขต 2 สมชัย อัศวชัยโสภณ เขต 3 สายัณห์ นิราช

2.ชลบุรี ส่ง 4 เขต คือ เขต 1 จําโนทย์ ปล้องอุดม เขต 2 สราวุธ วงษ์แสงทอง เขต 3 รินทิรา วัฒนวงษ์ภิญโญ เขต 4 จิรวุฒิ สิงโตทอง

3.ชัยนาท ส่ง 1 เขต คือ เขต 1 พรหมมิน สีตะบุตร

4.นครนายก ส่ง 1 เขต คือเขต 1 วุฒิชัย กิตติธเนศวร

5.นนทบุรี ส่ง 6 เขต คือ เขต 1 นิทัศน์ ศรีนนท์ เขต 2 นิยม ประสงค์ชัยกุล เขต 3 มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์ เขต 4 มนตรี ตั้งเจริญถาวร เขต 5 วันชัย เจริญนนทสิทธิ์ เขต 6 ภณณัฏฐ์ ศรีอินทร์สุทธิ์

6.ปทุมธานี ส่ง 6 เขต คือ เขต 1 สุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล เขต 2 ศุภชัย นพขำ เขต 3 สมศักดิ์ ใจแคล้ว เขต 4 ชัยยันต์ ผลสุวรรณ เขต 5 พิมพิมล ธรรมสาร เขต 6 สมชาย รังสิวัฒนศักดิ์

7.ประจวบคีรีขันธ์ ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 วิชิต ปลั่งศรีสกุล เขต 2 พรเทพ วิสุทธิวัฒนศักดิ์ เขต 3 สมนึก รุ่งจํากัด

8.ปราจีนบุรี ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 เกียรติกร พากเพียรศิลป์ เขต 2 สมเกียรติ คําดํา เขต 3 คมกฤช หงษ์วิไล

9.พระนครศรีอยุธยา ส่ง 4 เขต คือ เขต 1 สุรเขษฐ์ ชัยโกศล เขต 2 นพ ชีวานันท์ เขต 3 วิทยา บุรณศิริ เขต 4 จิรทัศ เรืองไกรเดชา

10.ระยอง ส่ง 3 เขต คือ เจต 1 ด.ต.สรศักดิ์ รากแก้ว เขต 3 เกรียงไกร กิ่งทอง เขต 4 สุรินทร์ เปา อันทร์

11.ลพบุรี 4 เขต คือ เขต 1 พิชัย เกียรติวินัยสกุล เขต 2 สุชาติ ลายน้ำเงิน เขต 3 อุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม เขต 4 สนั่น พรหมสุข

12.สมุทรปราการ ส่ง 7 เขต คือ เขต 1 สุทธิรัตน์ ยังตรง เขต 2 ภิญโญ กิจเลิศไพโรจน์ เขต 3 ประเสริฐ ชัยกิจ เด่นนภาลัย เขต 4 วรชัย เหมะ เขต 5 สลิลทิพย์ สุวัฒน์ เขต 6 นฤมล ธารดํารง เขต 7 นันทวรรณ ประสพดี

13. สมุทรสาคร ส่ง 1 เขต คือ เขต 3 พล.ต.อ.วิเลข ศรีนิเวศน์

14.สมุทรสงคราม ส่ง 1 เขต คือ ประกอบ แสงจันทร์

15.สระแก้ว ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 สนธิเดช เทียนทอง เขต 2 พ.ต.อ.พายัพ ทองขึ้น เขต 3 สรวงศ์ เทียนทอง

16.สระบุรี 3 เขต คือ เขต 1 พรพันธ์ เจริญรัศมี เขต 2 อรรถพล วงษ์ประยูร เขต 3 องอาจ วงษ์ประยูร

17.สิงห์บุรี 1 เขต คือ สุรสาล ผาสุก

18.สุพรรณบุรี ส่ง 1 เขต คือ เขต 4 สหรัฐ กุลศรี

19.อ่างทอง ส่ง 1 เขต คือ พล.ต.ต.ประจวบ เปาอินทร์

ภาคใต้ 7 จังหวัด

1.กระบี่ ส่ง 1 เขต คือ เขต 2 อัศวโรจน์ เถาว์กลอยกูจิ

2 ชุมพร ส่ง 2 เขต คือ เขต 2 รุจินาถ ศรีสุวรรณ เขต 3 ไตรฤกษ์ มือสันทัด

3.นราธิวาส ส่ง 3 เขต คือ เขต 1 ต่วนโซะ มือกะหะมะ เขต 3 สุกรี ซูเพียน เขต 4 มูหามัดรอซากี เจ๊ะอุเซ็ง

4.ปัตตานี ส่ง 2 เขต คือ เขต 1 อัสมาน โต๊ะมีนา เขต 3 นาเซร์ พงศ์ประเสริฐ

5.พัทลุง ส่ง 1 เขต คือเขต 2 พ.อ.ทวี แก้วกลับ

6.ภูเก็ต ส่ง 1 เขต คือ เขต 2 สนธยา หลาวหล้าง

 

เรียบเรียงข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์ , workpointnews

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ยศนันท์'นายพลผู้อัด คสช. หายไป 2 เดือน กลับมาอีกทีลาออก 'ไทยรักษาชาติ' บอกเลิกเล่นการเมือง

$
0
0

หลังเปิดตัวอย่างเผ็ดร้อนของ พล.อ.ยศนันท์ อดีตรองผบ.ทสส. กับพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อปลายปีที่แล้ว ด้วยการวิจารณ์ คสช. พร้อมชวน "ทหารทุกคนยืนเคียงข้างประชาชน"จน พล.อ.ประวิตร หลุดถามถึง "ข้าวแดงแกงร้อน"กลับหายไปกว่า 2 เดือน พร้อมกับข่าวลาออกจากสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติและเลิกเล่นการเมือง

ที่มาภาพ เพจพรรคไทยรักษาชาติ

6 ก.พ.2562 หลังจากเป็นที่กล่าวถึงของคอการเมืองเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ที่ พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 61 พร้อมกับเรียกร้องให้ ทหารทุกคนยืนเคียงข้างประชาชน เพราะหมดยุคของการใช้อำนาจเผด็จการมาปกครองประเทศแล้ว เนื่องจากบทเรียนของการยึดอำนาจตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า ประเทศชาติไม่เจริญก้าวหน้า ประชาชนเดือดร้อน เศรษฐกิจไม่เจริญเติบโต 

จนวันต่อมา (20 พ.ย.61) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และหนึ่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นเรื่องแปลกที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ยศนันท์ ก็อยู่กับ คสช. มาตลอด แต่ทำไมถึงด่า คสช. พร้อมกล่าวด้วยว่า "ไม่คิดถึงข้าวแดงแกงร้อนเลย” 

หลังจากนั้นเป็นเวลากว่า 2 เดือนที่ พล.อ.ยศนันท์ ไม่ปรากฏหน้าสื่ออีกเลย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา สื่อหลายสำนัก (ไทยโพสต์, ข่าวสดออนไลน์, มติชนออนไลน์และไทยรัฐออนไลน์)รายงานตรงกันว่า ที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ได้จัดงานวันสถาปนา 71 ปี โดยมี พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) เป็นประธาน มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และอดีตเจ้ากรม ร.ด. และอดีตผบ.นรด. ร่วมงาน รวมทั้ง พล.อ.ยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีต รอง ผบ.ทหารสูงสุด ในฐานะอดีต ผบ.นรด. มาร่วมงานด้วย

สื่อหลายนสำนักเหล่านั้นระบุด้วยว่า มีรายงานว่า พล.อ.ยศนันท์ ได้ลาออกจาก สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) แล้ว ยันเลิกเล่นการเมือง และจะกลับมาใช้ชีวิต ทหารเก่า ทหารเกษียณธรรมดาคนหนึ่ง และไปพักผ่อนอยู่ต่างจังหวัดบ้าง

ทั้งนี้ พล.อ.ยศนันท์ ดำรงตำแหน่ง ผบ.นรด.ในปี 2556 จากนั้นขึ้นครองยศพลเอกที่กองทัพบก ก่อนขยับขึ้นอัตราจอมพล (พลเอกพิเศษ) ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ก่อนเกษียณอายุราชการ

กระทั่งไปปรากฏตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) โดยในครั้งนั้น (20 พ.ย.61) พล.อ.ยศนันท์ ให้เหตุผลกับการร่วมเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติว่า เนื่องจากเห็นว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย และมีแนวทางในการพัฒนาประเทศที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้แนวทางเรื่องประชาธิปไตยเองก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไป และสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตได้

นอกจากปฏิกิริยาจาก พล.อ.ประวิตร ที่มีต่อ พล.อ.ยศนันท์แล้ว ในครั้งนั้น ทักษิณ ชินวัตร ยังโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ด้วยว่า "ทหารที่อาสาเข้ามาทำงานการเมืองแบบตรงไปตรงมา น่าชื่นชมกว่าทหารที่เข้ามาโดยการยึดอำนาจไหมครับป้อม" 

'ไทยรักษาชาติ'ส่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 108 คนกั๊กบัญชีนายกฯ รอเหมาะสม

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคไทยรักษาชาตินั้น ล่าสุดวานนี้ (5 ก.พ.62) ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า  ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวถึงการส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคว่า พรรคส่งจำนวน 108 คน โดย 10 อันดับแรก ประกอบด้วยตนเป็นอันดับแรก จาตุรนต์ ฉายแสง  ฤภพ ชินวัตร พวงเพ็ชร ชุนละเอียด มิตติ ติยะไพรัตน์ ขัตติยา สวัสดิผล ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คณาพจน์ โจมฤทธิ์  พิชัย นริพทะพันธุ์ และนพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล 

ส่วนบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พรรคจะส่ง เพราะเราจะยื่นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมภายในเวลาที่กำหนดไม่เกินวันที่ 8 ก.พ. แต่ยืนยันว่ามีแน่นอน ซึ่งในเบื้องต้นมีการพูดคุยหารือกันแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดในตอนนี้ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะมีชื่อตนและนายจาตุรนต์อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีด้วยนั้น ก็เป็นไปได้หมด เพราะบุคลากรของพรรคมีหลายคนที่มีคุณสมบัติและมีความรู้ความสามารถที่จะอยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรคจะให้ความเห็นชอบ

ต่อคำถามที่ว่าจะมีคนนามสกุลชินวัตรร่วมอยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ร.ท.ปรีชาพลกล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ เพราะอย่างฤภพ ชินวัตร ก็เป็นรองหัวหน้าพรรค หากสมาชิกพรรคเสนอก็มีสิทธิที่กรรมการบริหารพรรคจะพิจารณา อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าในการเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคไทยรักษาชาติจะได้ ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อรวม 50-60 คน

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ศรีสุวรรณเผยศาลปกครองนัดกก.วล.-นายกฯ-ผู้ว่า กทม.ไต่สวนระงับฝุ่น PM2.5

$
0
0

นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เผยศาลปกครองนัดคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาตินายกรัฐมนตรี และผู้ว่า กทม. ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีไปศาลเพื่อไต่สวน หลังนายกสมาคมฯ ฟ้องละเลยการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมภันตรายจากการแพร่กระจายของฝุ่นละออง PM2.5

6 ก.พ.2562 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ว่า ศาลปกครองกลางได้มีหมายกำหนดนัดให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.) นายกรัฐมนตรี และผู้ว่า กทม. ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีไปศาลเพื่อไต่สวน หลังจากที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชาว กทม.จำนวน 41 คน ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 17 ม.ค.2562 กล่าวหาว่า บุคคลทั้ง 3 ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีไม่ยอมใช้อำนาจตามมาตรา 9 ประกอบมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 และมาตรา 28/1 แห่ง พ.ร.บ.การสาธารณสุข 2560 ในการควบคุมภันตรายจากการแพร่กระจายของฝุ่นละออง PM2.5 ได้ เป็นเหตุให้โรงเรียนต่าง ๆ ต้องหยุดเรียนและองค์กรภาคธุรกิจเอกชนต้องหยุดการทำงานเพื่อหลีกหนีมลพิษ และทำให้ประชาชนจำนวนมากเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ นักท่องเที่ยวหนีหาย เศรษฐกิจของประเทศต้องเสียหายเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท ดังกล่าว

ศรีสุวรรณ กล่าวว่า เมื่อสมาคมฯและชาว กทม.ได้ยื่นคำฟ้องพร้อมคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาแล้ว ต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามชี้แจงคัดค้านคำขอดังกล่าว แต่ทว่าผู้ถูกฟ้องใช้แท็กติกขอขยายระยะเวลาการชี้แจงออกไปเรื่อยๆ แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า สถานการณ์มลภาวะทางอากาศเกี่ยวกับฝุ่นขนาดเล็ก(PM2.5) ได้ขยายเป็นวงกว้าง ศาลจึงมีคำสั่งเรียกผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามมาให้ถ้อยคำต่อศาล เพื่อประกอบการพิจารณามีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองอย่างใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาตามคำร้องขอของสมาคมฯและชาว กทม.ต่อไป

นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ระบุอีกว่า ศาลได้กำหนดนัดไต่สวนผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามในวันพฤหัสที่ 7 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น. ณ ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กทม. ซึ่งสมาคมฯจะนำพยานหลักฐานไปแสดงเพิ่มเติมและคัดค้านคำชี้แจงต่อหน้าศาลด้วย เพราะเชื่อว่าผู้ถูกฟ้องคดีจะมีข้ออ้างและชี้แจงบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เพื่อขอให้ศาลเร่งออกคำสั่งเพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามกำหนดมาตรการหรือวิธีการที่เด็ดขาดในการระงับแหล่งกำเนิดมลพิษต่าง ๆ อย่างเฉียบขาดด้วย โดยเฉพาะต้องเร่งเอาผิดกลุ่มผู้เผาไร่อ้อยและรับซื้ออ้อยเผา กลุ่มโรงงาน เป็นต้น

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รายงานสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรปเผย มลภาวะกระทบสุขภาพคนจนมากกว่าคนรวย

$
0
0

สำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรป (EEA) เผยแพร่รายงาน ระบุ กลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุด มีการศึกษาน้อยที่สุด และอยู่ในพื้นที่ๆ มีอัตราการว่างงานสูงสุด เป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับผลกระทบจากวิกฤตมลภาวะทางอากาศมากที่สุด

ที่มาภาพ: wikipedia

เมื่อ 4 ก.พ. 2562 รายงานของ EEA ที่ทำการสำรวจในยุโรประบุถึงปัจจัยเชื่อมโยงกันระหว่างปัญหาสิ่งแวดล้อมกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมในประเทศต่างๆ ของยุโรป โดยระบุว่าในขณะที่นโยบายของสหภาพยุโรปในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจะ "ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทางสภาพความเป็นอยู่อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่เศรษฐกิจและในแง่คุณภาพของสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังคงมีปัญหาความไม่เท่าเทียมในภูมิภาคนี้เกิดขึ้นอยู่"

โดยที่ EEA ระบุว่าประเทศในยุโรปที่ยากจนกว่าค่าเฉลี่ยและมีอัตราการว่างงานสูงกว่าจะเผชิญกับมลภาวะทางอากาศทั้งปัญหาฝุ่นละอองและปัญหาการก่อตัวของโอโซนที่ชั้นบรรยากาศระดับต่ำ ขณะเดียวกันในภูมิภาคที่ร่ำรวยกว่าก็มักจะมีระดับก๊าซไนโตรเจนไดอ็อกไซด์ (NO2) ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศสูงกว่า แต่ในเมืองใหญ่เหล่านี้ก็มักจะมีชุมชนคนที่ยากจนกว่าอาศัยอยู่ด้วยและกลุ่มประชาชนยากจนเหล่านี้มักจะได้รับก๊าซ NO2 มากกว่าด้วย

เดอะการ์เดียนยกตัวอย่างกรณีของกรุงลอนดอนที่เกือบครึ่งหนึ่งของย่านคนยากจนในลอนดอนต้องเผชิญกับระดับก๊าซ NO2 สูงกว่าที่สหภาพยุโรปกำหนดเพดานไว้เทียบกับย่านที่ร่ำรวยกว่าเพียงร้อยละ 2 เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ ซึ่งเรื่องนี้มาจากข้อมูลการสำรวจในปี 2560

การเผชิญกับมลภาวะเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพของประชากร เช่นกลุ่มคนที่เคยรอดชีวิตจากหัวใจวายในเกรตเตอร์ลอนดอนที่เผชิญกับมลภาวะทางอากาศเป็นเวลานานมีโอกาสจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลอีกครั้ง และยังเคยมีกรณีของ เอลลา คิสซี-เดบราห์ เด็กหญิงวัย 9 ปีที่เสียชีวิตเพราะโรคหอบหืด ซึ่งแม่ของเธอบอกว่าเป็นผลมาจากมลภาวะทางอากาศ แม่ของเอลลาเรียกร้องให้มีการบันทึกในใบมรณบัตรของเธอว่าเป็นการเสียชีวิตจากอากาศเป็นพิษ ซึ่งศาตราจารย์ด้านการแพทย์สตีเฟน โฮลเกท ยืนยันในเรื่องนี้ว่ามีมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างการที่เอลลาถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในช่วงเดียวกับที่มีระดับมลภาวะทางอากาศสูงขึ้นมาก

ไม่เพียงกรณีของเอลลาเท่านั้น ทางสถิติแล้วมีผู้คนในยุโรปมากกว่าครึ่งล้านรายเสียชีวิตก่อนกำหนดทุกปีจากการเผชิญมลภาวะทางอากาศอย่างฝุ่นละอองหรือก๊าซพิษ สิ่งที่คร่าชีวิตคนมากที่สุดคือฝุ่นละอองอนุภาคเล็ก PM 2.5 ขณะที่การก่อตัวของโอโซนที่ชั้นบรรยากาศระดับต่ำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นสูงมากในประเทศยุโรปตะวันออกที่มีปัญหาความยากจน ปัญหาการว่างงาน และปัญหาด้านการศึกษา เช่น ประเทศโคโซโว ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก ขณะที่ประเทศไอซ์แลนด์ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

รายงานจาก EEA ระบุว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่เสียชีวิตก่อนกำหนดจากมลภาวะทางอากาศจะมาจากอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง รองลงมาคือเสียชีวิตจากโรคปอดและโรคมะเร็ง นอกจากนี้มลภาวะทางอากาศยังเกี่ยวข้องกับการทำให้คนเป็นโรคเบาหวานในวัยผู้ใหญ่ โรคอ้วนในเด็ก การอักเสบของระบบต่างๆ ทั้งร่างกาย (systemic inflammation) โรคอัลไซเมอร์ และระดับ IQ ลดลงด้วย กลุ่มประชากรผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือคนชราและเด็กในพื้นที่ชนชั้นแรงงานในตัวเมือง

โดยที่รายงานของ EEA ระบุเน้นย้ำอีกว่าควรจะมีการจัดขบวนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบายทางสังคมให้มีความสอดคล้องกันมากกว่านี้ รวมถึงมีการพัฒนาปฏิบัติการระดับท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม

เรียบเรียงจาก

Europe's most deprived areas 'hit hardest by air pollution, The Guardian, Feb. 4, 2019

More action needed to protect Europe’s most vulnerable citizens from air pollution, noise and extreme temperature, EEA, Feb. 4, 2019

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ออสเตรเลียถอนโปรแกรมฝึกบอลทีมชาติ U23 ในไทย โต้คุมขังแข้งบาห์เรนลี้ภัย

$
0
0

สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย ถอนโปรแกรมฝีกซ้อมทีมชาติ สู้ศึกชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีในไทย เฮดโค้ชระบุ ตอบโต้ทางการไทยคุมตัวฮาคีม อัล อาไรบี แข้งบาห์เรนลี้ภัยในออสเตรเลียหลังเดินทางมาฮันนีมูนที่ไทยเมื่อเดือน พ.ย. ที่แล้ว โดยจะโยกไปฝึกซ้อมที่ประเทศอื่นในเอเชีย

ที่มา: Numbrella.com.au

6 ก.พ. 2562 สหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย (FFA)ประกาศยกเลิกการเดินทางมาเยือนไทยของทีมชาติออสเตรเลีย รุ่นผู้ชาย อายุไม่เกิน 23 ปี (U23) เพื่อเตรียมตัวในการเตะทัวร์นาเมนท์ของสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (AFC) รุ่น U23

การตัดสินใจยกเลิกการมาเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก FFA ได้ปรึกษาหารือกับแกรห์ม อาร์โนลด์ เฮดโค้ช แกรห์ม กล่าวว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการตอบโต้ที่ไทยคุมขังฮาคีม อัล อาไรบี อดีตนักฟุตบอลทีมชาติบาห์เรนที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากรัฐบาลออสเตรเลียแล้ว หลังเขาเดินทางมาฮันนีมูนกับภรรยาที่ประเทศไทยเมื่อ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา

“ปีที่แล้ว กรมทีมชาติวางแผนจะแข่งขันกับทีมชาติจีนล่วงหน้าที่กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในการเตรียมตัวที่สำคัญสำหรับการแข่งขัน AFC U23 ในปี 2563 รอบคัดเลือกที่จะมีขึ้นในกัมพูชาในเดือน มี.ค.”

“เมื่อกลับมาจากการแข่งขัน AFC เอเชี่ยน คัพ พวกเราได้ทบทวนแผนการใหม่จากเหตุการณ์คุมขังนักฟุตบอลของออสเตรเลีย ฮาคีม อัล อาไรบี ในเรือนจำของไทย”

“พวกเรากำลังอยู่ในกระบวนการกำหนดแคมป์ฝีกซ้อมก่อนทัวร์นาเมนท์ที่ประเทศอื่นในเอเชีย”

“ทีมชาติออสเตรเลียเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการสนับสนุนฮาคีม อัล อาไรบี และเราเรียกร้องให้ประชาคมดำเนินการรณรงค์ให้ปล่อยตัวเขา (ฮาคีม) ต่อไป” แกรห์มกล่าว

ฮาคีม อัล-อาไรบี ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากออสเตรเลีย สามารถอาศัยในออสเตรเลียได้ไม่จำกัดเวลา หลังเขาหลบหนีการถูกทางการบาห์เรนจับกุม ทรมานและถูกตั้งข้อหาลับหลังเพราะสมาชิกในครอบครัวเคยเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล เขาถูกจับที่ไทยเพราะมีหมายแดงขององค์การตำรวจนานาชาติหรือ INTERPOL เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 แต่ปัจจุบันหมายดังกล่าวถูกถอนแล้วตามระเบียบเรื่องการไม่ออกหมายต่อผู้ลี้ภัยที่ได้รับการรับรองสถานะแล้ว

ล่าสุดวันที่ 4 ก.พ. 2562 ที่ศาลอาญารัชดา ศาลนัดสอบคำให้การคดีฮาคีม อัล อาไรบี โดยศาลได้อ่านคำร้องของอัยการที่เห็นพ้องให้ส่งฮาคีมกลับไปยังราชอาณาจักรบาห์เรน โดยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้ต้องสงสัยของสำนักงานอัยการและศาลบาห์เรน เนื่องจากทำผิดกฎหมายบาห์เรนที่มีโทษจำคุก 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

หลังจากนั้น ทีมทนายความจำเลย (ฮาคีม) ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำคัดค้านการส่งตัวข้ามแดนไปยังบาห์เรนไปอีก 60 วัน เนื่องจากเพิ่งได้รับสำเนาคำร้องและเอกสารประกอบจากทางอัยการในวันนี้ และยังต้องเตรียมเอกสารจากต่างประเทศทั้งจากบาห์เรนและออสเตรเลีย ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับและภาษาไทย จึงต้องใช้เวลาศึกษาและแปลเอกสาร

ก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มีแถลงชี้แจงกรณีการจับกุมฮาคิมไปเมื่อ 8 ธ.ค. 2561 ว่า เขาถูกกักตัวโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสุวรรณภูมิเมื่อเดินทางมาถึงจากประเทศออสเตรเลีย เมื่อ 27 พ.ย. 2561 เวลา 20.50 น. ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 การกักตัวดังกล่าวเป็นไปโดยการตอบสนองต่อการแจ้งหมายแดง ซึ่งได้รับการแจ้งเตือนจากสำนักงานกลางตำรวจสากลแห่งชาติออสเตรเลีย (Interpol National Central Bureau) และคำร้องขออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลบาห์เรนเพื่อจับกุมและขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ตามแนวทางของพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนดังกล่าว สำนักงานอัยการสูงสุดอาจพิจารณายื่นคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อศาลตามคำร้องขอของรัฐบาลบาห์เรนภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่จับกุม เมื่อศาลรับพิจารณาคำร้องขอดังกล่าวแล้ว ศาลจะดำเนินการตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย รวมทั้งการตรวจสอบคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตลอดจนหลักฐานและคำให้การของพยานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ฮาคิมมีสิทธิในการให้ข้อคิดเห็น ข้อห่วงกังวล และพยานหลักฐานต่างๆ ต่อศาล

นอกจากนี้ เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว บุคคลที่เกี่ยวข้องยังคงมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิจารณาและทบทวนต่อไปอีก ถ้าหากมีการอุทธรณ์ การดำเนินคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะถึงที่สุดภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแล้วเท่านั้น

ในกรณีหมายแดงนั้น ข่าวของ กต. ระบุว่า แม้หมายแดงจะถูกถอนจากฐานข้อมูลของตำรวจสากลแล้ว แต่กระบวนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ทางการไทยได้รับคำร้องขออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลบาห์เรนเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2561 และการนำส่งต่อมาซึ่งเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับออกหมายจับชั่วคราวเมื่อ 3 ธ.ค. 2561 ทั้งนี้ แม้ไทยกับบาห์เรนไม่มีข้อตกลงทวิภาคีว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน แต่ฝ่ายบาห์เรนก็สามารถขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักประติบัติต่างตอบแทนและความร่วมมือซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในระหว่างประเทศ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'จ่าประสิทธิ์' เผยไอเดียเปลี่ยนชื่อเป็น 'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์' หวังให้จำง่าย เริ่มจากเมียและน้องสาวก่อน

$
0
0

'จ่าประสิทธิ์'เจ้าของไอเดียเปลี่ยนชื่อผู้สมัคร ส.ส.เป็น 'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์' หวังให้จำง่าย เริ่มที่ภรรยาและน้องสาวเป็น “ยิ่งลักษณ์” “ยิ่งรัก” คาดคะแนนเสียงท่วมท้น 'ประยุทธ์'บอกมันแปลกดีประเทศไทย ขณะที่ ‘วิษณุ-มท.1’ ชี้ไม่ผิด

6 ก.พ.2562 เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สุรินทร์ ถึงรายงานความคืบหน้า กรณีผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อชาติหลายคนเปลี่ยนชื่อเป็น “ทักษิณ” และ “ยิ่งลักษณ์” กันจำนวนมาก เช่น ผู้สมัคร ส.ส. อุทัยธานี เขต 1 กฤช เปลี่ยนชื่อเป็น ทักษิณ ทวีการไถ และ เขต 2 กันอัชลี เป็น ยิ่งลักษณ์ เกษคำ โดยเฉพาะที่ จ.สุรินทร์ เขต 1 ยิ่งรัก ไชยศรีษะ และเขต 6 ยิ่งลักษณ์ ไชยศรีษะ โดย ยิ่งรัก เป็นน้องสาว และยิ่งลักษณ์ เป็นภรรยาของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีตส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่หมดสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้งเนื่องจากพ้นโทษจำคุกยังไม่ถึง 10 ปี โดยทั้งน้องสาวและภรรยาของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์เพิ่งเปลี่ยนชื่อ สำหรับการลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะศรัทธา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ กล่าวถึงกรณี ผู้สมัครส.ส.ของพรรค เปลี่ยนชื่อเป็น “ทักษิณ” หรือ “ยิ่งลักษณ์” เป็นจำนวนมากว่า พรรคไม่ได้บอกหรือบังคับให้เปลี่ยน โดยมองว่าเป็นความเชื่อและเสรีภาพ และคิดว่าการเปลี่ยนชื่อดังกล่าว ผู้สมัครตั้งใจจะให้เป็นที่จดจำของประชาชน

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เพื่อสอบถามความคิดเห็นจาก ชาวบ้าน ซึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 6 ชาญ นิลเพชร อายุ 52 ปี บ้านอยู่ ต.บ้านชบ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยรู้จักภรรยาของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีตส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย เลย พอม้าปลี่ยนชื่อทำให้มีจุดสังเกตที่ชัดเจนขึ้น น่าสนใจขึ้น แต่ก่อนไม่เคยรู้จัก รู้จักแต่จ่าประสิทธิ เพราะเป็น ส.ส.ในพื้นที่บ้านตนมาหลายสมัย พอเปลี่ยนมาเป็นชื่อ ยิ่งลักษณ์ น่าสังเกต น่าจดจำมากขึ้น ถือว่าเป็นสีสันทางการเมือง เพราะการเลือกตั้งในแต่ละครั้งมันไม่มีสีสันเลย มันก็ไม่สนุก การเมืองต้องมีสีสันแบบนี้ ชาวบ้านจะได้จดจำ และตื่นเต้นไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง รับสมัคร ส.ส.วันแรก มีคนเปลี่ยนชื่อตัวเอง เป็นชื่อ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ตนไม่รู้สึกอะไร ตนรู้สึกดีในพื้นที่เลือกตั้งบ้านตัวเองมากกว่า พื้นที่อื่นตนไม่รู้ ในเขตบ้านตนถือว่า น่าสนใจ

ยิ่งลักษณ์ ไชยศรีษะ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 6 พรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า หลังเปลี่ยนชื่อปรากฏว่า เสียงตอบรับดี ทุกคนรู้จัก เพราะทุกคนรัก นายกฯยิ่งลักษณ์เยอะ และทุกคนยังรัก นายกฯทักษิณ การลงพื้นที่หาเสียงก็จะง่ายขึ้น ไม่ว่าคนแก่คนเฒ่าเมื่อเอยชื่อ “ยิ่งลักษณ์” ก็จะออกมาเลย ผลพลอยได้ สามารถชูนโยบายพรรคเพื่อชาติ ในการหาเสียงกับผู้สูงอายุ คนแก่คนเฒ่า ต้องการสวัสดิการสำหรับสังคมสูงวัยอยู่แล้ว

ยิ่งรัก ไชยศรีษะ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเวลาไปหาเสียงง่ายมากเลย พูดครั้งเดียว ต่อไปชาวบ้านก็รู้จักตนแล้ว ถ้าพูดถึงชื่อเก่าถามชาวบ้านกี่รอบ กี่รอบก็ยังจำไม่ได้ เวลาลงพื้นที่ตนจะแนะนำตัวว่า “ยิ่งรัก น้องสาวจ่าประสิทธิ์ จ่าประสิทธิ์ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ได้ ให้น้องลงแทนค่ะ”

ขณะที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีตส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเป็นคนที่คิดอะไรแปลกๆแต่ว่า คิดในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ ก่อนหน้านั้นตนาภรรยาว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ เขต 6 ไปลงพื้นที่ ปราศรัยกลางหมู่บ้าน ชักชวนพี่น้องประชาชนมาฟัง เพื่อช่วยหาเสียงให้กับภรรยา ใช้ชื่อเดิม นิภาพร ไชยศรีษะ ปรากฏว่า พูดชื่อภรรยาให้ชาวบ้านที่มารับฟังการปราศัยหลายรอบมาก ในการปราศรัยทุกที่ พอจบการปราศรัยตนก็พยายามถามว่า จำชื่อภรรยาตนได้ไหม ใครจำได้ยกมือขึ้น ปรากฏว่าคนฟัง ร่วมร้อยคนในแต่ละหมู่บ้าน คนยกมือกันแค่3-4 คนเอง  ทุกคนต่างจำไม่ได้ ก็เลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านทุกคนจำชื่อภรรยาของตนเองได้ง่ายขึ้น ก็กลับมานอนคิดก็เลยมีไอเดียขึ้นว่า ตนต้องเปลี่ยนชื่อภรรยาเป็น “ยิ่งลักษณ์” แล้วล่ะ เนื่องจากความจริงและต้องยอมรับว่า ตนศรัทธาในตัว ท่านนายกฯทักษิณ มาก และตนสรัทธาในตัว ท่าน นายกฯยิ่งลักษณ์ มาก  ดังนั้นตนเลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อภรรยามาเป็น ยิ่งลักษณ์ ไชยศรีษะ มาเปลี่ยนที่สำนักทะเบียน อ.สังขะ เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.61 พอเปลี่ยนชื่อเสร็จ ช่วงบ่าย ช่วงเย็นไปลงพื้นที่ ปรากฏว่าปราศรัยกลางหมู่บ้าน บอกชื่อภรรยาแค่ครั้งสองครั้ง  พอพูดจบถามชาวบ้านว่า ใครจำชื่อภรรยาตนได้บ้าง คนเกือบทุกคนยกมือ พร้อมตะโกนชื่อออกมาว่า ยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์ นี้คือความเป็นมาขอการเปลี่ยนชื่อปรากฏว่าได้ผล ทุกคนจำได้ ทำให้คะแนนเสียงดีขึ้น แต่ก็ไม่หมายความว่า ภรรยาของตนจะชนะการเลือกตั้ง แต่พอเปลี่ยนมาใช้ชื่อยิ่งลักษณ์ กลับได้คะแนนเพิ่มมากขึ้น เพราะทุกคนรัก นายกฯยิ่งลักษณ์ ส่วนน้องสาวก็มาเปลี่ยนชื่อช่วงหลัง เมื่อวันที่ 25 ม.ค.62 เนื่องจากเมื่อก่อนน้องสาวชื่อน.ส.เกศราภรณ์ ไชยศรีษะ ปรากฏว่าไปหาเสียงก็ไม่มีใครจำได้เหมือนกัน พูดกี่ครั้งกี่เที่ยวถามคนก็จำไม่ได้ สุดท้ายก็มีไอเดียว่า เราต้องเปลี่ยนชื่อแล้วแหละ ก็เลยคิดได้ว่าเมื่อภรรยาตนชื่อ ยิ่งลักษณ์  น้องสาวก็ต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น ยิ่งรัก ให้คล้ายๆกับ นายกยิ่งลักษณ์  ปรากฏว่าก็ได้ผลเหมือนกัน คนจำง่ายขึ้น ทำให้หาเสียงง่ายขึ้น

กรณี ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อชาติ หลายๆ คนเป็นชื่อ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ นั้น จ.ส.ต.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เริ่มต้นมาจากแนวคิดของตนเอง พอตนเปลี่ยนชื่อภรรยาเสร็จ ก็ส่งไลน์ลงกลุ่มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อชาติ ทั้งประเทศ ในกลุ่มไลน์ ปรากฏว่ามีหลายคนชื่อชม ยกนิ้วให้ และชอบไอเดียแบบนี้ สุดท้ายก่อนที่จะมาสมัคร ส.ส. ทางพรรคเรียกประชุมผู้สมัครทั้งประเทศ ที่กรุงเทพฯ ตนก็มีส่วนร่วมไปสังเกตการณ์ด้วย ปรากฏว่าหลายคนเดินมาหาตน และพูดขอบคุณว่า “จ่าประสิทธิ์ขอบคุณมากนะ ตอนนี้ดิฉันเปลี่ยนชื่อเป็นยิ่งลักษณ์เหมือนจ่าประสิทธิ์แล้วค่ะ” และมีผู้ชายมาบอกกับตนว่า “จ่าประสิทธิ์ขอบคุณมากนะ ตอนนี้ผมได้ไอเดียจ่าประสิทธิ์เปลี่ยนชื่อจาก ชื่อปกติกของเขา มาเป็นชื่อ ทักษิณ แล้วครับ” ปรากฏว่า คนที่เปลี่ยนชื่อเป็น ยิ่งลักษณ์ เป็นทักษิณ ไปหาเสียงทำให้ พี่น้องประชาชน รู้จักเพิ่มมากขึ้น

ประยุทธ์บอกมันแปลกดีประเทศไทย

ขณะที่ โพสต์ทูเดย์รายงาน ปฏิกิริยาจากรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เรื่องของการเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรก็แล้ว มันก็แปลกดีนะประเทศไทย แต่ไม่น่าสนใจสำหรับตน ส่วนใครจะสนใจก็แล้วแต่ ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดูแล 

‘วิษณุ-มท.1’ ชี้ไม่ผิด

ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนี้ด้วยว่า ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร เขาตัดสินใจกันเองที่เปลี่ยนชื่อ ส่วนที่ทั้งสองเป็นชื่อของผู้ที่ถูกดำเนินคดีจะมีปัญหาหรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า ก็ไม่เป็นอะไร เพราะทุกคนสามารถเปลี่ยนชื่อกันได้ ถ้าคิดว่าเปลี่ยนแล้วดีก็เปลี่ยนไป จะเอาทุกทางทุกเทคนิคก็ไม่เป็นอะไร เรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ต้องไปถาม กกต.เพราะเห็นเลขาฯ กกต.จะไปศึกษาเรื่องนี้ เพราะไม่เคยพบ

เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีนี้เช่นกันว่า ตามกฎหมายแล้วทุกคนสามารถเปลี่ยนชื่อได้ ขอแต่เพียงไม่เป็นคำหยาบ และอยู่ในความเหมาะสม ไม่ถือว่ามีความผิด และไม่ขอวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

การสื่อสารสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลง สร้างพื้นที่พูดคุยเรียนรู้สร้างปัญญาร่วมกัน

$
0
0

 

เวิร์คชอปการสื่อสารสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ถ่ายภาพ-เขียนสร้างสรรค์-ภาพเคลื่อนไหว วิทยากรชี้ องค์กรภาคประชาสังคมขาดคนภายนอกสนับสนุน ต้องสื่อสารเพื่อเปิดให้คนภายนอกมีส่วนร่วม สร้างพื้นที่พูดคุย เรียนรู้ และสร้างปัญญาร่วมกัน

จะดีหรือไม่ถ้าเรื่องราวสร้างสรรค์จากคุณจะสร้างแรงเขยื้อนในการเปลี่ยนแปลงสังคม? แม้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาจะมีพลังจากประชาชนตัวเล็ก ๆ (Active citizen) ที่คอยมองปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมแล้วไม่ปล่อยผ่าน แต่หากถอยมามองในมุมของคนนอกคงปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายเรื่องราวดี ๆ สามารถจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจ หรือเป็นบทเรียนสำคัญให้แก่สังคมได้ยังไม่ถูกสื่อสารออกไป เนื่องด้วยพื้นที่สื่อหลัก (Mass media) มีจำกัด แต่ในปัจจุบันมีพื้นที่การสื่อสารใหม่(Social media) ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และยังง่ายขึ้นต่อการส่งเสียงไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดพลังของมวลหมู่มากในการขยับสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับใหญ่ ดังนั้นแล้วอำนาจในการสื่อสารอยู่ในมือของทุกคน ของเพียงเริ่มลงมือทำ

จากเหตุผลข้างต้น โครงการผู้นำแห่งอนาคต คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมมือกับมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) ในการจัดกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสื่อสารสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลง ในหัวข้อเรื่องเล่าจากชุมชน (Creative Communication for Change)”ในช่วงเดือนธันวาคม 2561 – มกราคม 2562 ให้แก่ภาคีองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs)

พฤหัส พหลกุลบุตร

พฤหัส พหลกุลบุตร วิทยากรจากมะขามป้อมกล่าวถึงความสำคัญที่คนทำงานเพื่อสังคมควรมีความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพว่า “องค์กรภาคประชาสังคมหลายองค์กรประสบปัญหาขาดคนภายนอกเข้ามาสนับสนุนการดำเนินงาน ดังนั้นแล้วการที่คนในสามารถสื่อสารได้จะเป็นการเปิดประตูให้คนภายนอกเข้ามามีส่วนร่วม เพราะในทางเดียวกันยังมีคนอีกหลายคนที่อยากจะทำงานเพื่อสังคมแต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน อีกสิ่งที่สำคัญมาก คือ คนทำงานเหล่านี้คือคนทำงานจริง มีประสบการณ์ บทเรียน และองค์ความรู้ ดังนั้นถ้าพวกเขาสามารถสื่อสารเรื่องราวไปสู่คนวงกว้าง ให้เกิดการแลกเปลี่ยน พูดคุย และนำไปใช้ประโยชน์ การทำงานของพวกเขาจะยิ่งมีคุณค่าและเป็นประโยชน์แก่สังคม”

โดยพฤหัสได้อธิบายถึงแก่นสำคัญของการอบรมในครั้งนี้ว่า “3 ทักษะสำคัญที่ทีมนำมาถ่ายทอด คือ เทคนิคการถ่ายภาพ การเขียนอย่างสร้างสรรค์ และการสื่อสารผ่านภาพเคลื่อนไหว โดยกระบวนการเรียนรู้จะไม่ได้เน้นไปที่เทคนิคการถ่ายทำหรือการถ่ายทอดที่สมบูรณ์ ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการศึกษา เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และพัฒนาฝีมือ แต่โจทย์สำคัญของมะขามป้อมและโครงการฯ คือ การทำให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นมุมมองใหม่ในการสื่อสาร จากการเปิดประสาทสัมผัสทุกส่วนให้ได้สัมผัสอย่าลึกซึ้ง คัดสรรเนื้อหามาสื่อสารอย่างลงตัว รวมถึงการได้สัมผัสประสบการณ์การสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ที่มีคุณค่าทั้งต่อผู้ถ่ายทอดและผู้รับสาร” 

กัญญาวีร์ อ่อนสลุง

ผลลัพธ์หนึ่งจากการอบรมที่เกิดขึ้นอย่างน่าสนใจ จากกระบวนการการสื่อสารในรูปแบบนี้ คือ “การเห็นมุมมองใหม่หรือการตีความใหม่ (Reinterpretation)” โดยกัญญาวีร์ อ่อนสลุง เยาวชนเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือก จากสถาบันไทยเบิ้งโคกสลุงเพื่อการพัฒนา จ.ลพบุรี ได้สะท้อนว่า “ตอนทำกิจกรรมได้ลงพื้นที่ไปสัมผัสเรื่องราวที่คุ้นเคย แต่เมื่อเปิดรับทุกสิ่งโดยไม่มีกรอบความคิด ทำให้ภาพที่เราเห็นเปลี่ยนแปลงไป เราเริ่มมีความรู้สึกต่อภาพที่เคยเห็นจนชินตา เข้าไปพูดคุย ไปถ่ายทำ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยนึกถึงมาก่อน” 

พรรณิภา โสตถิพันธุ์ (ซ้าย)

อีกหนึ่งผลลัพธ์คือการตระหนักถึงการสามารถใช้ช่องทางการสื่อสารให้เกิดประโยชน์ด้วยตนเองได้ โดยพรรณิภา โสตถิพันธุ์ ผู้อำนวยการสงขลาฟอรั่ม ได้สะท้อนว่า “ก่อนหน้านี้เรารู้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่เครื่องมือสื่อสารอยู่ในมือทุกคน แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไรดี พอได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทำให้ได้รู้จักและเข้าใจวิธีการสื่อสารที่เป็นการผสานระหว่าง ความรู้สึก การคิด และการลงมือทำ ซึ่งทำให้เราเริ่มมีความมั่นใจว่าจะสามารถสื่อสารการทำงานได้”

สำหรับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวพฤหัสชี้ว่า “ผู้เข้าร่วมควรพัฒนาการสื่อสารต่อ ผ่านการศึกษาและสั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย คือ การสร้างพื้นที่ในการสื่อสารเพื่อให้เกิดการพูดคุย เรียนรู้ และสร้างปัญญาร่วมกัน (Collective leadership) โดยพื้นที่ทางการสื่อสารควรให้ความสำคัญทั้งแบบผ่านสื่อและแบบได้พบปะพูดคุย เช่น การพูดคุยในวงเล็ก หรือการพูดคุยในวงใหญ่ผ่านพื้นที่จัดสรร เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม”

 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ฉลาดซื้อ'ระบุเมล็ดกาแฟ 20 ยี่ห้อปลอดภัยจากเชื้อรา  

$
0
0

 

'ฉลาดซื้อ'สุ่มซื้อผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว จำนวน 20 ตัวอย่าง นำส่งห้องตรวจวิเคราะห์ พบทุกตัวอย่าง ปลอดภัยจากสารพิษโอคราท็อกซิน เอ เช่น สตาร์บัค ดังกิ้นโดนัท ดอยตุง แต่พบฉลากหลายผลิตภัณฑ์ ระบุวันผลิต และวันหมดอายุไม่ชัดเจน 

ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว 20 ยี่ห้อ ที่วางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า และร้านกาแฟต่างๆ ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม 2561 นำส่งห้องตรวจวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของเชื้อรา และสารพิษโอคราท็อกซิน เอ (Ochratoxin A; OTA)  โดยผลการทดสอบ พบว่า เมล็ดกาแฟทุกตัวอย่าง ตรวจไม่พบสารพิษโอคราท็อกซิน เอ (OTA)ดังแสดงตามตาราง ต่อไปนี้

ตารางผลตรวจวิเคราะห์เชื้อราและสารพิษโอคราท็อกซิน เอ ในผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟคั่ว 

ลำดับ

ชื่อผลิตภัณฑ์

ยี่ห้อ

น้ำหนัก (กรัม)

ราคา (บาท)

วันผลิต

วันหมดอายุ / ควรบริโภคก่อน

ผลตรวจวิเคราะห์ สารพิษโอคราท็อกซิน เอ *
(ug/kg)

1

Espresso Roast (Dark Roast)

STARBUCKS

250

545.-

ไม่ระบุ

ควรบริโภคก่อน 3 ธ.ค.61

ไม่พบ

2

Roasted Coffee Bean Espresso Blend

My Choice (มายช้อยส์)

250

219.-

23 ส.ค.61

23 ส.ค.62

ไม่พบ

3

KENYA MAASAI BLEND (เคนยา มาไซ เบลนด์)

ดังกิ้น โดนัท

250

250.-

26 มิ.ย.61

26 มิ.ย.62

ไม่พบ

4

Espresso CW House Blend

Coffee World

500

365.-

25 ก.ค.61

25 ม.ค.62

ไม่พบ

5

Doitung Espresso Roast (กาแฟดอยตุง อาราบิก้า 100%)

Doitung

200

220.-

ไม่ระบุ

ควรบริโภคก่อน
28 มิ.ย.62

ไม่พบ

6

Espresso italian-style, traditional, dark-roasted espresso กาแฟคั่วเข้ม สไตล์อาตาเลียนแท้

BONCAFE

250

152.-

ไม่ระบุ

ควรบริโภคก่อน
30 มิ.ย.63

ไม่พบ

7

Premium Blend Medium Dark Roast

Suzuki Coffee

200

218.-

ไม่ระบุ

ควรบริโภคก่อน
17 มี.ค.63

ไม่พบ

8

Roasted Coffee Bean 

illy (อิลลี่)

250

640.-

ไม่ระบุ

พ.ค.62

ไม่พบ

9

Espresso Supreme SHB 100% Arabica Coffee Medium to Dark

Doi Chaang Coffee (ดอยช้าง)

250

350.-

21 ส.ค.61

21 ส.ค.62

ไม่พบ

10

LAVAZZA QUALITA ORO (Roasted Coffee Bean Smooth and Aromatic)

Lavazza (ลาวาซซา)

250

550.-

20 พ.ย.60

ควรบริโภคก่อน

30 ต.ค.62

ไม่พบ

11

Gold Blend (โกลด์ เบลนด์)

CP Retailink Coffee (ซีพี รีเทลลิงค์ คอฟฟี่)

500

295.-

27 ส.ค.61

27 ก.พ.62

ไม่พบ

12

DAO COFFEE ARABICA STRONG BLEND

DAO COFFEE (ดาวกาแฟ)

200

172.5

11 ก.ค.61

11 ก.ค.62

ไม่พบ

13

The Impression of Espresso Finest 100% Arabica (Premium A5 Dark Roast Level)

Bluekoff

250

130.-

30 ก.ย.61

ไม่ระบุ

ไม่พบ

14

Café KALDI Fresh Roasted Coffee (Premium Dark)

KALDI

200

350.-

19 ก.ย.61

ไม่ระบุ

ไม่พบ

15

Espresso Thai Arabica Coffee

Waweecoffee

250

245.-

16 ก.ค.61

ควรบริโภคก่อน
15 ก.ค.62

ไม่พบ

16

Coffee Bean Roasted Coffee Bean

COFFMAN

500

275.-

ไม่ระบุ

ควรบริโภคก่อน
30 เม.ย.62

ไม่พบ

17

Gold Blend(โกลด์ เบลนด์) Dark Roasted(ดาร์ก โรสท์)

AROMA(อโรม่า)

250

130.75

15 ก.ย.61

15 ก.ย.62

ไม่พบ

18

Roasted Coffee Beans : House Blend

mezzo

250

285.-

16 ส.ค.61

ไม่ระบุ

ไม่พบ

19

Espresso Casa Gusto Cremoso เอสเพรสโซ่ คาซ่า (เมล็ดกาแฟคั่ว)

Segafredo Zanetti (เซกาเฟรโด ซาเนตติ)

500

800.-

28 ก.ย.60

ควรบริโภคก่อน

27 ก.ย.62

ไม่พบ

20

Full City Roast

Akha Ama

500

320.-

7 ต.ค.61

ไม่ระบุ

ไม่พบ

 

 

(เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เดือน กันยายน - ตุลาคม 2561) , ผลวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้น

หมายเหตุ  
หน่วย ug/kgหมายถึง ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักเมล็ดกาแฟคั่ว
-การตรวจวิเคราะห์เชื้อรา ใช้วิธี FDA BAM Online, 2001 (Chapter 18).
* การตรวจวิเคราะห์สารพิษโอคราท็อกซิน เอ ใช้วิธี In house method SOP LBLC-13024 based on Agronomy Research 9 (Special Issue II), 461-468,2011, HPLC-MS-MS.

 

ทั้งนี้ จากการสังเกตการแสดงข้อมูลวันผลิต และวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์ ทั้ง 20 ยี่ห้อ พบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ระบุวันผลิต แต่ระบุวันหมดอายุ หรือวันที่ควรบริโภคก่อน จำนวน 6 ตัวอย่าง 

และ พบผลิตภัณฑ์ที่ ระบุวันผลิต แต่ไม่ได้ระบุวันหมดอายุ หรือวันที่ควรบริโภคก่อน จำนวน 4 ตัวอย่าง จึงขอแนะให้ผู้ประกอบการได้ระบุทั้ง วันผลิตและวันหมดอายุคู่กันบนบรรจุภัณฑ์ เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อ และคำนวณระยะเวลาการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ แนะนำให้ผู้บริโภคบดผงกาแฟในปริมาณพอเหมาะกับการบริโภค ไม่บดเก็บไว้มากจนเกินจำเป็น เพราะผงกาแฟมีเนื้อสัมผัสอากาศมากกว่ากาแฟที่อยู่ในรูปแบบเมล็ด ซึ่งจะทำให้กาแฟเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น และควรปิดผนึกห่อเมล็ดกาแฟคั่วส่วนที่เหลือให้มิดชิด เก็บไว้ในที่แห้งและไม่มีความชื้น

(อ่านผลทดสอบฉบับเต็มได้ที่ https://chaladsue.com/article/2998)

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai
Viewing all 27824 articles
Browse latest View live